ROAR !!!

Chapter 7 - The Attack of Monstrosities -

เมืองมิวส์ เวลา 02.00 น. ภายในเมืองนั้น ทหารรักษาเมืองกว่าสามพันคนเดินกันขวักไขว่ตามคำสั่งของแอนนาเบล ซึ่งก็มาจากคำแนะนำของกราเซียอีกทีนั่นเอง
กราเซียนั้นเกรงว่ากองทัพวอร์เรนเซียจะฉวยโอกาสเข้าจู่โจมอีกหน ดังนั้นจึงขอให้แอนนาเบลจัดให้ทหารเตรียมพร้อมรบเอาไว้ตลอด 24ชั่วโมง เพื่อคอยสังเกตการณ์
ข้าศึกที่อาจบุกมาได้ทุกเมื่อในเวลานั้นที่ปราสาท แอนนาเบล เจ้าเมืองมิวส์คนปัจจุบันยืนมองออกไปข้างนอกหน้าต่างโดยเอาตัวพิงกับขอบหน้าต่างไว้
ในห้องนั้นนอกจากแอนนาเบลแล้วยังมีกราเซียนั่งอยู่ที่เก้าอี้รับแขกที่ตั้งอยู่หน้าโต๊ะอีกคน ส่วนเจส เลขานุการคนสนิทตอนนี้ไม่ได้อยู่ในห้องด้วย
" พวกเจ้าเมืองคนอื่นๆ กลับไปกันหมดแล้ว " แอนนาเบลพึมพำกับตัวเองเบาๆ
"มีแต่ท่านเทเรซ่าเท่านั้นที่ยอมตกลงช่วยเราในการรับมือกับกองทัพวอร์เรนเซีย นอกนั้นปฏิเสธหมด ขี้ขลาดกันทั้งนั้น "คำพูดตอนหลังแอนนาเบลพูดออกมาเกือบจะเป็นเสียงตะโกน
" ท่านกอร์โดน่ะสมควรถูกตำหนิว่าอย่างนั้นจริงๆ "กราเซียเอ่ยขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ "แต่ไม่ควรจะว่าท่านกุสตาฟแบบนั้น เขาเพียงแต่รักครอบครัว
รักบ้านเกิดของเขาเกินไปเท่านั้น เพราะฉะนั้นเขาจึงกลัวว่าถ้าแผนการรบพลาดขึ้นมาทุกสิ่งทุกอย่างของเขา ทั้งครอบครัว คนที่รักแม้แต่บ้านเกิด
จะต้องถูกทำลายเขาจึงเห็นด้วยกับการที่จะทำสัญญาสงบศึกกับวอร์เรนเซียมากกว่าที่จะเข้ารบแบบบ้าเลือดอย่างที่เรากำลังจะทำอยู่นี่ "
"แต่เขาก็น่าจะคิดบ้างว่าวอร์เรนเซียไม่มีทางยอมตกลงเซ็นสัญญาสงบศึกแน่"
"เขาคงจะยังไม่ไว้ใจฝีมือของเรามังครับว่าจะสามารถรับมือกับกองทัพเกือบล้านคนของวอร์เรนเซียได้จริง "
" ทั้งๆที่ลูกน้องของท่านแสดงฝีมือในการรบขนาดนี้แล้วนะคะ "
"เขาคงคิดว่าชนะห้าพันด้วยคนสี่คนยังไม่ใช่หลักประกันว่าเราจะชนะ เพราะสงครามน่ะแพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาวันนี้ลูกน้องผมชนะ แต่วันหน้าก็มีโอกาสที่จะแพ้ได้ "
กราเซียนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วยกมือขวาชูขึ้นในระดับใบหน้า สายตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่นั้นจับจ้องที่มือข้างนั้นแล้วพูดขึ้น
