ROAR !!!
Chapter 4 - Ruffians -
เคนนี่ตื่นขึ้นมาในห้องพักของตัวเองในปราสาท
ไม่ใช่ห้องพักที่หรูอะไรแต่ก็น่าอยู่ไม่น้อย
เขาดึงผ้าห่มออกจากตัวโยนไปอยู่อีกข้างหนึ่งของเตียง
เขาไม่ได้ใส่เสื้อ ใส่แต่กางเกงขายาวที่ใส่เมื่อวาน จากนั้นเขาก็ลงจากเตียง
เอามือเสยผมยาวระบ่าที่เป็นกระเซิงของตัวเองให้เข้าที่แล้วเดินไปยังหน้าต่าง
" เช้าแล้วเหรอเนี่ย " เขาพูดกับตัวเอง แสงที่ลอดจากหน้าต่างเข้ามาในห้องส่องกระทบถูกตัวเคนนี่
ทำให้เห็นว่า ร่างท่อนบนที่เปลือยเปล่าไม่ใส่เสื้อของเคนนี่นั้น
มีรอยแผลเป็นอยู่เต็มไปหมด มีทั้งรอยถูกอาวุธมีคม
ถูกกรงเล็บหรือเขี้ยวสัตว์ และอื่นๆ อีกมากมายที่หลังตรงไหล่ซ้ายมีรอยสักเป็นรูปหมาป่าสีดำอยู่ในท่าหมอบ
ส่วนหัวของหมาป่าหันหัวไปทางซ้าย
และตั้งขี้นเหมือนสุนัขเฝ้ายามที่กำลังมองหาผู้บุกรุกอย่างระมันระวังกระนั้น
เคนนี่หยิบเอาจี้ Heart of Darkness ที่ห้อยคออยู่ออกมาจ้องมองด้วยสายตาเศร้าๆ อยู่พักหนึ่ง
ก็เดินกลับไปนั่งอยู่บนเตียง พร้อมกับใช้มือขวาเอื้อมไปแตะรอยสักหมาป่าที่ไหล่ซ้ายของตน
" เฮ้อ " เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดกับตัวเอง " เวลาผ่านไปเร็วชะมัด ตั้ง 10ปีแล้ว ตั้งแต่ตอนนั้น "
ตอนนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงเรียก" เคนนี่ เคนนี่โว้ย ตื่นรึยัง " เป็นเสียงของแอรอนนั่นเอง
" รอเดี๋ยวโว้ย เดี๋ยวไป " สิ้นเสียงตะโกน เคนนี่ก็คว้าเสื้อยืดคอกลมสีขาวมาสวม
แล้วใส่แจ็กเก็ตหนังสีดำทับลงไป แล้วคว้าหมวกแก็ปสีดำสวมหัว ใส่รองเท้าแล้วเดินไปเปิดประตูทันที
ที่หน้าประตู แอรอนอยู่ในชุดเรียบร้อยแล้ว ยืนอยู่หน้าประตู
เคนนี่ยังไม่ทันพูดอะไรกับแอรอน รัซเซลล์ก็เดินเข้ามา
" หวัดเด วันนี้กินข้าวแล้วออกไปเดินเล่นกันหน่อยมะ " รัซเซลล์ว่า
" อะไรวะ เมื่อวานโดนด่า 365 ภาษาไปหยกๆยังกล้าออกไปเดินลอยไปลอยมาอีกเรอะ " เคนนี่แย้ง
" พวกแกไม่รู้จักเรอะ คติว่า Let by gone, be by gone น่ะ เอาเรื่องเก่าๆมาคิดไปก็เมื่อยหัวเปล่าๆ ปล่อยให้มันไปตามที่มันจะเป็นดีกว่า "
เคนนี่กับแอรอนมองหน้ากัน ยักไหล่แล้วตอบ
" โอเค แต่แค่ในปราสาทเท่านั้นนะ "
" ดีๆ แล้วคืนนี้จะทำไก่งวงอบให้กิน "
" ชั้นว่าข้าวในปราสาทอร่อยกว่าซุปน้ำล้างเนื้อที่แกทำอีกว่ะ " เคนนี่ว่า
" ไอ้บ้า !!! พูดแบบนี้เดี๋ยวปั๊ด... "
รัซเซลล์ตะโกนพร้อมกับยกส้นเตรียมตอก แต่เคนนี่หลบฉากออกมาและพูด
" เฮ้ยๆ พูดเล่นเว้ย อย่าเครียดสิวะ "
