ROAR !!!
Chapter 6 - แผนถล่มเมืองมิวส์ -
พวกเคนนี่ทั้ง 4 คนเดินทางกลับเมืองมิวส์อย่างปลอดภัย
ส่วนอาการบาดเจ็บนั้นนอกจากรัซเซลล์ที่ได้แผลจากการสู้กับกี๊ซแล้ว
คนอื่นแทบจะไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่นิดเดียว
ทหารเมืองมิวส์ต่างพากันโห่ร้องแสดงความยินดีกับชัยชนะของทั้ง4 คนที่มีต่อกองทัพห้าพันคนได้สำเร็จ ทั้งๆที่เมื่อวันก่อนยังวิ่งพล่านตามล่า
พวกเขาจนป่วนไปทั้งเมือง เจ้าเมืองคนอื่นก็ร่วมแสดงความยินดีกับพวกเคนนี่ด้วย
ยกเว้นกอร์โดกับกุสตาฟซึ่งมีเรื่องไม่พอใจพวกเคนนี่อยู่
" ทำได้ดีมาก " เป็นคำชมสั้นๆ
แต่จริงใจของกราเซียต่อพวกเคนนี่ทั้ง 4 คน ซึ่งคำชมสั้นๆนี้ สำหรับพวกเขาแล้ว มีค่าและฟังแล้วดีใจเสียยิ่งกว่า
คำชมจากคนอื่นที่ดีแต่พ่นออกมายาวๆ อย่างเสแสร้งมากนัก
ทั้งแอรอน รัซเซลล์ ต่างยิ้มอย่างยินดีกับคำชมที่ได้รับนั้นทุกคน
โดยเฉพาะรัซเซลล์ผู้ตัดหัวแม่ทัพนั้นดีใจเกินขนาด ออกไปแอ็คท่าแปลกๆ บนโต๊ะ
เห็นแล้วอุจาดบาดตาไปหน่อย เลยถูกกาโดถีบซะหมุนตัวตีลังกา 3 รอบ
ซัมเมอร์ซอลท์ใส่เกลียวทุกรอบร่วงาจากโต๊ะลงมานอนกองอย่างไม่เป็นท่า
มีเพียง 2คนเท่านั้นที่ไม่มีรอยยิ้มแห่งความยินดีอยู่บนใบหน้า คือเคนนี่กับสตันนั่นเอง
สำหรับสตันนั้นไม่แปลกเท่าไหร่เนื่องจากเขาเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยแสดงอารมณ์อยู่แล้ว แต่เคนนี่สิธรรมดาเขาจะต้องยิ้มหรือออกอาการดีใจบ้าง
แต่เขากลับนิ่งขรึมทำหน้าตาเหมือนกับคิดอะไรซักอย่างอยู่ ไม่ยักกะเฮฮาปาร์ตี้เลย
" เคนนี่ เป็นอะไรวะ " แอรอนเรียก
เคนนี่สะดุ้งหันไปมองทันที " นั่งเหม่ออะไรอยู่วะ
เมื่อกี้ท่านกราเซียเรียกแกด้วย ไม่ได้ยินเรอะไง "
เคนนี่ตกใจ หันไปขอโทษกราเซีย แล้วขอตัวกลับห้องไปทันที
ทำเอาแอรอน รัซเซลล์และกาโดยืนงงไปหมดกับอาการอันแปลกประหลาดของเคนนี่ในวันนี้
สายตาของคนอื่นที่มองตามเคนนี่ที่เดินออกไปนั้นเต็มไปด้วยแววแปลกใจและสงสัยในขณะที่กราเซียกลับมองไปด้วยทีท่าเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเคนนี่
คนนี่กลับมายังห้องพักของตัวเองในใจของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความคิดถึงความรู้สึกแปลกๆที่เขาได้รับตอนอยู่ที่หุบเขา เขายื่นมือไปแตะจี้
Heart of Darkness ที่ห้อยคออยู่ มันอะไรกันความรู้สึกนั่น เขาคิด เหมือนกับความรู้สึกตอนนั้นตอนที่เราเจอ 'มัน' เมื่อ 10 ปีก่อน
คิดถึงตอนนี้ แววตาของเคนนี่ก็เปลี่ยนจากแววตาของคนกำลังครุ่นคิดเป็นแววตาดุดันและเต็มไปด้วยความโกรธแค้นมือที่แตะจี้อย่างแผ่วเบาก็พลัน
กำจี้เอาไว้เสียแน่นด้วยความโกรธแค้นและความเศร้าที่ฝังอยู่ในใจมาถึง10 ปี พร้อมๆ
กับที่ห้วงคิดคำนึงของเขาได้นึกไปถึงอดีตอันแสนทรมานนั้นอีกครั้ง
เขารู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเหล่า'วิญญาณ' นับสิบๆที่ไม่อาจร้องขอความเป็นธรรมเหล่านั้นอีกครั้งเหมือนในเหตุการณ์นั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน....