" อย่างน้อยถ้าร่างกายของผมยังเหมือนเมื่อ 20 ปีก่อนละก็ บางทีอาจเรียกความเชื่อใจกลับมาได้บ้าง "
" ไม่หรอกค่ะ " แอนนาเบลตอบมาด้วยใบหน้าอ่อนโยน " ถึงท่านกราเซียจะสูญเสียพลังที่ใช้ทำลายเจ้าสมิงเมื่อ 20ปีก่อนไปแล้ว แต่ท่านยังมีสิ่งหนึ่ง
ที่เป็นคุณสมบัติในการเรียกความเชื่อใจจากคนอื่นอยู่นั่นก็คือ พระคุณ เพราะท่านมีสิ่งนี้อยู่ ทำให้แม้แต่พวกชนกลุ่มน้อยแถบเมืองเอลแลนที่ไม่เคยมีใครปราบได้
ก็ยังยอมเป็นมิตรด้วยไม่เหมือนกับเจ้าเมืองบางคนที่ใช้แต่พระเดชแต่ไม่เหลียวแลถึงพระคุณ"
" แต่หนนี้คงใช้ไม่ได้ผลแล้วกระมังครับ "
" ไม่หรอกค่ะ เพราะพวกเขาไม่ได้รู้จักท่านจริงๆ ต่างหาก"
ถึงตอนนี้กราเซียถอนใจเบาๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ และพูด " ขอบคุณสำหรับคำชมครับ เลดี้แอนนาเบล "จากนั้นเขาก็เดินไปที่ประตูและพูดออกมา
"และก็ขอบคุณที่กล้าเชื่อใจคนไม่มีเครดิตอะไรให้คนเชื่อใจอย่างผม ผมลาละ " ขาดคำ กราเซียก็เดินออกไปจากห้องเงียบๆ เสียงเดินเบาๆ
เป็นจังหวะค่อยห่างจากห้องไปเรื่อยๆ สำหรับแอนนาเบล แม้ว่ากราเซียจะออกจากห้องไปแล้วแต่สายตาของเธอก็ยังคงจับอยู่ที่ประตูซึ่งกราเซียเพิ่งเดินออกไปตะกี้
เป็นสายตาที่แฝงไว้ด้วยแววแห่งความเศร้าและสงสาร

เคนนี่ แอรอน รัซเซลล์และสตันอยู่บนกำแพงเมืองส่วนที่ใกล้กับกำแพงปราสาทที่สุด ซึ่งเป็นจุดที่สามารถมองเห็นรอบเมืองได้กว้างที่สุด
(สำหรับมนุษย์สมิงอย่างพวกเคนนี่ที่มีระบบประสาทเหนือกว่ามนุษย์หลายเท่า) ทั้ง 4 ออกมาเฝ้าที่จุดนี้ตามคำสั่งของกราเซีย
" เมื่อยชะมัดเลยแฮะ " รัซเซลล์บ่นพร้อมกับบิดตัวไปมาอย่างคนกำลังเมื่อยเต็มที
" เพิ่งไปรบมาหยกๆ ต้องมาอยู่เฝ้าดูศัตรูอย่างนี้ แย่จริงๆ วุ้ย ทั้งเมื่อยทั้งง่วงเลย "
" บ่นส่งเดชเข้าไปเหอะวะ " แอรอนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ว่า "ความจริงแล้วไม่รู้สึกเหนื่อยเลยไม่ใช่เรอะ "
รัซเซลล์หันมาค้อนปะหลับปะเหลือกใส่หน้าแอรอน "ไอ้ตัวรู้มาก " เขาคำรามเบาๆ
" ไม่แปลกนี่หว่า " แอรอนพูดต่อ " เรามันพันธุ์เดียวกัน ต้องรู้กันอยู่แล้ว "รัซเซลล์สบถอุบอิบอยู่ในลำคอก่อนจะผละไปเพื่อมองตรวจตรากำแพงเมืองอีกข้างต่อ
