ROAR !!!
Chapter 8 - Gracia's Raging Powers -
กราเซีย กาโด เคนนี่ แอรอน และรัซเซลล์
บัดนี้ลงมายืนอยู่ตรงหน้าประตูเมืองด้านตะวันตก
พวกเคนนี่ทั้ง 4 คนยกเว้นกาโดเมื่อลงมาถึงก็จัดการแปลงร่างเป็นร่างสมิงของตัวเองทันที
เพื่อเตรียมรับมือกับกองทัพสมิงที่กำลังจะมาถึง
กราเซียเมื่อเห็นลูกน้องแปลงร่างเป็นสมิงกันเรียบร้อยแล้วก็ไม่ยอมให้เสียเวลารีบพุ่งตัวออกไปทางกองทัพอย่างรวดเร็วทันทีพร้อมกับกาโด
เล่นเอาพวกเคนนี่ทั้ง 3 คนวิ่งตามเกือบไม่ทัน
" ให้ตายเหอะเจ้านายเรานี่ " รัซเซลล์บ่นออกมาเบาๆ
ขณะกำลังวิ่งอยู่ " เห็นปกติดูช้าๆ เนิบๆบทจะไปพ่อไปเร็วยังกะจะไล่ควาย คนพันธุ์ไหนกันเนี่ย "
"น่าจะรู้ตั้งแต่ตอนที่มาเป็นลูกน้องของท่านกราเซียแล้วนะ" แอรอนหันมาบอกยิ้มๆ
" ที่สำคัญจะนินทาเจ้านายก็ระวังไว้หน่อยดีกว่า "เคนนี่พูดพร้อมกับบุ้ยปากไปทางกาโดที่โลดแล่นตามอยู่ใกล้ๆกับกราเซีย
" นินทาดังไป เดี๋ยวลุงแกถีบม้ามแตกหรอก
ได้ยินว่าวันนี้ก็โดนตอกเข้าให้ไม่ใช่เรอะ "
" เออสิวะ " รัซเซลล์ตอบด้วยทีท่าฉุนนิดๆ "นี่ยังขัดยอกอยู่เลย ลุงก็จริงๆ เลยนะ กำลังเต้นท่าสวยๆอยู่ ดันถีบเข้ามาได้ เต็มตีนเลย "
" เต็มตีนอะไร " แอรอนว่า " ถ้าลุงแกถีบเต็มตีนจริงๆละก็ รับรองไม่จบแค่ขัดยอกหรอกวะ ทำบ่นมากไปได้ "
" พวกแกยังไม่เคยโดนถีบก็พูดได้สิวะ "
" ก็พวกเราไม่เคยเล่นบ้าๆ ดูแล้วอุจาดบาดตาเหมือนแกนี่หว่า "
รัซเซลล์ได้ยินดังนั้นก็หันมาค้อนปะหลับหะเหลือกก่อนจะพูดอย่างฉุน
" ไอ้สองตัวนี่หลอกด่ากันอีกแล้ว "
เคนนี่กับแอรอนหัวเราะออกมาในตอนนั้นเองเสียงของกาโดก็ดังมา บอกว่าให้รีบมาเร็วๆทั้ง 3จึงเร่งความเร็วขึ้นอีก
เพื่อไปให้ถึงสนามรบโดยเร็วที่สุด
ในเวลาเดียวกันนั่นเอง
ทัพสมิงของวอร์เรนเซียเองก็กำลังสนุกกับการตามไล่ล่าประชาชนอย่างเต็มที่
แววตาของพวกมันแต่ละคนเต็มไปด้วยแววกระหายเลือดอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ฝ่ายผู้ถูกไล่ล่าซี่งเป็นเพียงมนุษย์ตาดำๆนั้นเล่าก็พยายามวิ่งกันอย่างสุดชีวิตเพื่อจะเอาตัวให้รอด
ที่วิ่งเร็วนำหน้าได้ก็รอดไปได้ชั่วขณะ พวกที่
วิ่งช้าอยู่รั้งท้ายก็กลายเป็นอาหารของพวกสมิงที่ตามมาเบื้องหลัง
หญิงวัยกลางคนกลุ่มหนึ่ง บ้างตัวเปล่า
บ้างก็อุ้มลูกอายุไม่ถึงขวบบ้าง หนึ่งหรือสองขวบบ้าง
วิ่งหนีด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
กลัวตัวเองตายนั่นก็เรื่องหนึ่ง
แต่ที่กลัวยิ่งกว่านั่นคือกลัวว่าชีวิตขิงลูกน้อยในอ้อมอกจะต้องมอดม้วยไปด้วย
ในตอนนั้น ร่างของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งอุ้มลูกน้อยวัยเพียง 2
เดือนไว้กับอกก็เสียหลักล้มลงไปนอนหงายท่ามกลางความชุลมุนนั้น
หญิงผู้นั้นพยายามลุกขึ้น แต่ก็ลุกไม่ได้ท่ามกลางกลุ่มคนที่กำลังสับสนวุ่นวายเช่นนี้
เมื่อกลุ่มคนผ่านไป หญิงผู้นั้นจึงลุกขึ้นมาได้
แต่เพียงแค่ลุกขึ้นมานั่งยังไม่ทันจะยืนขึ้น
ก็ต้องหยุดอยู่กับที่ เมื่อสมิงตนหนึ่งกระโจมเข้าหาเธอในระยะประชิดทันที
หญิงสาวหลับตาลงด้วยความกลัวจับใจพร้อมกับนึกวาดภาพตัวเองกับลูกน้อยถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
ด้วยกรงเล็บของสมิงตนนั้น........