และด้วยอารามโกรธแค้น เคนนี่เงื้อมือขวาที่รวบเป็นหมัดขึ้นแล้วฟาดเปรี้ยงลงบนโต๊ะไม้ที่ทำจากไม้เนื้อแข็งอย่างหนาตรงหน้าทันที
เกิดเสียงดังสนั่นไปทั้งห้องโต๊ะไม้ตัวนั้นแตกออกเป็นสองซีกล้มลงไปกองบนพื้นทันที
" โอ้ หวาดเสียวจังนะนั่น " เสียงหนึ่งดังมาจากเบื้องหลังของเคนนี่
เขาหวดหมัดฟาดกลับไปทางด้านหลังทันทีด้วยพละกำลังอันมหาศาล
แต่หมัดที่เขาฟาดไปนั้นกลับหยุดอยู่แค่ข้อนิ้วทั้งสี่ข้างของเจ้าของเสียงที่พูดเมื่อกี้เท่านั้น
ร่างเล็กในชุดเสื้อขาวกางเกงดำ
พร้อมด้วยผมยาวสีเงินเหมือนเส้นไหม และดวงตาสีน้ำทะเล
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากราเซียนั่นเอง
" ออกแรงขนาดนี้หักคอกระทิงตัวใหญ่ๆ ได้เชียวนะ "กราเซียพูดแย้มยิ้ม "หวิดจะถูกหามไปโรงพยาบาลซะแล้วสิเนี่ย "
" ท่านกราเซีย " เคนนี่อุทานออกมาอย่างตกใจ "ขออภัยด้วยครับ ผมไม่รู้ว่าเป็นท่าน ก็เลยเผลอตัวไป "
" ไม่เป็นไร ช่างเถอะ " กราเซียพูดพร้อมกับเดินไปนั่งที่เก้าอี้ " นายเป็นอะไรท่าทางนายกระสับกระส่ายชอบกลนะปกตินายไม่เคยเป็นอย่างนี้นี่นามีเรื่องอะไรรึเปล่า "
" ก็....หลายเรื่องครับ จู่ๆ มันก็เข้ามาในหัวผม "" ชั้นว่าไม่นะ " กราเซียแย้งขึ้นมา "หลายเรื่องอยู่ในหัวนายก็จริงแต่มีเรื่องเดียวที่ทำให้นายกระสับกระส่ายได้ขนาดนี้ "
เคนนี่ได้ยินดังนั้นก็อึ้ง หยุดพูดไป
กราเซียเห็นดังนั้นจึงถามขึ้นมา" เรื่องของ 'เจ้านั่น' ที่นายตามล่าตัวอยู่ใช่มั้ย "
เคนนี่นิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะรับคำว่าใช่
"วันนี้ตอนที่ผมจะกลับจากถล่มกองทัพวอร์เรนเซียนั่นผมรู้สึกเหมือนว่ามันอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ผมจำได้ดี
ความรู้สึกในตอนนั้น ตอนที่มัน... ทุกคน...พี่สาว.... "
พูดถึงตอนนี้สีหน้าของเคนนี่ก็กลับเป็นสีหน้าโกรธแค้นอีกครั้ง
กราเซียเห็นดังนั้นก็ถอนใจออกมาเบาๆ" ชั้นเคยบอกนายแล้ว " กราเซียพูด
"การแก้แค้นไม่เคยให้ผลดีกับใคร
มันเป็นเส้นทางมืดมนที่มีแต่ความหายนะทั้งกับตัวศัตรูของนายและตัวนายเองที่สำคัญอาจไม่ใช่แค่ตัวเองกับศัตรูเท่านั้น
ที่จะพบกับความหายนะมันอาจเลยไปถึงคนอื่นๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยก็ได้"
เคนนี่นั่งเงียบไม่พูดอะไรทั้งนั้น" ผมเข้าใจ " เคนนี่พูดขึ้นในที่สุด "แต่ผมอยู่บนทางสายนี้มานานเกินไปแล้วละครับถ้าผมทิ้งมันไปตอนนี้ ก็เท่ากับว่าผมไม่เหลืออะไรอยู่เลย"
กราเซียถอนหายใจออกมาเบาๆ อีกหนแล้วพูด" ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ชั้นคงบอกนายได้คำเดียว "
กราเซียพูดออกมาพร้อมกับเดินไปที่ประตู "อย่าทำให้คนอื่นต้องทุกข์ทรมานเพียงเพราะความแค้นของตัวนายเอง เข้าใจนะ "
พูดจบ กราเซียก็ปิดประตู เสียงเดินของกราเซียค่อยๆ
ห่างจากห้องไปทีละน้อยๆ จนไม่ได้ยินเสียงอีกเคนนี่ซึ่งบัดนี้อยู่คนเดียวอีกครั้งค่อยเดินกลับไปนั่งบนเตียงด้วยสึหน้าเศร้าหมอง
เขายกมือขวาขึ้นกุมหน้าผากด้วยทีท่าเศร้าเสียใจเป็นที่สุด
ห่างจากเมืองมิวส์ไป 10 กิโลเมตรทางทิศตะวันออก...