แอรอนมองตามร่างของรัซเซลล์ที่ผละไปยืนอยู่กับสตันอีกด้านหนึ่งพร้อมกับอมยิ้มแล้วหันไปมองเพื่อนอีกคนของเขาที่ยืนเงียบอยู่ไม่ไกลจากที่เขายืนอยู่นัก
ไม่ใช่อื่น เคนนี่นั่นเอง เขายืนนิ่งซึมกะทือเอามือเท้ากับช่องระหว่างเชิงเทินอยู่สีหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
แอรอนรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างกับอากัปกิริยาแปลกๆของเพื่อนอยู่ไม่น้อย เพราะตามปกติเมื่อตะกี้ตอนที่เขากำลังล้อรัซเซลล์อยู่นั้น
เคนนี่เป็นต้องเข้ามาผสมโรงล้อเลียนด้วยจนหวิดจะโดนรัซเซลล์ถีบอยู่หลายครั้งซึ่งก็เป็นอย่างนี้มาตลอดนับตั้งแต่รู้จักกันมา แต่วันนี้ เคนนี่กลับไม่ทำอย่างที่เคย
ไม่แม้แต่จะพูดอะไรกับเขาเลยซักคำ มันอะไรกันวะแอรอนคิดในใจ พร้อมกับเดินอาดๆ เข้าไปหาเคนนี่ทันที

เคนนี่ยืนนิ่งเอามือวางบนช่องระหว่างเชิงเทิน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเกือบดำของเขามองออกไปบนทุ่งกว้างยามกลางคืนอย่างเหม่อลอยไร้จุดหมาย
สายลมอ่อนๆพัดผ่านใบหน้าของเขา เส้นผมสีน้ำตาลทองของเขาสะบัดพลิ้วตามแรงลมดูเหมือนใยไหมสีทองถูกลมพัดดวงหน้าคมขำสะท้อนแววเศร้าหมอง
เหมือนคนที่พยายามใช้ความคิดหาคำตอบบางอย่างแต่ก็ไม่อาจหาคำตอบที่แน่นอนได้
" รู้สึกเสียวๆ คอชอบกลแฮะ " เขาบ่นกับตัวเองเบาๆ พร้อมกับเอามือแตะที่คอ ในขณะที่เขากำลังปล่อยใจไปกับความคิดอันหลากหลาย และความรู้สึกอันมากมายนั้น
พลั่กกกก !!!!!!
ร่างของเคนนี่เซไปอีกทางตามแรงฟาดของใครคนหนึ่งที่เหวี่ยงหมัดมาโดนต้นคอของเขาอย่างถนัดถนี่ พอตั้งตัวได้เคนนี่ก็หันขวับไปยังทิศที่คนฟาดยืนอยู่ด้วยทีท่าโกรธไม่น้อย
ฝ่ายคนฟาดเองก็ยืนตีหน้าบูดพอๆ กัน  " ทำบ้าอะไรของแกวะ แอรอน "เคนนี่ตะโกนลั่นอย่างฉุนเฉียว
" ก็เห็นแกบอกว่าเสียวคอ ชั้นเลยช่วยให้หายเสียวไง " คำพูดนี้ของแอรอนฟังเผินๆเหมือนเป็นคำพูดล้อเล่นอย่างที่เขาชอบพูดบ่อย
หากแต่สีหน้าผู้พูดกลับมีแววโกรธอยู่นิดๆ จ้องตอบตาของเคนนี่" แล้วก็จะช่วยให้แกหายคิดมากไร้สาระด้วย ถ้าจำเป็น "
" แกว่าชั้นคิดมากไร้สาระเรอะ "
" เออ " แอรอนย้อนเข้าให้ "คนอย่างแกมายืนคิดมากอย่างนี้ดูแล้วเสียสายตาว่ะ "
เคนนี่หยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหัวเราะแค่นๆ ออกมาและพูด " บอกตรงๆ บางครั้งชั้นเกลียดขี้หน้าแกชิบเลยว่ะ "