" ปากหมา " รัซเซลล์ด่าพร้อมกับลดส้นลง
" อ้าว ก็หมาจริงนี่หว่า แต่ไม่ใช่หมาบ้านนะ เป็นหมาป... "
ยังไม่ทันพูดจบส้นเท้าซ้ายของรัซเซลล์ก็ตอกเปรี้ยงใส่กบาลของเคนนี่อย่างรวดเร็ว
เล่นเอาเคนนี่หลบแทบไม่ทัน แต่ถึงจะหลบได้ ก็ยังโดนเข้าถากๆ
แต่แค่ถากก็ทำเอาเขาเสียศูนย์ไปเล็กน้อย
" ไอ้ตัวปากอยู่ไม่สุข " รัซเซลล์ตะโกน
" เฮ้ย เล่นพอรึยัง " แอรอนแทรกขึ้นมา " ไปกินข้าวกันก่อนไป "
ทั้งสามจึงค่อยเดินออกไปโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ ข้าวเช้า วันนี้
ทั้ง 3คนเดินออกมาจากห้องกินข้าวเฉพาะกิจที่กาโดขอให้แอนนาเบลเตรียมไว้ให้
เพราะกลัวว่าเจ้าพวกนี้จะดันไปก่อเรื่องในห้องอาหารที่เจ้าเมือง
รับประทานร่วมกันแต่ในระหว่างทางที่เดินไปนั้น
ทั้ง 3คนก็ต้องผ่านห้องที่เจ้าเมืองทั้งหมดที่เข้าร่วมประชุมในงานนี้มารวมตัวปรึกษากันเรื่องการรับมือกับกองทัพใหญ่ของวอร์เรนเซีย
" บอกว่าไม่ไงเล่า !!! "
เสียงตะโกนอย่างเหลืออดเสียงหนึ่งดังออกมาจากในห้อง เป็นเสียงของกุสตาฟเจ้าเมืองโคโรเน่ นั่นเอง
" ท่านน่าจะเข้าใจบ้างนะว่าถ้ามิวส์ซึ่งเป็นปราการด่านเดียวที่กั้นทางผ่านกองทัพของพวกมันได้แตกละก็
พวกมันก็จะใช้มิวส์เป็นฐานบุกเข้าตีอาณาจักรได้แน่นอน แต่กำลังทหารตอนนี้ของมิวส์ไม่พอจะรับมือกับกองทัพพวกมันได้
ดังนั้นตอนนี้ถ้าพวกเราทั้ง 5 เมืองใหญ่มารวมกำลังเข้าด้วยกันแล้ว ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่เราจะชนะพวกมันได้ " แอนนาเบล
เจ้าเมืองมิวส์ที่นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะโดยมีเจสผู้เป็นเลขาฯ ยืนอยู่ข้างๆพูดด้วยเสียงเนิบๆ เป็นเชิงปราม
" แล้วถ้าแพ้ขึ้นมาล่ะ " กุสตาฟถามขึ้น "
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราบ้างล่ะ พวกมันบุกเข้าในตัวอาณาจักรได้
แล้วก็ยึดไปทีละเมืองๆ จนถึงเมืองโคโรเน่ แล้วทั้งผม
ทั้งครอบครัวก็เสียหัว รวมทั้งชาวเมืองอีกเป็นพันเป็นหมื่นก็ต้องตายอย่างทรมานผมไม่เอาเมืองทั้งเมืองกับครอบครัวกับประชาชนของผม
ไปแลกกับวิธีบ้าๆ ที่ไม่มีหลักประกันว่าจะสำเร็จรึเปล่าหรอก "
" ผมเห็นด้วยกับท่านกุสตาฟ " กอร์โด เจ้าเมืองเครสตาเอ่ยขึ้นบ้าง "
แผนแบบนี้เสี่ยงเกินไป ทางที่ดีใช้วิธีเจรจาสงบศึกดีกว่า ต่างฝ่ายต่างจะได้ไม่ต้องมีฝ่ายไหนเสียเลือดเสียเนื้อ "
" แต่ชั้นไม่คิดอย่างนั้น " เทเรซ่า เจ้าเมืองวินด์ฮิลพูดขึ้นบ้าง "ชั้นไม่เชื่อหรอกว่าพวกนั้นจะยอมรับข้อเสนอที่จะเจรจาสงบศึก