ค่ายใหญ่ของกองทัพวอร์เรนเซียตั้งตระหง่านเย้ยฟ้าท้าดินอยู่กลางทุ่งขนาดใหญ่
มีป่าโปร่งอยู่รอบๆ ทุ่งหญ้านั้น
อาณาเขตของค่ายกินเนื้อที่กว้างกว่า 300 ตารางเมตร
กระโจมหนังสัตว์ทั้งใหญ่เล็กตั้งสลับกันอย่างเป็นระเบียบสวยงามอยู่เต็มไปหมดมีรั้วทำจากไม้ตั้งอยู่รอบๆ ค่าย ภายในมีแต่ทหารเดินตรวจตราความเรียบร้อยเต็มไปหมด
เกือบทุกจุดในค่ายจะมีธงประจำกองทัพซึ่งเป็นรูปหมาป่าสีขาวบนพื้นน้ำเงินปักอยู่เต็มไปหมดและที่กระโจมแห่งหนึ่ง เป็นกระโจมที่ใหญ่ที่สุด
ที่ยอดของกระโจมมีธงตราหมาป่าผืนใหญ่ที่สุดโบกสะบัดอยู่
ก็กำลังมีการปรึกษากันขนานใหญ่ในการจัดการยึดเมืองมิวส์ให้ได้
การประชุมหนนี้มีแม่ทัพของวอร์เรนเซียเข้าร่วมประชุมทั้งหมด5 คน กับองค์ชายเรนลอร์ด โอรสองค์โตของจักรพรรดิแห่งวอร์เรนเซียที่เข้าร่วมประชุม
" กองทัพติดอาวุธหนักห้าพันคนของเราถูกทำลายจนราบภายในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง " ไดเนอร์หนึ่งในแม่ทัพทั้ง 5 ของวอร์เรนเซียกล่าวขึ้น
" แถมกี๊ซก็ยังเสียหัวให้พวกมันอีกด้วย " ดีโน่แม่ทัพอีกคนเสริม
" ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ในบรรดาทหารของเราแล้วฝีมือของกี๊ซเองก็จัดว่าอยู่ในขั้นสูงทีเดียวนะ "
เกรเซอร์ แม่ทัพคนที่ 3 ให้ความเห็นมาอีก
" ดูท่านเกรเซอร์จะห่วงถึงเรื่องนี้จริงนะ " วาลแม่ทัพคนที่ 4 กระแนะกระแหน " อ้อ ลืมไปกี๊ซเป็นทหารในบังคับบัญชาของท่านนี่นะ ถ้าเจ้านั่น
ทำพลาดอะไรไป ผู้บังคับบัญชาอย่างท่านก็รับไปเต็มๆเท่านั้น "
เกรเซอร์มีทีท่าโกรธนิดๆเขาพยายามพูดออกมาด้วยเสียงปกติที่สุดว่า
"ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก ข้าเพียงแต่ห่วงกองทัพเท่านั้นแหละจากผลที่เราส่งกองทัพไปลองเชิงพวกมันดู แล้วถูกทำลายจนราบแบบนี้ข้าก็แค่คิดว่าเราจะสามารถรับมือ
กับพวกเมืองมิวส์ได้เช่นไรเท่านั้นเอง"
วาลหัวเราะเหมือนจะเยาะอยู่นิดๆ ในลำคอ
เกรเซอร์เองสังเกตเห็น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่าสงวนท่าทีของตัวเองไว้
" เอาล่ะ พอได้แล้ว " เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่ง อายุประมาณ 22 ปี
สวมชุดสีน้ำเงินทั้งตัว ใบหน้าคมสันตาเรียวสวยเหมือนตาหงส์ นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะประชุม โดยมี
ชายคนเดียวกับที่แอบสังเกตการณ์การปฎิบัติการถล่มกองทัพของพวกเคนนี่ทั้ง4 คน ยืนอยู่ข้างๆ เขาคือองค์ชายเรนลอร์ดโอรสองค์โตของจักรพรรดิแห่งวอร์เรนเซียนั่นเอง