" ชั้นก็เหมือนกันว่ะ" ทั้งคู่ยืนจ้องกันเงียบๆ ครู่หนึ่งก่อนที่แอรอนจะถามขึ้นมา
" วันนี้แกเป็นอะไรฮึ ตั้งแต่ตอนก่อนจะกลับเข้าเมืองแล้วเห็นแกใจลอยยังไงชอบกล "
เคนนี่เพียงยืนนิ่ง ไม่ตอบคำถามของแอรอน " ชั้นไม่ใช่นักอ่านใจคนอย่างท่านกราเซียก็จริง "แอรอนพูดขึ้นในที่สุด 
"แต่อย่างน้อยก็พอจะรู้เหมือนกันว่าในใจของเพื่อนสนิทมีอะไรอยู่"
" งั้นลองทายมาสิ "
" ได้ " แอรอนว่า " ชั้นไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่คิดว่าเกี่ยวกับ 'เจ้านั่น' ที่นายตามล่าตัวมาตลอด 10ปีนี่ " เคนนี่มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
" ชั้นทายถูกมั้ย " แอรอนถามยิ้มๆ
" เออ "
"งั้นจะไม่ลองเล่ารายละเอียดในใจแกให้มากกว่านี้หรอกเรอะ" แอรอนถาม
เคนนี่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูด " โอเค คือหลังจากที่... "
ยังไม่ทันที่เคนนี่จะเล่าอะไรที่เป็นรายละเอียดสำคัญออกมา เขาก็หยุดเล่าเสียเฉยๆ ตีหน้าเคร่งขรึม พร้อมกับหันขวับไปทางทิศตะวันตกทันที
แอรอนทีแรกเห็นเคนนี่จู่ๆ ก็หยุดเล่าเรื่องสำคัญเอาดื้อๆ อย่างนี้ก็โกรธขยับปากจะด่า แต่ก็หยุดปากที่ทำท่าจะด่าเสีย รัซเซลล์ที่เมื่อกี้แยกไปอยู่คนเดียว
ก็กลับเข้ามารวมกลุ่มพร้อมกับสตันด้วย บัดนี้ โสตประสาทของทั้งสี่คนจับเสียงผิดปกติบางอย่างได้ จากทิศตะวันตกที่อยู่เหนือลม
เป็นเสียงคำรนของสัตว์ประเภทต่างๆ ทั้งเสือหมาป่า ฯลฯ นับพันระคนกับเสียงร้องไห้และเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวของมนุษย์นับร้อย
!! เสียงเหล่านี้แม้ยามปกติจะดังมาก แต่เนื่องจากอยู่ไกล

จึงทำให้เสียงที่ดังปานฟ้าถล่มทลายนั้นกลับเบาเสียงจนคนธรรมดาแทบจะไม่ได้ยินเลย

แต่ทั้งสี่คนได้ยิน แม้จะเป็นเสียงเบาๆ แต่ก็พอที่ทั้งสี่คนจะจับได้ " พวกสมิงแหงๆ " เคนนี่ว่า " กำลังไล่คนมาจากทางตะวันตกห่างออกไปประมาณ 10 กิโลเมตร "
" กี่ตัว " รัซเซลล์ถาม
" เป็นกองทัพเลยว่ะ อย่างน้อยก็สองสามพัน "
" แล้วคนที่พวกมันไล่มา.. "
" ไม่มากเท่าไหร่ ประมาณพันกว่าคนได้ "
" แจ้งท่านกราเซียก่อน เร็ว " แอรอนหันไปสั่งกับรัซเซลล์ ทันทีที่ได้รับคำสั่งหมอก็เผ่นพรวดหายเข้าไปในทางลงกำแพงทันที

เมืองมิวส์ เวลา 2.30 น.