อย่างที่เค้าว่ากันว่าอินทรีไม่จำเป็นต้องเจรจากับนกกระจอก พวกมันถือว่าตัวเองเป็นอินทรี
ไม่มีทางยอมตกลงกับพวกเราง่ายๆ แน่ "
" โอ ปากเก่งนี่ " กอร์โดพูดพร้อมกับทำสายตาเยาะปนดูถูก "พูดจากได้ฉะฉานคล่องปากดี แต่เวลาส่งส่วยไม่ยักกะคล่องเหมือนปาก "
เทเรซ่านั้นเงียบกริบ ไม่พูดอะไรแต่สีหน้ามีแววโกรธบรรยากาศอันน่าอึดอัดนี้พลอยทำให้ทั้งห้องอึดอัดไปด้วย
กราเซียซึ่งนั่งอยู่ในห้องด้วย
กำลังจะขยับปากพูดอะไรออกมา
" บ้องตื้นเป็นบ้า " เสียงพูดเหน็บแนมดังทำลายความเงียบและบรรยากาศที่น่าอึดอัดของห้องไปจนหมด
กอร์โดตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธ
" ใครแส่ !!!!! "
ไม่มีเสียงตอบ มีเพียงร่างของเคนนี่ แอรอนและรัซเซลล์เดินเข้ามาในห้องเท่านั้น กาโดเอามือปิดหน้าด้วยความอาย
ในขณะที่กราเซียนั้นนั่งนิ่งอย่างสงบ ใบหน้ามีรอยยิ้มเล็กน้อย ส่วนสตันนั้นยังคงเงียบ
เพียงยืนเฉยอยู่ข้างหลังกราเซียเท่านั้น
" อ้อ ที่แท้ก็ 'เจ้าภาพงานเลี้ยงทั้ง 3' น่ะเอง "
กอร์โดพูดด้วยอาการดูถูก " เมื่อวานก่อเรื่องไปหยกๆนึกว่าวันนี้จะขี้ขลาดไม่เสนอหน้าออกมาซะแล้ว "
ทั้ง 3 แค่นหัวเราะออกมานิดหน่อย
" พวกเรามันหน้าด้านอยู่แล้ว "
รัซเซลล์พูดพร้อมกับยิ้มกวนตีนอย่างที่เคยอวดเพื่อนคนอื่น
" แต่ก็ยังดีนะที่พวกเรายอมรับ ไม่เหมือนหมูขาวบางตัวที่กลัวซะจนขึ้วิ่งขึ้นไปบนสมองเป็นกุ้งแล้วยังแกล้งกลบเกลื่อน
ด้วยการอ้างจะทำสัญญาสงบศึกงี่เง่านั่นออกมาได้"
กอร์โดโกรธจัดซะจนเส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนขึ้นมา เครากับหนวดขาวๆของหมอกระดิกไปมาด้วยแรงกระตุกของกล้ามเนื้อหน้า
ร่างอ้วนผิดส่วนของหมอก็สั่นสะท้านด้วยความโกรธ
" โอ๊ะ โกรธงั้นเหรอ "เคนนี่เอาบ้างโดยมีแอรอนยืนทำท่าล้อเลียนอยู่ข้างหลัง "นึกว่าหมูขาวจะเป็นแต่ร้องอู๊ดๆ อยู่ในคอกให้พวก 'คนเลี้ยงใส่เกราะ'
คอยดูแลคุ้มกันท่าเดียวซะอีก "
กาโดพยายามร้องห้าม แต่ตอนนี้ทั้ง 3 ไม่ได้ยินเสียงกาโดซะแล้ว
ยังคงด่าพวกเจ้าเมืองต่อไป
" ครอบครัว ประชาชน เรอะ " แอรอนพูดหยันๆ "เอาของแบบนั้นมาบังหน้าเอาตัวรอด ชะ จะงี่เง่าก็ให้มันน้อยๆ หน่อยโว้ยไอ้เจ้าเมือง "
กุสตาฟเองโกรธจนตัวสั่น เขาชี้หน้าใส่ทั้ง 3 แล้วด่ากราดเข้าใส่เป็นชุด
ในขณะที่ทั้ง 3 กำลังจะด่าสวน มือสองข้างของกาโดก็รวบเป็นหมัดทุบเปรี้ยงใส่หัวของทั้ง 3 คน
" ไอ้พวกบ้า !!!!!!