แต่การณ์หาได้เป็นดังที่หญิงผู้นั้นนึกภาพไว้ไม่ !!!!
เจ้าสมิงตัวนั้นเข้าไม่ถึงตัวหญิงผู้นั้นหรอกครับ
แค่มันกระโจนมาจะถึงตัวแค่นั้น
ร่างของมันก็ผงะอยู่กลางอากาศราวกับชนกับกำแพงที่มองไม่เห็นและพริบตานั้น ก็เกิดมีไฟลุกท่วมร่างของสมิงตนนั้นทันที
มันส่งเสียงร้องพร้อมกับบิดตัวไปมา
อย่างเจ็บปวดก่อนจะร่วงลงกับพื้นนิ่ง ไม่ไหวติง
ไม่ใช่แค่เจ้าสมิงตนนี้เท่านั้น
ยังมีเพื่อนของมันอีกหลายสิบหลายร้อยตัวที่พุ่งหรือวิ่งเข้าหาเหยื่อแล้วชนกับ
" กำแพงลึกลับ "
เข้าเต็มหน้า แล้วเกิดลุก เป็นไฟร้องอู้ลั่นทุ่ง
พวกสมิงที่ตามหลังมาเริ่มหยุดชะงัก
ไม่กล้าเคลื่อนใกล้เข้ามาในรัศมีที่เพื่อนของพวกมันนอนเป็นศพดำเป็นตอตะโกอยู่
สนามพลัง ลักษณะคล้ายตาข่ายขนาดใหญ่
ถูกเชื่อมเข้าด้วยกันด้วยลูกกลมๆส่องแสงสีทองเหมือนกับอาทิตย์ขึ้นตอนรุ่งเช้า
โครงสร้างของสนามพลังแต่ละอัน
จะถูกสร้างขึ้นจากลูกกลมๆ นั้นสามลูกต่อกันไปเรื่อยๆ ยาวกว่า 300 เมตร สูง 10 เมตรดูเหมือนตาข่ายขนาดยักษ์ที่กำลังวางดักฝูงปลากระจ้อยร่อย
กระนั้น สิ่งนี้เองที่ป้องกันฝ่ายถูกไล่ล่าและแผดเผาฝ่ายล่าที่บังอาจล่วงล้ำตาข่ายแห่งแสงสว่างนี้ทั้งพวกทัพสมิง ทั้งฝ่ายมนุษย์ที่ถูกไล่ล่า
รวมทั้งพวกทหารและคนอื่นที่อยู่บนกำแพงเมืองมิวส์ต่างพากันยืนตะลึงกับตาข่ายแสงขนาดยักษ์ที่กางราวกับจะปิดฟ้านี้ และท่ามกลางความตะลึงของทุกฝ่ายนั้น
ร่างของชายคนหนึ่ง รูปร่างสูงไม่ถึง 170 ด้วยซ้ำ
ผมยาวสีเงิน ดวงตาสีน้ำทะเลยืนผงาดอยู่เบื้องหน้าของหญิงคนที่อุ้มลูกที่กำลังจะกลายเป็นเหยื่อตะกี้
แม้ไม่ใช่คนรูปร่างใหญ่โตอะไรแต่กลับดูสง่างามและองอาจยิ่งนักบวกกับแสงสว่างจากตาข่ายแสง ยิ่งทำให้เขาดูงดงาม
ราวกับเทพเจ้าลงมาปราบมารฉะนั้น
" เอาล่ะ รีบหนีไปซะ " เสียงบอกหนักแน่น แต่แฝงความอ่อนโยนดังมาจากเขา
เป็นเสียงเดียวกับที่ตะโกนสั่งห้ามยิงบนกำแพงเมือง
และโต้คารมสั้นๆ กับเจสผู้สั่งยิง
ไม่ใช่ใครอื่น กราเซียนั่นเองเขายืนผงาดดวงตาจับจ้องไปทางกองทัพสมิงหลายพันตัวที่อยู่อีกฟากของตาข่ายแสงนั้นอย่างดุดันโดยมีกาโดยืนอยู่เคียงข้าง
พวกเคนนี่ที่อยู่รั้งท้ายทั้ง 3
คนเองก็มองเห็นตาข่ายแสงนั้น ทั้ง 3
หยุดวิ่งมองดูอย่างตะลึง
" เอาเข้าให้แล้วไง 'ตาข่ายเก้าสุริยัน' ของท่านกราเซีย" รัซเซลล์ร้องออกมาดังลั่น "ทะเล่อทะล่าโดดเข้ามาก็กลายเป็นขี้เถ้าแน่ละเว้ย !! ฮ่า!! "
" จะยังไงก็แล้วแต่รีบตามเข้าไปสมทบกับท่านกราเซียก่อนเหอะ " เคนนี่ว่า "ดูโน่นสิ "