ทหารในเมืองต่างพากันตื่นตัวเตรียมพร้อมรับสถานการณ์อันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น
บนกำแพงเมือง ทั้งพลธนูและพลปืนไฟต่างยืนเรียงแถวกัน
เต็มกำแพงเมืองฝั่งตะวันตก
ที่ประตูเมืองก็มีพลเดินเท้าและกองทัพม้าเตรียมประจัญบานอยู่เช่นเดียวกันกำลังทหารส่วนใหญ่มารวมกันอยู่ที่ประตูฝั่งตะวันตก
ส่วนด้านอื่นก็ยังคงมีทหารรักษาการอยู่แต่ไม่มากเท่ากับฝั่งตะวันตก กราเซียยืนอยู่บนกำแพงเมืองฝั่งตะวันตกโดยมีกาโดยืนเป็นองครักษ์
ส่วนรัซเซลล์ และสตัน ยืนอยู่ใกล้ๆกับกาโดแอนนาเบลเองก็ยืนอยู่ใกล้ๆ โดยมีเจส เลขาคนสนิทยืนเคียงเช่นกัน ข้างๆ ตัวของทั้ง 2นอกจากกาโดแล้ว
ก็ยังมีทหารถือหอกประมาณ 10คนยืนเป็นองครักษ์อยู่ด้วย ที่เบื้องหน้านั้นพลธนูและพลปืนไฟจำนวนหนึ่งยืนเรียงแถวกันสลอนอยู่ติดกับเชิงเทิน
เตรียมพร้อมจะยิงทันทีที่ได้รับคำสั่ง
" จริงอย่างที่ท่านกราเซียคาดไว้จริงๆ "แอนนาเบลกล่าวขึ้น "ที่คาดการณ์ไว้ว่าพวกมันจะบุกเข้าโจมตีซ้ำอีกในคืนนี้ "
กราเซียไม่ได้ตอบรับคำชมนั้น เขายืนนิ่งก้มหัวลงเล็กน้อยในลักษณะของคนกำลังใช้ความคิด
" น่าแปลก " กราเซียนึกอยู่ในใจ "ค่ายของพวกมันอยู่ทางตะวันออกทำไมต้องเสียเวลาอ้อมไปทางตะวันตกซะไกลแล้วค่อยบุกเข้ามากันนะ "
กราเซียเดินออกไปจนพ้นหลังคาของป้อมเพื่อให้สังเกตทางลมได้สะดวก เอานิ้วชี้แตะน้ำลายแล้วชูรับลมดู
" คืนนี้ค่ายของอีกฝ่ายอยู่ใต้ลม " กราเซียคิดต่อ 
"ทำไมกันยอมอ้อมจากทิศที่ตัวเองได้เปรียบมาอยู่ตรงจุดที่ฝ่ายตัวเองเสียเปรียบอย่างนี้น่าสงสัยจริงๆ รึจะเป็นแผนลวงอะไรซักอย่าง "
ขณะที่กราเซียกำลังยืนคิดอยู่นั้น เคนนี่ก็กำลังยืนเอาหูข้างหนึ่งแนบพื้นด้านหน้ากำแพงเมืองเพื่อจับเสียงเคลื่อนไหวของกองทัพฝ่ายตรงข้ามที่กำลังใกล้เข้ามา
" ตอนนี้อยู่ห่างไปเท่าไหร่ " แอรอนที่นั่งชันเข่าอยู่ข้างๆ ถาม
" ประมาณ 6 กิโลเมตร แปลกจริง ทำไมมันช้าอย่างนี้วะ ธรรมดาพวกสมิงเดินทัพเหมือนลมพัด ระยะทางแค่นี้ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว "
" งั้นเหรอ " แอรอนพึมพัมมากกว่าจะถามคำถาม "อีกนานเท่าไหร่ล่ะถึงจะมาถึง "
" ถ้ายังมาด้วยความเร็วขนาดนี้อยู่ละก็ คิดว่าอีกประมาณไม่เกินชั่วโมงก็คงเห็นกันแล้วละแจ้งขึ้นไปให้ท่านกราเซียรู้ก่อนเหอะ "