คิดว่าพวกแกเป็นใครกันแทรกเข้ามาระหว่างการหารือกันแบบนี้ รู้สถานภาพของตัวเองบ้างรึเปล่า !! "
กาโดเอ็ดใส่พวกเคนนี่ซะลั่นห้อง ฝ่ายพวกเคนนี่ทั้ง 3
ก็ได้แต่เก็บความไม่พอใจไว้ในอกลึกๆ แต่ก็เก็บไม่อยู่
แสดงอาการฮึดอัดออกมานิดๆ
กาโดตั้งท่าจะด่าทั้ง 3 คนต่อ แต่กราเซียกลุกจากที่นั่งเดินเข้ามาจับข้อมือของกาโดไว้เป็นเชิงปราม
กาโดหยุด และเดินถอยออกมาทันที กราเซียเดินไปหยุด
ยืนอยู่ข้างหน้าของพวกเคนนี่
" นี่ ท่านกราเซีย ผมมีอะไรจะเตือนในฐานะเจ้าเมืองด้วยกันนิดนึงนะ "
กอร์โดพูดด้วยสีหน้าดูถูกปนไม่พอใจ "อย่าไปเอานักเลงอย่างนี้มาเป็นลูกน้องเลยนะมันไม่งามตา แล้วยังจะพาเรื่องเดือดร้อนมาใส่ตัวอีกด้วย "
" นักเลง " กราเซียทวนคำด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม " เข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่าครับถึงพวกเขาจะนิสัยเฮี้ยวไปบ้าง แต่ไม่มีใครเป็นนักเลงซักคน
นักเลงน่ะเป็นคำที่ใช้เรียกพวกอ่อนแอที่ใช้การเบ่งทับคนอื่นกับคำพูดขู่ขวัญปกปิดความอ่อนแอของตัวเองไว้
แต่พวกเขาไม่ใช่ พวกเขามีความกล้าหาญ
ไม่ใช่แค่ความกล้าในการต่อสู้กับศัตรูในสนามรบเท่านั้น
พวกเขายังมีความกล้าหาญที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง
ซึ่งความกล้าหาญชนิดนี้ อย่าว่าแต่
พวกนักเลงเลย แม้แต่กับคนชั้นสูงๆ อย่างพวกเรายังแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำแล้วท่านยังจะพูดได้ยังไงว่าพวกเขาเป็นนักเลง "
เล่นเอากอร์โดอึกอักพูดไม่ออก ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธแค้นในช่วงบรรยากาศแห่งความอึดอัดนี้
" ท่านแอนนาเบลครับ " เสียงของทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยหน้าตาตื่น เข้ามากระซิบที่ข้างหูของเจส
ครู่หนึ่งก็เดินออกไป
หลังจากที่ทหารคนนั้นวิ่งออกไปแล้ว
เจสก็หันหน้าไปยังเจ้าเมืองทุกคนแล้วประกาศว่า
" ทุกท่าน บัดนี้ กองทัพของวอร์เรนเซียจำนวน 5 พันคนกำลังมุ่งหน้ามายังเมืองมิวส์แล้ว คาดว่าอีก 3 ชั่วโมง
พวกมันก็จะมาถึงเมืองมิวส์ "
ทันทีที่ได้ยินข่าวนี้ ทั้งห้องเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูดแม้แต่นิดเดียว
เจ้าเมืองที่ไม่ต้องการจะสู้ต่างรู้ดีว่าถึงจะไม่อยากสู้ยังไงเสียตอนนี้ก็ถึงคราวจำเป็นที่จะต้องสู้แล้ว
ครู่หนึ่ง แอนนาเบลก็พูดขึ้นมา
" ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกเราทุกคนจำเป็นต้องสู้แล้ว พวกมันไม่ยกกองทัพใหญ่มาส่งมาเพียงแค่ 5 พันคน
นั่นหมายความว่าพวกมันเพียงแต่ต้องการหยั่งเชิงเราดูเท่านั้น ดังนั้นตอนนี้เราควรจะร่วมมือกันเพื่อขับไล่กองทัพของข้าศึกไปให้ได้
เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเราไม่ใช่นกกระจอกที่ยอมให้อินทรีล่าได้ง่ายๆ "
กอร์โดกับกุสตาฟจำต้องยอมตกลงด้วยทีท่าไม่สู้เต็มใจนัก
กราเซียเห็นทีท่ากระฟัดกระเฟียดอย่างไม่ค่อยจะพอใจของทั้ง 2 คนแล้วก็พูดขึ้นบ้าง
" หากว่าท่านกอร์โดกับท่านกุสตาฟไม่ต้องการที่จะสู้รบแล้วก็ไม่จำเป็นต้องฝืนใจตัวเองก็ได้ หากไม่ต้องการสู้ก็ไม่ต้องสู้ "
คำประกาศของกราเซียทำให้ทุกคนแปลกใจมาก
กอร์โดได้ยินดังนั้นก็แค่นหัวเราะออกมาแล้วถามด้วยสำเนียงเสียดสีนิดๆ
" ถ้าเช่นนั้น หากไม่มีกองทัพของผมแล้ว ท่านจะทำอย่างไรล่ะ
ท่านเทเรซ่าเองก็มาเพียงตัวเปล่ากับองค์รักษ์และทหารเพียงไม่กี่คน
หรือท่านคิดจะใช้เพียงกำลังทหารเพียง 3 พันคนของมิวส์จัดการกับกองทัพ 5 พันคน "
" ไม่เลย " กราเซียตอบด้วยทีท่าปกติ (ยิ้ม) "
ไม่จำเป็นต้องรบกวนทหารของมิวส์หรอก เพียงลูกน้องของผมที่อยู่ตรงนี้ 4คนก็พอแล้ว "
ทุกคนในห้องตกตะลึงกับคำพูดอันไม่น่าจะเป็นไปได้ของกราเซีย จะใช้คนเพียง 4คนรับมือกับกองทัพ 5 พันคนงั้นรึ
ให้โลกแตกยังเป็นไปไม่ได้เลยใครๆ ต่างก็คิดอยู่ในใจเช่นนี้
" น่าสนุกนี่ผมเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าไอ้พวกที่ท่านกราเซียผู้ยิ่งใหญ่อุตส่าห์คัดเลือกมาเป็นคนสนิทจะทำได้อย่างท่านว่าจริงมั้ย"
กอร์โดพูดเยาะเย้ยพร้อมกับหัวเราะก๊าก
แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อว่าพวกเคนนี่จะทำได้อย่างที่กราเซียพูด
พวกเคนนี่ฉุนจัด จะเล่นงานกอร์โดแต่ถูกกราเซียห้ามไว้
" เอาความโกรธนี้ไประบายกับพวกวอร์เรนเซียดีกว่านะ " กราเซียพูด
" เคนนี่แอรอน รัซเซลล์ สตัน เตรียมตัวให้พร้อมไปดูแผนที่แสดงตำแหน่งของกองทัพวอร์เรนเซียกับเส้นทางเดินทัพ
จากนั้นจะใช้วิธีไหนในการจัดการกับพวกมันก็สุดแท้แต่ใจของพวกนายแล้วกันไปได้ "
ใบหน้าของเคนนี่ แอรอนกับรัซเซลล์นั้นปรากฎรอยยิ้มอย่างยินดีที่จะได้ขยี้กองทัพของวอร์เรนเซียรวดเดียวห้าพัน
ในขณะที่สตันทำหน้าเฉยเมยไม่แสดงออกว่าดีใจหรือไม่ชอบ
ทั้งหมดคำนับกราเซียอย่างนอบน้อมแล้วเดินออกจากห้องไปทันที
2 ชั่วโมงต่อมา....