เคนนี่พูดพร้อมชี้มือไปทางกลุ่มประชาชนฝ่ายถูกไล่ล่าที่กำลังทยอยเข้าประตูเมืองมิวส์ที่เปิดแง้มไว้พอให้เข้าได้ทีละสิบคนเท่านั้น
" ประชาชนไปถึงประตูเมืองแล้ว
อีกเดี๋ยวท่านกราเซียคงจะปลดสนามพลังออก
เตรียมตัวรบให้พร้อมเหอะ "
" โอเช ว่าแต่ดีจริงแฮะวันนี้ " รัซเซลล์พูดพร้อมยิ้ม "ท่านกราเซียไม่ค่อยจะออกไปลุยกับใครเลยวันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้เห็น 'หยาดแห่งอรุณ'
(Drop of Dawn) ของท่านกราเซียในการต่อสู้จริงๆที่ไม่ใช่การซ้อม "ทั้ง 3 เริ่มออกวิ่งอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
ตรงไปหากราเซียที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของพวกเขาทันที
เคนนี่ แอรอน และรัซเซลล์วิ่งตามมาสมทบกับกราเซียที่ตรงหน้าตาข่ายเก้าสุริยัน
แต่แค่มาถึงเท่านั้น...
" เจ้าพวกบ้า !!! ทำไมช้านัก !!!! "กาโดพูดตำหนิพวกเคนนี่ทั้ง 3 คน เล่นเอาทั้ง 3คนหงอไปเลย
" ก็... ก็ลุงกับท่านกราเซียน่ะ วิ่งเร็วยังกะจะ.... "
รัซเซลล์พูดแก้ตัวมาถึงตรงนี้ก็ตะครุบปากตัวเองไว้เสียก่อนเพราะกลัวโดนกาโดถีบเอา
" ยังกะจะอะไรเล่า ถามทำไมไม่พูด "กาโดถามมาด้วยทีท่าคาดคั้น รัซเซลล์ได้แต่ยืนหงอ
ไม่กล้าพูดอะไร
" พอเถอะ กาโด " เสียงเรียบๆแต่แฝงความอ่อนโยนของกราเซียดังมา " ก็แค่เรื่องหยุมหยิมอย่าไปสนใจเลย "
กาโดจึงหยุดคาดคั้นเอากับรัซเซลล์ได้
ฝ่ายรัซเซลล์ยืนนิ่งเงียบ ไม่พูดพล่ามอะไรออกมาอีก
หันไปมองเจ้าเคนนี่กับแอรอน ก็เห็นไอ้สองคนนั่น
กำลังเอามือปิดปากที่กำลังหัวเราะเยาะตัวเองอยู่
เล่นเอาหมอแทบคลั่ง อยากจะเตะไอ้สองคนนี่ให้อ้วกแตก
แต่ก็ทำไม่ได้เพราะมีท่านกราเซียกับลุงกาโดยืนอยู่ด้วย
" เอาล่ะ ทุกคนฟังทางนี้ " กราเซียเอ่ยขึ้นในที่สุด
ทุกคนต่างหันมาฟังเป็นจุดเดียว
แม้แต่เคนนี่กับแอรอนก็ยังหยุดหัวเราะแล้วหันมาตั้งใจฟัง
" อีกเดี๋ยวชั้นจะปลด 'ตาข่ายเก้าสุริยัน' ออกแล้ว
ศัตรูเองก็คงจะรอจังหวะที่ตาข่ายจะถูกปลดอยู่เหมือนกัน
ดังนั้นพอตาข่ายปลดลงแล้ว ให้รีบบุกเข้าโจมตีทันทีเลย "
ทั้งหมดรับคำอย่างหนักแน่นพร้อมเพรียงกัน
กราเซียเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
"ชั้นคงไม่จำเป็นต้องซักซ้อมความเข้าใจอะไรกับพวกนายทุกคนอีก
เพราะเชื่อในฝีมือและประสบการณ์การรบในลักษณะนี้ของพวกนายทุกคน
ดังนั้น ชั้นจะบอกกับพวกนายแค่ประโยคเดียว ทำยังไงก็ได้อย่าให้ศัตรูบุกเข้าจู่โจมเมืองได้ "