แอรอนกระโดดพรวดเดียวขึ้นไปเกาะเชิงเทินด้วยเล็บมฤตยู(Dark Talon) แล้วเหวี่ยงตัวขึ้นมายืนบนกำแพงเมืองได้ง่ายๆ พร้อมกับวิ่งไปกระซิบบอกความกับกราเซีย
กราเซียพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้พร้อมกับบอกให้แอรอนเรียกเคนนี่กลับขึ้นมาบนกำแพงเมือง เคนนี่พอได้รับคำสั่งก็กระโดดกลับขึ้นมาบนกำแพงทันที
โดยใช้ *แฟนธอมแฟงค์ (Phantom Fang)เหวี่ยงไปมัดกับเชิงเทิน แล้วกระโดดพร้อมกับใช้แรงดึงแฟนธอมแฟงค์เพื่อส่งตัวเองขึ้นไปยืนบนเชิงเทิน
เคนนี่พอขึ้นมาถึงยอดกำแพงเมืองแล้วก็ส่ายหัวไปมาพักหนึ่ง แล้วหันไปถามแอรอน
" ได้กลิ่นมั้ย "
" ชัวร์ กลิ่นสาบของพวกแม่งลอยมาตามลมหึ่งเลย "แอรอนตอบคำถาม
" กลิ่นแรง (สำหรับพวกเคนนี่นะ)อย่างนี้คงใกล้จะมาถึงเต็มทีแล้วละเผลอๆ อาจจะเร็วกว่าที่แกกะไว้อีกนะ "
" นั่นสิ " ทั้งคู่เงียบกันไปพักหนึ่งก่อนที่แอรอนจะถามขึ้นมา
" เคนนี่ แกคิดว่ามันแปลกๆ มั้ย "
" อะไร เรื่องที่พวกสมิงยกทัพบุกเนี่ยเหรอ "
" อื้อ ตอนแรกแกบอกว่าไอ้พวกนั้นไล่คนมาใช่มั้ย "
" ใช่ "
" ลองคิดดูสิ ทำไมไอ้พวกนั้นมันแค่ "ไล่" ทำไมไม่ "ฆ่า" แล้ว "กิน" ซะเลย ถ้าไอ้พวกนั้นมันคิดจะทำจริงๆคนแค่ไม่กี่พันคนนั่นก็ไม่เหลือแม้แต่กระดูกแล้ว
แต่นี่กลับแค่ไล่มาเฉยๆ แถมไล่มาทางเมืองมิวส์ซะด้วยสิ " เคนนี่นิ่งคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูด
" แอรอน รึแกคิดว่า.... "
" ใช่ บางทีการบุกครั้งนี้อาจเป้นแค่แผนหลอกอะไรซักอย่างก็ได้" แอรอนตอบ "บางทีท่านกราเซียเองก็อาจจะกำลังคิดแบบนี้อยู่เหมือนกัน"
แอรอนพูดพร้อมกับบุ้ยปากไปทางกราเซียที่ยืนคิดอยู่ใกล้ๆกันนั่นเอง ซึ่งขณะนี้ไม่ว่าใครจะคิดอะไร ก็ไม่อาจทำอะไรได้
นอกจากคอยเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของกองทัพฝ่ายศัตรูกับคอยระวังเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝันเท่านั้นเอง


50 นาทีผ่านไป กราเซียกับลูกน้องคนสนิททั้ง 5 คน แอนนาเบลกับเจสและทหารหาญแห่งเมืองมิวส์ต่างยังคงรอคอยการมาถึงของกองทัพศัตรูอย่างจดจ่อ
ไม่มีใครซักคนพูดอะไรกันมีเพียงความเงียบขนาดแค่แมลงวันบินผ่านก็ยังได้ยินเสียงกระพือปีกเท่านั้น......