" ตอนนี้เราเองก็รู้แน่ชัดแล้ว " องค์ชายเรนลอร์ดตรัส "จากข้อมูลที่สปายที่เราส่งไปสอดแนมในเมืองมิวส์
พวกมันได้หมาป่าสวรรค์กราเซียเป็นพวกแล้ว ทั้งยังมีลูกน้องมือดี 5คนของหมาป่าสวรรค์มาร่วมมือด้วยอีก
เห็นทีพวกเราจะต้องระวังในการบุกจู่โจมเมืองมิวส์บ้างละ"
" จะกลัวอะไรกับคนแค่ 6 คนกันพะย่ะค่ะ " โซรอนแม่ทัพหนุ่มเลือดร้อนโพล่งขึ้น
แม่ทัพไดเนอร์ผู้อาวุโสที่สุดร้องเตือนให้โซรอนสงบปากบ้าง
แต่องค์ชายหนุ่มยกมือเป็นเชิงปราม" พวกเรามีกำลังพลเป็นแสนๆ ต่อให้พวกมันแข็งแกร่งแค่ไหน
ก็ไม่มีทางที่จะต้านกำลังพลมหาศาลขนาดนี้ได้แน่นอนแล้วมีอะไรที่เราจะต้องระวังกันอีกล่ะพะย่ะค่ะ "
" เจ้าโง่ !!! " แม่ทัพไดเนอร์พูดเกือบเป็นเสียงตะโกน "เพราะแกโตไม่ทันน่ะสิ
ถึงได้ไม่รู้ถึงความน่ากลัวของหมาป่าสวรรค์กราเซียน่ะ "
" ก็แค่ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในโลกของเหล่านักสู้คนหนึ่ง
แล้วก็เป็นหัวหน้าใหญ่ของกลุ่ม 7อัศวินเทพหมาป่าที่ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น
แล้วคิดเหรอว่ายอดฝีมือคนเดียวจะต้านคนทั้งกองทัพได้น่ะ"
" แล้วรู้รึเปล่า สมัยที่เกิดสงครามสมิงเมื่อ 20ปีก่อน เขากับเทพหมาป่าอีก 6คนร่วมมือกันถล่มทัพสมิงเก้าแสนจนราบคาบใน 2 วันเท่านั้นนอกจากนี้ยังเป็นคนที่จัดการ
กับราชาแห่งสมิงที่เป็นผู้นำทัพสมิงอีกด้วย"
" ก็ไม่จำเป็นว่ากราเซียมาแล้วไอ้พวกเทพหมาป่าคนอื่นจะมาด้วยนี่นา "โซรอนเถียงกลับตามประสาคนหนุ่มเลือดร้อน "แล้วที่ว่าทำลายทัพสมิงเก้าแสนน่ะ
ผมว่าต้องเป็นเรื่องที่กุขึ้นมาแหงๆ
ลองคิดดูสิ จะมีใครใช้คนแค่ 7 คน
ทำลายกองทัพที่มีทหารเกือบถึงหลักล้านได้บ้างล่ะอย่าว่าแต่เป็นทัพของพวกสมิงเลย
ผมว่าแค่เจอกับกองทัพคนด้วยกันนี่ก็ไม่เหลือซากแล้ว "
" ไอ้เด็กหัวดื้อนี่ !! " แม่ทัพไดเนอร์ตะโกนแทบจะลั่นที่ประชุม
ลืมไปชั่วคราวว่าตอนนี้กำลังอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ขององค์ชายเรนลอร์ด
" ท่านไดเนอร์ ท่านโซรอน อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ขององค์ชาย กรุณามีมารยาทหน่อย "
เสียงเตือนมาจากชายผมขาวหน้ามีรอยสักสีดำเต็มหน้าที่ยืนอยู่ข้างๆ องค์ชายเรนลอร์ด
ไดเนอร์กับโซรอนเงียบกริบทันที
" เอาเถอะ ชั้นไม่ถือสาหรอก "องค์ชายตรัสพร้อมกับแย้มพระสรวล
" เดธมาคส์ท่านเป็นผู้ที่อาสาเข้าไปสอดแนมในการรบด้วยตัวเองไม่ใช่เหรอชั้นต้องการความเห็นจากท่าน "
" พะย่ะค่ะ " เดธมาคส์หันไปทางผู้เข้าประชุมทุกคนและพูด