ทั้งหมดรับคำอีกครั้งหนึ่งก่อนจะกระจายกำลังออกไปกันคนละทางโดยพร้อมเพรียงกัน
ยกเว้นกาโดเพียงคนเดียวที่ต้องคอยยืนเป็นองครักษ์ให้กับกราเซีย
ทั้งหมดในกลุ่มของกราเซียกระจายกำลังออกไปยืนในจุดต่างๆกันทางด้านหน้าของตาข่ายเก้าสุริยัน
กราเซียกับกาโดอยู่ตรงกลาง คอยบังคับตาข่ายเก้าสุริยัน
และพร้อมจะปลดตาข่ายทุกเมื่อ
เคนนี่กับแอรอนไปยืนอยู่ทางด้านซ้ายของตาข่ายห่างจากจุดที่กราเซียยืนอยู่ออกไปประมาณ 10 เมตร
ทั้งคู่ยืนเว้นระยะห่างจากกันประมาณ 4 เมตรอยู่ในท่าเตรียมพร้อมรับมือศัตรูตลอดเวลา
ส่วนรัซเซลล์ยืนอยู่ทางด้านขวาของตาข่ายตั้งท่าแบบเดียวกับที่
เคนนี่กับแอรอนทำอยู่ ทั่วบริเวณมีแต่ความเงียบ
คงได้ยินแต่เสียงหายใจกับเสียงคำรามเบาๆจากกองทัพสมิงของวอร์เรนเซียเท่านั้น
พวกมันเองก็กำลังจ้องหาโอกาสที่ตาข่ายเก้าสุริยันจะถูกปลดออกเพื่อจะบุกเข้าโจมตีเหมือนกัน
และท่ามกลางความเงียบดริบนั้นเอง
แสงสว่างจากหยาดแห่งอรุณที่ทำหน้าที่สร้างและเชื่อมสนามพลังรูปสามเหลี่ยมเข้าไว้ด้วยกันก็ค่อยๆอ่อนแสงลงเรื่อยๆ เป็นสัญญาณว่า
ตาข่ายเก้าสุริยัน กำลังจะถูกปลด
แสงสว่างจากหยาดแห่งอรุณยังคงอ่อนลงเรื่อยๆจากที่เคยส่องสว่างราวกัยอาทิตย์ขึ้นเช้าวันใหม่และในที่สุดก็ดับสนิท
เป็นสัญญาณว่า ตาข่าย ถูกปลดออกแล้ว
พริบตาที่แสงของตาข่ายดับวูบลง
ก็บังเกิดเสียงคำรามดังสนั่นหวั่นไหวมาจากกองทัพของพวกสมิง
แล้วพวกมันนับพันๆ ตัวก็กรูกันเข้าหาพวกกราเซียทั้ง 5 คนทันที
" ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกโว้ย !!!!! "
เสียงใครคนหนึ่ง จำได้ว่าเป็นเสียงของรัซเซลล์ตะโกนก้องพร้อมกับแผดเสียงคำรามอย่างเสือโคร่งสวนกับเสียงคำรามของสมิงทั้งกองทัพ
แล้วง้างเท้าขวาไปด้านหลังเหมือนไมเคิล โอเวนเงื้อสตั้ดแล้วดีดกลับมาข้างหน้าอย่างแรง
พริบตานั้น เบื้องหน้าของรัซเซลล์ก็เกิดเป็นพายุทอร์นาโดเส้นผ่าศูนย์กลาง
2 เมตร สูงร่วม 8 เมตรพัดเข้าใส่กลุ่มของพวกสมิงที่อยู่ใกล้ที่สุด
พวกมันถูกอำนาจดูดกลืนของพายุนั้นดูดเข้าไปในพายุแล้วก็ถูกตัดร่างขาดเป็นชิ้นๆ ภายในพายุหมุนนั่นเอง
ฝ่ายรัซเซลล์ผู้สร้างพายุหมุนก็ไม่ปล่อยโอกาส
เขาพุ่งพรวดฝ่ากลางพายุหมุนทะลุไปอีกฟากพร้อมกับวาดเพลงเตะอันรวดเร็วเข้าใส่พวกสมิงที่กำลังยืนงงกับพายุหมุนทันที
แอรอนก็เช่นกัน ทันทีที่ทัพสมิงกรูกันเข้ามา
เขาก็ซัดคลื่นพลังรูปจันทร์เสี้ยวเข้าใส่กลุ่มของสมิงที่ใกล้ตัวที่สุด