กราเซียนั้นยืนนิ่ง ตาจับไปยังขอบฟ้าที่จรดกับทุ่งหญ้าโล่งๆ เบื้องหน้า สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ต่างจากคนอื่นที่แม้ตาจะจับไปที่ขอบฟ้าเหมือนกัน
แต่กลับมีแววกระวนกระวายใจอยู่ไม่ใช่น้อยภายใต้ความเงียบกริบนั้นเอง ทั้งหมดก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่ง เป็นเสียงเบาๆดังมาจากขอบฟ้าเบื้องหน้า
มีทั้งเสียงคำรามของสัตว์ร้ายปนกับเสียงร้องอย่างหวาดกลัวและเจ็บปวดของมนุษย์จากนั้นจึงค่อยเห็นฝุ่นตลบขึ้นมาพร้อมกับเห็นบางอย่าง
คล้ายกับคลื่นขนาดใหญ่ หากแต่เป็นคลื่นของมนุษย์ที่มีร่างกายบางส่วนเป็นลักษณะของสัตว์ป่ากำลังไล่ต้อนคนกลุ่มใหญ่มาจากทางตะวันตก
ครั้นพอกลุ่มคนและทัพสมิงเข้ามาใกล้เมืองมากขึ้นจึงค่อยสังเกตุได้ว่าฝ่ายถูกไล่ล่านั้น มีทั้งชาย หญิงเด็กและคนแก่เป็นจำนวนกว่าพันคน
สีหน้าของคนเหล่านั้นเต็มไปด้วยแววหวาดกลัวสุดขีดพยายามวิ่งหนีการไล่ล่าของอีกฝ่ายแต่ก็ไม่อาจเทียบความเร็วของมนุษย์สมิงได้พวกที่วิ่งช้าก็ตกไป
เป็นเหยื่อกรงเขี้ยวและกรงเล็บของสมิงกระหายเลือดที่ตามมาด้านหลังจนสิ้นแต่ถึงแม้พวกสมิงจะรุกไล่เข้ามาอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ ฝ่ายที่ถูกไล่ล่ากลับมีจำนวนลดลงไม่เท่าไหร่
ราวกับฝ่ายล่าจงใจจะให้ฝ่ายถูกล่าวิ่งนำหน้าตัวเองไปหาเมืองอย่างนั้นแหละ ถูกต้อง พวกสมิงใช้วิธีต้อนประชาชนนำหน้าทัพของตัวเองเพื่อบีบให้ทหารใจอ่อนไม่โจมตี
และจากนั้นก็ฉวยโอกาสเข้าประชิดเมืองทันที วิธีนี้นอกจากยึดเมืองได้ง่ายๆ แล้วยังสามารถทำลายขวัญกำลังใจข้าศึกได้อีกด้วย
แน่นอน เป็นวิธีที่โหดเหี้ยม แต่ก็มีประสิทธิภาพยิ่งนัก

ตอนนี้ฝ่ายเมืองมิวส์ทุกคนได้แต่กุมขมับ แม้แต่กราเซียผู้ฉลาดหลักแหลมที่สุดในบรรดาผู้นำทุกคนของกองทัพเพราะวิธีนี้เป็นวิธีที่เรียกได้ว่าไร้จุดอ่อน ถ้าจะทำลายวิธีนี้ได้
มีทางเดียวเท่านั้น นั่นคือ ทำใจให้โหดเหี้ยมแล้วออกคำสั่งให้ทหารโจมตีทันที โดยไม่ต้องสนชีวิตของประชาชนแน่นอนว่าไม่มีใครผู้นำของทัพจะทำได้ นอกจากคนคนนี้
" รักษาเมืองสำคัญกว่า ทหาร ยิงได้ " เสียงออกคำสั่งเฉียบขาดนี้ดังมาจากเจสเลขาคนสนิทของแอนนาเบลนั่นเอง
เจสคนนี้มีอำนาจสั่งการทหารเป็นรองแค่แอนนาเบลคนเดียวเท่านั้นพลธนูและพลปืนไฟทั้งหมดตั้งอาวุธทำท่าจะปล่อย
ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน แม้แต่แอนนาเบลเอง และในชั่วพริบตาก่อนที่พลธนูและพลปืนไฟจะยิงนั้น