" กราเซียแห่งเมืองเอลแลนนั้นนอกจากจะมีฝีมือเป้นอันดับหนึ่งแล้ว
ยังมีพวกรัฐอิสระหรือชนกลุ่มน้อยหลายพวกที่กราเซียเคยมี 'พระคุณ'กับพวกนั้นมาก่อน
ซึ่งถ้ากราเซียขอกำลังจากพวกนี้ละก็
พวกเราเองก็คงจะลำบากไม่น้อยเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ยังมีลูกน้องฝีมือดีอยู่มากมาย แต่มี 5
คนที่นับว่าเป็นสุดยอด "
" เคนนี่ แอรอน รัซเซลล์ สตัน 4คนนี้เป็นมนุษย์สมิงที่มีฝีมือในการรบสูงมาก
นอกจากนี้ยังมีการวางแผนประสานงานกันอย่างยอดเยี่ยมที่ทัพห้าพันของเราถูกทำลายได้ง่ายๆ นั้น
เป็นเพราะทั้ง4 เป็นมนุษย์สมิง ทั้งกำลัง ความเร็ว ความทรหดและประสาทสัมผัสเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาหลายเท่าอยู่แล้วยิ่งมาบวกกับการวางแผนและการประสานงานที่ดี
กับความประมาทของแม่ทัพอีกทำให้กองทัพถูกล่อเข้าไปในชัยภูมิที่ทำให้พวกมันได้เปรียบและถูกขยี้เละอย่างง่ายดาย "
" อีกคนที่น่ากลัว คือ กาโด องครักษ์ของกราเซีย
คนคนนี้เกือบจะได้เป็นจอมทัพของประเทศเรามาแล้ว
ฝีมือนั้นเรียกได้ว่าไม่เป็นรองใครในบรรดาลูกน้องของกราเซียทั้งหมด "
พวกแม่ทัพที่เข้าประชุมต่างมีสีหน้าตื่นตระหนก
มีเสียงคุยกันพึมพำจากแม่ทัพไดเนอร์และแม่ทัพดีโน่
จนองค์ชายต้องยกมือทำท่าเป็นเชิงบอกให้หยุด เสียงจึงเงียบลง
" พูดจายกยอข้าศึกซะเกินเลยเชียวนะ ท่านเดธมาคส์ "
โซรอนพูดพร้อมกับมองมายังเดธมาคส์ด้วยสายตาแปลกๆ "แบบนี้ถือว่ามีเจตนา
จะทำลายขวัญของกองทัพนะ รู้รึเปล่า "
"ผมก็แค่วิเคราะห์ในสิ่งที่ตาเห็นและหูได้ยินเท่านั้นเอง" เดธมาคส์ตอบหน้าตาเฉย
โซรอนได้ยินดังนั้นก็โมโห แต่ก็ทำได้แค่หัวเราะแค่นๆออกมาเบาๆ เท่านั้น
" แต่ยังมีทางแก้ได้อยู่ครับ "เดธมาคส์พูดต่อโดยไม่สนใจกับทีท่าของโซรอน "ถึงแม้ว่ากราเซียจะมีฝีมือ
แต่ตอนนี้กราเซียไม่สามารถใช้พลังได้เต็มที่
เหมือนสมัยก่อนแล้ว เนื่องจากอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้กับเจ้าสมิงเมื่อ 20ปีก่อน ตอนนี้เขาสามารถใช้พลังได้เพียง 35เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมดเท่านั้น ข้อนี้ทุกท่านน่าจะทราบดี "
"
แต่นั่นก็มากพอที่จะต้านกองทัพของเราได้เชียวน "แม่ทัพไดเนอร์ค้าน
" ไม่ต้องห่วงผมมีแผนการณ์ที่จะใช้สำหรับต่อสู้กับพวกมันแล้ว "เดธมาคส์ตอบข้อคัดค้านของไดเนอร์ "ผมเสนอว่าเราควรจะเข้าจู่โจมเมืองมิวส์อย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ "
"แบบนั้นเท่ากับเอาชีวิตไปเซ่นให้กราเซียกับลูกน้องของมันเชียวนะ" เกรเซอร์แย้ง
" แต่ถ้าเรารอแบบนี้ไปเรื่อยๆเราเองจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่นอนจากข่าวที่สายสืบในเมืองมิวส์รายงานมา บอกว่าตอนนี้กำลังเสริมที่กราเซียขอ อีกเพียงแค่ 3วันเท่านั้น
ก็จะเดินทางมาถึงเมืองมิวส์แล้ว "
แม่ทัพทุกคนมองหน้ากันอย่างตื่นกระหนก
องค์ชายเรนลอร์ยกมือขึ้นปรามแล้วหันไปถามเดธมาคส์
" ท่านมีแผนการอะไรที่จะรับมือไหม "
" พะย่ะค่ะ ข้าพระองค์คิดว่าเราควรใช้การบุกเข้าจู่โจมอย่างสายฟ้าแลบ
ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดีจู่โจมก่อนที่กำลังเสริมของกราเซียจะมาถึง เราควรใช้หน่วยเคลื่อนที่เร็ว
บุกเข้าโจมตีมิวส์ทันที " เขาหยุดเว้นระยะเล็กน้อย แล้วจึงพูดต่อ
"และสำหรับการรบครั้งนี้ให้เป็นหน้าที่ของกองทัพสมิงของข้าพระองค์เถิดพะย่ะค่ะ
พวกเขาเดินทางได้เร็วและเงียบยิ่งกว่ากองทัพมนุษย์การจะบุกเข้าประชิดเมืองมิวส์อย่างรวดเร็ว
โดยไม่ให้พวกมันรู้ตัวต้องทำได้แน่นอน"
องค์ชายเรนลอร์ดนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงตรัส " ตกลงชั้นจะให้ท่านเป็นผู้นำในการรบครั้งนี้เตรียมกองทัพของท่านให้พร้อม "
" ให้ข้าพระองค์ติดตามไปด้วยเถอะพะย่ะค่ะ "
เสียงของโซรอนดังแทรกขึ้นมา
" ข้าพระองค์ต้องการพิสูจน์ ว่ากราเซียที่ใครๆในกองทัพของเราต่างกลัวจนหัวหดคนนี้จะมีฝีมือสักแค่ไหนเก่งจริงอย่างที่เขาว่ากันรึไม่ "
พูดถึงตอนนี้สายตาของโซรอนก็ชำเลืองไปมองแม่ทัพไดเนอร์กับเดธมาคส์ด้วยแววดูแคลน
แม่ทัพไดเนอร์โกรธจัดขยับปากจะด่าแต่ถูกองค์ชาย
ห้ามไว้ทัน สำหรับเดธมาคส์นั้นไม่แสดงอารมณ์ใดๆคงยืนหน้าตายอยู่เหมือนเดิมนั่นเอง
" ก็ได้ " องค์ชายเรนลอร์ดตอบรับ "เตรียมกองทัพของท่านให้พร้อมเช่นกันแล้วสมทบกับกองทัพของท่านเดธมาคส์
เตรียมตัวบุกเมืองมิวส์ "
เลิกประชุมแล้ว
เดธมาคส์กลับมายังค่ายฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นค่ายทัพสมิงของตัวเอง
ในขณะที่เดินมาเกือบจะถึงกระโจมที่พักของตัวเองนั้น
" มาทำอะไรในกระโจมของชั้น "
สิ้นเสียงถามของเดธมาคส์ ที่หน้ากระโจมซึ่งดูเผินๆเหมือนเป็นปากทางเข้ากระโจมธรรมดาพลันปรากฏเป็นร่างเงาคนขึ้นมาช้าๆ จนแจ่มชัด
เป็นร่างของชายคนหนึ่ง หน้าตาท่าทางบ้าๆ บอๆ
ใบหน้ามีรอยยิ้มกวนๆ แต่แฝงไว้ด้วยความคลั่ง
แขนขายาวเก้งก้าง แต่ดูแข็งแกร่งมีกล้ามเป็นมัด
ผิวเป็นสีทองแดง สวมเสื้อผ้าสีเขียวสลับแดง
ที่ปลายแขนมีรอยปูดโปนเนื่องจากเอาลูกเหล็กหลายๆ