ส่วนเคนนี่เองก็เรียกแฟนธอมแฟงค์ออกมาจากแขนขวา
แต่คราวนี้เขาไม่ได้ใช้วิธีหมุนเป็นวงเหมือนสว่านรอบแขนแล้วซัดออกไป
แต่กลับยืดแฟนธอมแฟงค์ ออกไปจนตรงดูคล้ายแส้สีดำขนาดใหญ่
ที่ปลายส่วนหนึ่งพันอยู่กับแขนขวาของเคนนี่จากนั้นก็ฟาดออกไปอย่างรวดเร็วเข้ากลางแองทัพสมิงที่เข้าใกล้ตัวที่สุดร่างของพวกสมิงที่โดนแฟนธอมแฟงค์
กับคลื่นพลังของเล็บมฤตยูเข้าไปต่างพากันขาดเป็นสองท่อนร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น
แล้วในพริบตาที่เศษชิ้นส่วนของพวกสมิงที่ถูกตัดขาดเป็นท่อนๆร่วงลงกับพื้นนั้น
ทั้งเคนนี่และแอรอนก็พุ่งเข้าหากองทัพสมิงอย่างรวดเร็วพร้อมกับ
ใช้วิชาของตัวเองจู่โจมใส่พวกมันทันที
ร่างของทั้งสองคนเคลื่อนไหววูบวาบผ่านไปมาท่ามกลางกองทัพอย่างรวดเร็วเหมือนเงาสองสาย
สายหนึ่งสีดำ อีกสายสีขาว สายหนึ่งจู่โจมจากระยะไกล อีกสายจู่โจมในระยะใกล้
แม้รูปแบบของวิชาของทั้งคู่จะต่างกัน แต่ที่เหมือนกันคือ
ไม่ว่าทั้งสองจะเคลื่อนที่ไปทางไหน ทางนั้น
เป็นต้องมีเสียงร้องโหยหวนพร้อมกับที่พวกสมิงล้มลงไม่หายใจหลายตน
ข้างฝ่ายกราเซียกับกาโดเองก็ดุเดือดพอกัน
ทันทีที่กองทัพสมิงเข้ามาใกล้
กาโดก็เกร็งพลังออร่าในร่างออกมารวมที่มือขวาแล้วทุบเปรี้ยงลงกับดิน
พื้นดินบริเวณที่กาโดทุบลงไปนั้นก็เกิดมีคลื่นพลังขนาดใหญ่พุ่งขึ้นมาสูงร่วม
4 เมตรขยี้ร่างของพวกสมิงหลายสิบตัวที่เข้ามาในระยะของพลังจนแหลกเละไม่เป็นชิ้นดี
จากนั้นก็พุ่งเข้าหาแนวรบของพวกสมิงที่ใกล้ตัวที่สุดพร้อมกับซัดหมัดที่อัดแน่นไปด้วยพละกำลังมหาศาลและพลังออร่าอันรุนแรงเข้าจู่โจมใส่พวกมันทันที
กราเซียนั้นยืนสงบ สีหน้ายังคงดุดันไม่เปลี่ยน
จ้องมองพวกสมิงที่กำลังพุ่งเข้ามาหาตัวอย่างใจเย็น
จนพวกมันเข้ามาในระยะ 10 เมตร แล้วตอนนั้นแหละจึงเห็นว่า
กราเซียไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว
ทำเอาสมิงพวกนั้นหันซ้ายขวากันเลิ่กลั่ก
หาว่ากราเซียหายไปไหน
ในตอนนั้น พวกมันก็เห็นแสงสว่างคล้ายกับแสงของดวงอาทิตย์มาจากเบื้องหลังของพวกมัน
พวกมันทั้งหมดหันกลับทันที กราเซีย หายเข้ามาข้างหลังพวกมันตอนไหนก็ไม่รู้
กำลังยืนทรงตัวอยู่บนหยาดแห่งอรุณ 2
ลูกที่ลอยอยู่กลางอากาศ ชูมือทั้งสองข้างเหนือหัว
โดยหันฝ่ามือทั้งสองเข้าหากัน
ปลายนิ้วทั้งสิบเกร็งและงุ้มเข้าหากันเล็กน้อย
ในมือนั้นมีแสงสว่างราวกับดวงตะวันส่องออกมา