" ยิงไม่ได้ !!!!! " เสียงตะโกนสั่งเฉียบขาดดังก้องไปทั้งกำแพงเมืองทำเอาทุกคนในที่นั้นพากันสะดุ้ง เจ้าของเสียงนั้นคือกราเซียนั่นเอง
ตอนนี้เขาออกมายืนประจัญหน้ากับเจสผู้ออกคำสั่งยิงโดยไม่ต้องสนใจชีวิตประชาชนด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ผิดไปจากปกติซึ่งใบหน้าและการตะโกนเสียงดังเกือบเป็นตวาดนี้
แม้กาโดผู้ใกล้ชิดกับกราเซียที่สุดก็ยังเห็นเพียงไม่กี่ครั้ง " ทำไมถึงยิงไม่ได้ " เจสถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงอารมณ์โกรธ
" ถ้ายิง ประชาชนนับพันต้องล้มตาย " กราเซียโต้กลับด้วยน้ำเสียงธรรมดาที่สุด
" ถ้าไม่ยิง เมืองมิวส์ก็ไม่อาจรักษาไว้ได้ รึท่านจะปล่อยให้เมืองที่พวกเราทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดรักษาไว้ต้องถูกยึดไปแบบนี้เพียงเพราะ
ความเห็นใจไม่ถูกเวลาและสถานที่ของท่าน "
" ใช่ " คำตอบสั้นๆ ของกราเซียทำเอาเจสถึงกับสะอึก พูดไม่ออกไปชั่วขณะด้วยความตะลึงและความโกรธ ในขณะนั้นเสียงของกราเซียก็ดังมาอีก
" เมืองที่ถูกข้าศึกยึดไปยังมีโอกาสเอาคืนได้ แต่ชีวิตประชาชนที่เสียไปเอาคืนไม่ได้ " กราเซียพูดสั้นๆได้ในความแค่นี้ก็หันกลับแล้วเดินไปหาพวกเคนนี่พร้อมกับกาโดทันที
ทิ้งเจสให้ยืนตัวสั่นด้วยความโกรธจัดไว้เบื้องหลังขบกรามแน่น ด้วยไม่อาจพูดอะไรออกไปได้อีก
เพราะสายตาของแอนนาเบลที่จ้องมานั้นบอกให้รู้ว่าตัวเองควรจะหุบปากซะ

กราเซียเดินมายืนอยู่เบื้องหน้าของพวกเคนนี่ทั้ง 4 คน เขาหันไปบอกกับแอนนาเบลเบาๆ
"ช่วยบอกให้ทหารเปิดประตูเมืองรับประชาชนพวกนั้นด้วยนะครับเลดี้แอนนาเบล " แอนนาเบลยิ้มนิดๆ ก่อนจะรับคำ
กราเซียเมื่อเห็นแอนนาเบลรับคำแล้วจึงหันไปสั่งการอะไรกับพวกเคนนี้อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตะโกนออกมา
" กาโด เคนนี่ แอรอน รัซเซลล์ ตามชั้นมา " ขาดคำ กราเซียก็กระโจนพรวดขึ้นไปยืนบนเชิงเทินแล้วกระโดดอีกทีหนึ่ง
พาร่างของตัวเองลอยละลิ่วข้ามกำแพงเมืองออกไปทันทีโดยมีทหารเสือทั้ง 4 คนกระโจนตามลงไป
ท่ามกลางความตกตะลึงของทหารเมืองมิวส์ทั้งหมด


@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

*แฟนธอมแฟงค์ (Phantom Fank) จริงๆ
แล้วก็คือเขี้ยวทะลวงนั่นแหละ
แต่ว่าผมหาชื่อเป็นภาษาอังกฤษเพราะๆไม่ได้
เลยเปลี่ยนชื่อซะเลย เพื่อไม่ให้ทุกคนงง
ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปผมจะเรียกวิชาของเคนนี่ว่า
แฟนธอมแฟงค์ ตลอดครับ