ลูกฝังลงไปในเนื้อเรียงกันเป้นแถวจนดูคล้ายกับกระดูกสันหลังบนหลังแขน
" กีล่า " เดธมาคส์เรียกชื่อของเจ้านั่น "มาทำอะไรที่นี่ "ถึงตอนนี้ เดธมาคส์ชะงักไปนิดหนึ่ง แล้วพูดต่อ
" แกไม่ได้มาคนเดียวนี่ "
" ครับ ท่านเดธมาคส์ " เสียงเสียงหนึ่งเอ่ยตอบ ไม่ใช่เสียงของเจ้ากีล่า
แต่ดังมาจากทางข้างหลังของกีล่าคือข้างในกระโจมนั่นเอง
พร้อมๆ กับที่ร่าง 3 ร่าง ค่อยๆ เดินออกมาจากกระโจม
เป็นผู้ชาย 2 ผู้หญิง 1ผู้ชายคนที่เดินนำหน้ามานั้นดูจะเป็นเจ้าของเสียงที่พูดหน้าสี่เหลี่ยม
ผมสีแดงเพลิงชี้รอบหัวเหมือนดวงอาทิตย์
สวมชุดดำสลับแดง ที่แขนขวาหุ้มเกราะสีแดง
ผู้หญิงผมสีขาวยาวถึงหลัง รวบหางม้า ผูกริบบิ้นสีขาวผิวขาวมาก เหมือนจะมองทะลุได้
และแทบจะกลืนไปกับผ้าพันคอสีขาวซึ่งตัดกับชุดสีน้ำเงินอ่อนคล้ายชุดกิโมโนของญี่ปุ่นผสมชุดกี่เพ้าของจีน
ผ่าสูงด้านซ้ายเกือบถึงเอว ตัวชุดดูกระชับเหมาะสำหรับสวมต่อสู้
แต่ก็แฝงความงดงามอ่อนโยนอยู่ในที
ดวงตาสีแดงเพลิงแฝงไว้ด้วยแววเศร้าสร้อย
ส่วนผู้ชายอีกคนรูปร่างใหญ่ แขนยาวเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ
หน้าตาดุดันและเป็นสีเขียวเหมือนคนถูกรัดคอ
ผมสีส้มชี้เหมือนทรงเบจิต้า สวมชุดสีแดงสลับขาว
คล้ายชุดนักมวยปล้ำ
" มาที่นี่มีธุระอะไร " เดธมาคส์ถามอีกครั้ง "แล้วทำไมถึงต้องให้กีล่าพรางตัวปิดทางเข้ากระโจมไว้ด้วยล่ะคงไม่ใช่คิดจะทดสอบพลังข้าอีกนะ "
" พวกข้ามิบังอาจจะทำเช่นนั้นอีกหรอกครับ " ชายผมแดงตอบ
" พวกข้าเห็นท่านกลับจากประชุมแล้ว เลยมารับเท่านั้นเองไม่มีอะไรมากกว่านี้ครับ "
" งั้นเหรอ " เดธมาคส์ถามพร้อมกับมองหน้าขายผมแดงเหมือนจะค้นหาอะไรบางอย่าง
" งั้นทำไมไม่ไปรับที่หน้าค่ายซะเลยล่ะ ฮึ "
เงียบ ไม่มีใครพูดอะไรซักคำ
" ช่างเถอะ มาก็ดีแล้วข้าคิดว่าจะให้คนไปตามพวกเจ้าพอดี "
เดธมาคส์เอ่ยขึ้นในที่สุด " เตรียมกองทัพให้พร้อมเราจะออกเดินทัพกันคืนนี้ "
" ครับ " ชายใส่เกราะแดงที่มือขวาตอบก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับคนอื่น
1 ชั่วโมงต่อมา
4 คนที่เดินออกไป เดินกลับมายังกระโจมอีกครั้ง
" กองทัพพร้อมแล้วครับ ท่านเดธมาคส์ "
คนใส่เกราะสีแดงที่มือขวารายงาน "โปรดเลือกผู้นำทัพในการจู่โจมด้วยครับ "
" ข้าจะนำเอง " คำตอบของเดธมาคส์ทำให้หมอนั่นตกใจ
" ท่านเป็นถึงแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งกับแค่เมืองหน้าด่านธรรมดาข้าเห็นว่า... "
ยังไม่ทันที่เจ้านั่นจะพูดต่อ
