นับแต่หลวงปู่ดูลย์
อตุโล
จาริกจากวัดจุมพลสุทธาวาส
อำเภอเมือง
จังหวัดสุรินทร์
ไปพำนักยังวัดสุทัศนาราม
อำเภอเมือง
จังหวัดอุบลราชธานี
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๙
หลวงปู่เริ่มศึกษาด้านพระปริยัติ
สอบได้เป็นนักธรรมชั้นตรี
นวกภูมินับเป็นรุ่นแรกของจังหวัดอุบลราชธานี
ขณะเดียวกัน
ก็ได้เรียนบาลีไวยากรณ์ที่เรียกว่า
"มูลกัจจายน์" จนสามารถแปลพระธรรมบทได้
จากนั้น
เมื่อได้รู้จักกับหลวงปู่สิงห์
ขนฺตยาคโม
ได้กราบนมัสการฝากตัวเป็นศิษย์กัมมัฏฐานของ
พระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต
ชีวิตแห่งสมณะของหลวงปู่ก็แปรเปลี่ยนจากการที่เคยมุ่งหวังการศึกษาด้านพระปริยัติ
หันเข้าหาทางด้านการปฏิบัติ
หลวงปู่ออกจาริกธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร
แสวงหาสัจธรรมตามรอยพระบาทองค์สมเด็จพระบรมศาสดา
จนปี พ.ศ. ๒๔๖๖ รวมเป็นเวลา ๗
ปี
หลวงปู่จึงได้คืนกลับไปยังจังหวัดสุรินทร์
บ้านเกิดของท่าน
เพื่อเป็นการสงเคราะห์ญาติ
การมาสุรินทร์ของหลวงปู่ในครั้งนี้
เป็นการมาแบบพระธุดงค์ครบเครื่อง
ด้วยภูมิปัญญาที่แก่กล้า
ด้วยจริยาวัตรที่ไม่เบียดเบียน
หลวงปู่มาพำนักอยู่ที่ วัดนาสาม
ตำบลนาบัว อำเภอเมือง
ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ไปทางทิศใต้ประมาณ
๑๕ กิโลเมตร
การมาสุรินทร์ของหลวงปู่ในครั้งนั้น
ถือได้ว่ากรุแห่งพระธรรมได้เปิดขึ้นแก่ชาวสุรินทร์แล้ว
ได้สร้างความแตกตื่นให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะชาวบ้านแถบตำบลนาบัว
และตำบลเฉนียง
ได้พากันแตกตื่นพระธุดงค์เป็นการใหญ่
พากันไปฟังพระธรรมเทศนา
และบำเพ็ญสมาธิภาวนากับหลวงปู่ดูลย์อย่างล้นหลาม
จนกระทั่งวัดนาสามไม่มีที่จะนั่ง
เมื่อจวนจะถึงวันเข้าพรรษา
หลวงปู่เห็นว่าวัดนาสามตั้งอยู่ในละแวกชุมชนมากเกินไป
ไม่เหมาะที่จะวิเวกและปรารภธรรมตามแบบอย่างของพระธุดงค์
หลวงปู่จึงได้ไปพำนักที่ป่าบ้านหนองเสม็ด
ตำบลเฉนียง
ซึ่งอยู่ห่างจากวัดนาสามไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ
ประมาณ ๑๐ กิโลเมตร
สมมติสถานที่นั้นขึ้นเป็นสำนักป่า
อธิษฐานจำพรรษา ณ ที่นั้น
บรรดาญาติโยมที่มาปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่
เริ่มประสบผลในทางปฏิบัติ
ก็ได้พากันเดินทางติดตามไปปฏิบัติที่สำนักป่าบ้านหนองเสม็ด
แม้จะต้องเดินด้วยเท้าร่วม
๑๐ กิโลเมตร ก็ไม่ลดละ
หวังจะได้เจริญสมาธิภาวนาให้มีความก้าวหน้า
และฟังพระธรรมเทศนาที่มีรสชาติซาบซึ้งถึงใจอย่างชนิดไม่เคยได้ฟังจากที่ใดมาก่อน