ซึ่งเกิดจากเม็ดแสงสีทองหลายสิบเม็ดที่อยู่ในมือนั่นเอง
เม็ดแสงเหล่านั้นก็คือ 'หยาดแห่งอรุณ' นั่นเอง
แล้วในตอนนั้นกราเซียก็แยกมือที่อยู่ใกล้กันโดยมีหยาดแห่งอรุณคั่นกลางนั้นออกไปซ้ายขวาอย่างรวดเร็วพริบตานั้นหยาดแห่งอรุณหลายสิบเม็ดในมือทั้งสองพลัน
กลายเป็นหยาดแห่งอรุณลูกขนาดเท่ากำปั้นพุ่งกระจายออกทุกทิศทางเข้าหากองทัพสมิงของวอร์เรนเซียทันที หยาดแห่งอรุณกระทบเข้ากับสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นพื้นเนินหิน
หรือร่างของพวกสมิงก็ตามมันก็ระเบิดตูมเป็นแสงวาบราวกับระเบิดแสงขนาดย่อมๆแผดเผา
ทุกสิ่งในรัศมีระเบิดกว่า 7เมตรจนกลายเป็นฝุ่นในพริบตาเดียว ด้วยวิธีนี้
สามารถจัดการเก็บพวกสมิงได้ทีละหลายร้อยตัวในทีเดียว
" เฮ้ย " เสียงตะโกนอย่างตกใจของเคนนี่ แอรอนและรัซเซลล์ดังขึ้นพร้อมๆกับที่ทั้งสามกระโจนหลบออกมาจากแนวรบของตัวเองเพื่อให้พ้นจาก
รัศมีการทำลายของหยาดแห่งอรุณที่กราเซียปล่อยออกมา
แสงจากหยาดแห่งอรุณที่กราเซียส่งลงไปโจมตีกองทัพสมิงส่องประกายวุ่บวั่บราวกับแสงเลเซอร์บนเวทีของศิลปินระดับโลกที่มาเปิดคอนเสิร์ท
ทหารหาญแห่งเมืองมิวส์ที่ยืนหน้าสลอนอยู่บนกำแพงแอนนาเบล
และเจสต่างพากันตะลึงกับพลังอันรุนแรงที่โหมโจมตีเข้าใส่กองทัพสมิงกว่าสามพันนั้น
นี่หรือ พลังของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักสู้อันดับหนึ่งผู้ก่อตั้งกลุ่ม 7 อัศวินเทพหมาป่า
ทุกคนต่างพากันคิดอยู่ในใจพร้อมกับจับตาดูฉากดุเดือดที่เกิดขึ้นท่ามกลางสนามรบ
ซึ่งไม่อาจหาดูได้ที่สนามรบแห่งไหนได้อีก
แสงจากหยาดแห่งอรุณส่องประกายอยู่ประมาณ 15 นาทีจึงหายไป พร้อมๆกับที่การจู่โจมอันรุนแรงปานฟ้าถล่มสงบลง
ทัพสมิงร่วมสามพันหรือกว่านั้นหายวับไปกับตา ทุกคนแทบไม่อยากเชื่อว่าตรงจุดนี้เมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อนจะมีกองทัพมนุษย์สมิงทั้งกองมาอาละวาดทำฤทธิ์กันหน้าสลอน
สิ่งเดียวที่พอจะยืนยันได้คือบนพื้นยังคงมีซากบางส่วนของพวกสมิงที่ไม่ถูกหยาดแห่งอรุณทำลายจนเป็นฝุ่นไป
หลังจากแสงจากหยาดแห่งอรุณสงบลงไป
ทั่วบริเวณต่างเงียบกริบ และไม่นานนักเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีในชัยชนะก็พลันดังกระหึ่มขึ้นมา
เป็นเสียงของทหารหาญแห่งเมืองมิวส์และบรรดาชาวเมืองมิวส์ที่ตื่นขึ้นมารับรู้สถานการณ์นั่นเอง
แม้แต่แอนนาเบลผู้ต้องสงวนท่าทีก็ยังอดแสดงทีท่ายินดีมิได้