มันก็จำต้องหุบปากเสียด้วยสายตาเย็นชาดุดันของเดธมาคส์ที่จ้องมายังมัน
" นี่เป็นงานสำคัญที่สุดงานหนึ่งเลยทีเดียว
ลำพังถ้าเป็นกองทหารของเมืองมิวส์น่ะข้าเชื่อว่าเราสามารถสู้ได้โดยใช้กำลัง
แต่ที่น่ากลัวก็คือ ตอนนี้กราเซียอยู่ที่เมืองมิวส์ด้วย
ถึงจะใช้พลังได้ไม่เท่าเมื่อ 20 ปีก่อน
แต่คนคนนี้ก็คือนักสู้อันดับหนึ่งในตำนาน
ประมาทไม่ได้เด็ดขาด การจะเอาชนะคนคนนี้
เราจำเป็นต้องใช้กลศึก "
" กลศึก ? "
" ถูกต้อง ถึงจะเก่ง แต่กราเซียมีจุดอ่อนที่เป็นคนใจดีเกินไป
เราจะใช้ตรงนั้นแหละเป็นตัวทำให้กลศึกของเราสมบูรณ์ที่สำคัญ นอกจากเรื่องกำลังเสริมที่จะมา
ถึงใน 3 วันข้างหน้าแล้ว ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ข้าเลือกเดินทัพในคืนนี้ลองตรวจทางลมดูสิ แมกเน่ "
เจ้านั่นยกปลายนิ้วชี้มือซ้ายขึ้นแตะน้ำลายแล้วชูรับลม
" นี่มัน "
" ใช่แล้ว คืนนี้กองทัพของเราอยู่ทางใต้ลม
เข้าใจรึยังล่ะ กลศึกของข้า "
เจ้านั่นนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยิ้มแล้วตอบ "ข้าเข้าใจแล้วครับ "
" ก็ดี " เดธมาคส์พูดหน้าตาเฉย " และที่สำคัญที่สุดข้ามีใครบางคนที่อยากจะเจอตัวด้วย ไม่ได้เจอกันมาตั้ง 10ปีแล้ว อยากจะแวะไปเยี่ยมซะหน่อย
จริงสิ เมื่อตอนกลางวันข้าก็ไปหา แต่ไม่ได้คุยอะไรกันเลยหนนี้คงต้องจิบน้ำชาคุยกันซักหน่อย "พูดจบ เดธมาคส์ก็หันหน้าไปยังทิศที่เมืองมิวส์ตั้งอยู่
ใบหน้าปรากฎรอยยิ้มแปลกๆและประกายตาก็เต็มไปด้วยแววเหี้ยมเกรียม
เขายืนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่แมกเน่จะเดินมาแจ้งถึงการมาของโซรอน
แม่ทัพหนุ่มเลือดร้อนเดธมาคส์ตะโกนสั่งทัพ "เคลื่อนที่ให้เงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้
แต่ต้องเร็วที่สุดด้วยเราจะยึดเมืองมิวส์ให้ได้ถายในคืนนี้เสียงโห่ร้องน่ะเก็บไว้โห่ตอนบุกเข้าเมืองมิวส์ไม่ก็โห่มันซะตอนนี้เลยก็ได้ เอ้าใครอยากโห่ก็โห่ได้เลย"
มีเสียงโห่ดังกระหึ่มไปทั้งกองทัพพวกทหารที่ส่งเสียงโห่ค่อยๆ กลายร่างไปทีละน้อยบ้างก็เป็นเสือ บ้างก็เป็นแมวป่า บ้างก็เป็นหมูป่า
และสัตว์ประเภทอื่นอีกหลายสิบชนิด
" เคลื่อนทัพได้ " เดธมาคส์ตะโกนสั่งทัพ
เสียงโห่ร้องพลันหยุดลงก่อนที่กองทัพของเหล่าอสุรกายจะเคลื่อนออกไปอย่างรวดเร็ว
" ไปกันได้ กีล่า แมกเน่ วอลโด ไอร่า "
ทั้ง 4 คนรับคำแล้วกระโจนหายไปอย่างรวดเร็วเดธมาคส์นั่นหันหน้าไปทางเมืองมิวส์
ยิ้มแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วจึงกระโดดหายไป