ทั้ง 4คนมาดักอยู่ตรงเนินสูงใกล้กับจุดที่กองทัพวอร์เรนเซียจะต้องผ่านก่อนถึงเมืองมิวส์
" ได้บริหารกล้ามเนื้ออีกแล้ว " เคนนี่พูดพร้อมกับหักข้อนิ้วกับบิดคอไปมา
" นั่นสิ " รัซเซลล์เสริมพร้อมกับเกร็งนิ้วจนมีเสียงหักดังเป๊าะ "แต่ก่อนอื่น จำทางเดินทัพของพวกมันได้ใช่มั้ย "
" ได้สิ ก่อนจะมาถึงมิวส์ พวกมันต้องผ่านป่านั่นมาก่อน "
เคนนี่พูดพร้อมกับชี้มือไปยังป่าแห่งหนึ่ง แล้วชี้มือต่อไปทางเส้นทางแคบๆที่อยู่ระหว่างหุบเขา
" จากนั้นพวกมันก็จะต้องผ่านหุบเขาแล้วทางก็จะเป็นที่ราบกว้างต่อมาจนถึงเมืองมิวส์ "
" เพราะฉะนั้นเราก็ต้องหาทางจัดการกับพวกมันก่อนจะเข้ามาถึงจุดที่เป็นที่ราบสินะ "
" ใช่ ถ้ามันเข้าถึงที่ราบละก็คงจะลำบากแน่กับการเข้าประจัญบานกับกองทัพขนาดนี้ในที่ราบถึงพวกเราจะสู้ได้ก็เหอะ "
" แล้วนายจะเอาไง "
" ชั้นกับแอรอนจะซุ่มโจมตีพวกมันอยู่ตรงป่าเอง
ส่วนนายกับสตันไปดักอยู่ที่หุบเขา คอยจัดการกับ 'แมว' ที่ที่หนีเข้าไป
แล้วเรา 2 คนก็จะ 'ปิดประตู' ซะ ที่เหลือก็ให้พวกนายจัดการแล้วกัน "
" โอเค " ในขณะที่เคนนี่กับรัซเซลล์คุยเรื่องแผนการอยู่นั้นแอรอนที่คอยดูข้าศึกอยู่บนต้นไม้ก็ตะโกนลงมา
" พวกแม่งมากันแล้ว " แอรอนกับรัซเซลล์ หันกลับไปดูทันที
ตรงนั้น กองทัพข้าศึกชูธงประจำกองทัพที่เป็นรูปหมาป่ากันสลอน
กำลังเคลื่อนทัพเข้าใกล้แนวป่ามาเรื่อยๆ
" เอาล่ะ ประจำสถานีรบได้ " รัซเซลล์ร้องพร้อมกับวางมาดผู้บังคับบัญชา "อ้อ เหลือแม่ทัพไว้ให้ชั้นอัดนะ "
" โอเช " เคนนี่กับแอรอนร้องตอบพร้อมกันก่อนจะวิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากเคนนี่กับแอรอนวิ่งจากไปแล้ว รัซเซลล์ก็หันไปพูดกับสตัน
" ลองไอ้สองคนนี้มันจับคู่กัน 'ล่า' แบบนี้ละก็
สงสัยจริงว่าจะเหลือมาให้เราขยี้ซักกี่คน ว่างั้นมะ สตัน "
สตันนั้นเงียบเฉย ไม่พูดอะไรออกมาซักคำ " แกนี่ไม่รู้จักพูดเลยจริงๆ นะ "
รัซเซลล์บ่นกับทีท่าเฉยเมยของสตันก่อนที่จะเดินไปยังหุบเขา
โดยมีสตันเดินตามไป
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
แนะนำตัวละคร
กราเซีย ดราเชี่ยน เวซาลิอุส (Gracia Drachen Vesalius)
สูง : 168 ซม. หนัก : 51 กก.
อายุ : 38 ปี (แต่หน้าตาเหมือนอายุ 20 กว่าๆ)
ฉายา : หมาป่าสวรรค์ (Wolf of Paradise)
อาชีพ : เจ้าเมืองเอลแลน, หัวหน้ากลุ่ม 7 อัศวินเทพหมาป่า
ความสามารถพิเศษ : อ่านความคิดที่เหลืออยู่ในสิ่งของหรือคน (Psycho Metry)
หัวหน้าใหญ่ของ 7 อัศวินเทพหมาป่าผู้มีพลังฝีมือสูงสุด เป็นคนใจดี อ่อนโยน
รักเพื่อนพ้องและลูกน้อง
ละเอียดรอบคอบ กล้าได้กล้าเสียในทางที่ดี และที่สำคัญ
ไม่ทำผิดต่อจิตใจของตัวเอง 2 ข้อหลังนี้เป็นข้อที่ทำให้ใครๆ
นับถือและยกย่องเขาให้เป็นหัวหน้า ทั้งยังเป็นข้อที่ทำให้ใครหลายๆคนเกลียดขี้หน้าอีกด้วย
นอกจากพลังฝีมือที่สูงส่งเขายังมีความสามารถทางการแพทย์ในระดับเซียนยังอายอีกด้วย
ที่มาของชื่อกราเซีย
Gracia มาจาก grace = ความสง่างาม, ความกรุณา
Drachen เป็นภาษาเยอรมันแปลว่า มังกร
Vesalius เป็นชื่อของหมอมีชื่อเสียงคนหนึ่งในยุคมืดที่กล้าออกความเห็นค้านกับศาสนจักรเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์จนถูกจับขึ้นศาลศาสนา