มีคนเดียวเท่านั้นที่ไม่แสดงอาการยินดีกับคนอื่น นั่นคือเจส นั่นเอง เนื่องจากเขาเป็นคน
ที่ค่อนข้างยึดมั่นอยู่กับหน้าที่และผลได้ผลเสียในสงครามมากไป
ดังนั้นเขาจึงไม่พอใจการกระทำที่เหมือนกับเอาแต่ใจของกราเซียเท่าไหร่นัก
แต่ถึงจะไม่พอใจอย่างไรเขาก็สำนึกว่าไม่ควรกล่าวออกไปตอนนี้ควรจะหาโอกาสเหมาะหลังจากนี้ค่อยพูดถึงยังไม่สาย
เจสคิดอยู่ในใจ
กราเซียบัดนี้ลงมายืนอยู่ที่พื้นดินที่ยังมีรอยไหม้และควันกรุ่นขึ้นมาจุดหนึ่ง
สีหน้ายังคงเรียบเฉยอย่างที่ทุกคนเห็นกันบ่อยๆ
โดยมีกาโดยืนอยู่ข้างๆ
" ท่านกราเซีย ใช้พลังไปขนาดนี้ไม่เป็นไรหรือครับ "
กาโดถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
" ไม่เป็นไร " กราเซียตอบเบาๆ พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย
ตอนนั้นเองก็มีเสียงกู่เรียกชื่อของกราเซียกับกาโดดังจากด้านหนึ่ง
ทั้งสองหันตามทิศทางเสียง ก็พบว่าเป็นเคนนี่ แอรอนและรัซเซลล์นั่นเอง
ทั้ง 3 วิ่งเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของกราเซียและกาโด
" โธ่ ท่านกราเซียคร้าบ " เสียงรัซเซลล์ลากยาวมา "
กรุณาอย่าปล่อยหยาดแห่งอรุณแบบปุบปับอย่างนี้สิครับ
เดี๋ยวก็ได้เละกันมั่งพอดี "
" ไม่ต้องห่วงหรอก " กราเซียพูด
สีหน้ายังมีรอยยิ้มเช่นเดิม "ชั้นกะไว้แล้วว่าพวกนายจะต้องหลบออกไปได้และถึงจะโดนเข้าบ้างก็ไม่ร้ายแรงอะไร
เพราะที่ชั้นใช้เป็นแค่ขนาดเบาเท่านั้นพวกนายมีพลังออร่าแข็งพอตัวอยู่
อย่างดีก็แค่เป็นรอยไหม้นิดหน่อย ไหนขอดูหน่อยซิมีรอยไหม้ตรงไหนมั้ย "
กราเซียพูดพร้อมกับเดินไปตรวจแผลทีละคน
ก็พบว่าเคนนี่กับแอรอนนั้นแทบไม่ได้รับอันตรายจากหยาดแห่งอรุณเลย
อย่างดีก็มีแค่รอยขนไหม้นิดหน่อย
ในขณะที่รัซเซลล์นั้นโดนไหม้ที่หาง
แต่นอกนั้นไม่มีบาดแผลอะไรร้ายแรงมาก ซึ่งกราเซียก็ใช้
พลังรักษาช่วยรักษารอยไหม้ที่หางให้กับรัซเซลล์
" ซี้ดดด แสบดีชะมัดเลย ถ้าไม่มีออร่าคุ้มกันตัวอยู่ละก็... "
รัซเซลล์สูดปากพร้อมกับบ่น แต่ยังบ่นไม่ทันจบ
" ถ้าไม่มีออร่าคุ้มกันตัวอยู่ก็ สวัสดี "
เคนนี่พูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะ
แอรอนเองก็หัวเราะตามเช่นกัน
" เดี๋ยวเหอะ ไอ้นี่ " รัซเซลล์ตะโกน
แต่ทีท่าดูไม่โกรธจริงจังอะไรพร้อมกับไล่เตะทั้งสองคนแบบหลอกๆ
ทั้งสองคงรู้ดีจึงหลบบ้าง ปล่อยให้โดนบ้าง
พร้อมกับหัวเราะอย่างร่าเริง
ท่ามกลางผืนดินที่เป็นรอยไหม้เกรียมจากพลังของหยาดแห่งอรุณ.......
กราเซียกับกาโดแม้ยืนอยู่ไม่ห่างไปนัก
แต่ไม่ได้สนใจอาการลิงโลดของทั้ง 3 คนแม้แต่น้อย
กลับปั้นหน้าในลักษณะของคนกำลังใช้ความคิด
" แปลกมาก " กราเซียพึมพำเบาๆ " คิดว่างั้นมั้ย "ประโยคหลังเขาหันไปกล่าวกับกาโด กาโดรับคำพร้อมกับกล่าว
" ครับ ทุกอย่างมันดูง่ายเกินไป
ศัตรูน่าจะรู้ดีว่ากองทัพสมิงเพียงแค่นี้กับอุบายแบบนี้ไม่มีทางที่จะทำให้ท่านจนมุมได้ "
" ถูกต้อง " กราเซียพูด " แต่ไม่ได้มาแปลกเอาตอนนี้หรอก
ทุกอย่างมันดูแปลกๆมาตั้งแต่ตอนที่พวกเคนนี่เข้ามารายงานเรื่องศัตรูบุกแล้วล่ะ
พวกนั้นก็รู้ดีว่าคืนนี้เมืองเราอยู่เหนือลม
ถ้าฉวยโอกาสบุกเข้าอย่างเงียบและรวดเร็วน่าจะได้เปรียบกว่าแต่นี่พวกมันกลับอ้อมกองทัพไปอยู่ทางเหนือลมของเมืองเรา
ต้อนราษฎรเข้าหาเมืองเรา เหมือนกับจงใจจะให้พวกเรารู้ว่าจะจู่โจมทางนั้นยังงั้นละ"
พูดถึงตรงนี้กราเซียก็กลับนิ่ง
ทำท่าใช้ความคิดอีกครั้งหนึ่งถึงความสงสัยต่างๆเกี่ยวกับการรบครั้งนี้ ซึ่งกราเซียเชื่อแต่แรกแล้วว่าการรบครั้งนี้
จะต้องมีแผนการอะไรแอบแฝงอยู่
แล้วในตอนนั้นก็เหมือนมีอะไรซักอย่างวาบเข้ามาในสมองของกราเซีย
ในขณะที่เขากำลังนึกหาคำตอบจากข้อสงสัยหลายอย่างจากการรบครั้งนี้
เขารู้แล้วว่า ทำไมศัตรูถึงยอมเสียเวลาและโอกาสที่จะได้เปรียบในเรื่องทิศทางลมอันสร้างความได้เปรียบแก่ทัพเมืองมิวส์
ทำไมถึงต้องให้กองทัพสมิงต้อนประชาชนนำหน้าพวกมัน
ทั้งๆที่รู้ดีว่าการทำแบบนี้มีแต่จะจะทำให้เดินทัพล่าช้าขึ้น
คิดได้ดังนี้ กราเซียก็ไม่รอช้าอีกต่อไป
หันขวับกลับไปสั่งลูกน้องเสียงดัง
" ทุกคน รีบกลับไปเมืองมิวส์เร็วเข้า !!!!!! "
กาโด เคนนี่ แอรอน และรัซเซลล์ยืนงงในคำสั่งอันปุบปับของกราเซีย
แล้วในพริบตานั้น
ตูมมมมมมม
เสียงอะไรบางอย่าง เหมือนกับช้างใช้หัวพุ่งชนใส่ผนังอย่างสุดแรงเกิด
ดังสนั่นหวั่นไหวมาจากกำแพงเมืองด้านตะวันออก
ทำเอาพวกกราเซียที่ยืนอยู่ ถึงกับสะดุ้ง
ยืนงงอย่างไม่รู้ว่าอีกฟากหนึ่งของเมืองเกิดอะไรขึ้น
แต่ในที่สุดทั้ง 5 คนก็รู้ เพราะเสียงของทหารที่ดังสับสนวุ่นวายบนกำแพงเมืองนั้นมันฟ้อง
" กองทัพสมิง !!!!!!! มาจากด้านตะวันตก !!!!
มากกว่าที่บุกเราตะกี้เป็นสิบเท่าเลย !!!!!!!! "
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
หยาดแห่งอรุณ (Drop of Dawn) คือ
ลูกบอลพลังออร่าที่กราเซียสร้างขึ้นมา มีสีทองอ่อน
ส่องแสงเป็นประกายเหมือนกับอาทิตย์ขึ้นตอนรุ่งเช้า
มีพลังรุนแรงมาก
สามารถใช้ได้หลายรูปแบบ (ที่กราเซียกราเซียใช้ในตอนนี้ จัดอยู่ใน "ขนาดเบา"ถ้าเป็นคนที่พลังออร่าอ่อนแอจะบาดเจ็บเหมือนถูกไฟคลอกและอาจตายได้
ถ้าเป็นคนที่มีพลังออร่าแข็งอาจต้านทานได้
แต่พวกกองทัพสมิงที่ถูกส่งมานี้ไม่มีพลังออร่าจึงถูกสลายเป็นฝุ่น)