สำหรับศิษยานุศิษย์ที่เป็นภิกษุสามเณร
และปรารถนาจะเจริญงอกงาม
อยู่ในบวรพุทธศาสนานั้น
หลวงปู่จะชี้แนะแนวทางดำเนินปฏิปทาไว้
๒ แนวทาง
ซึ่งท่านให้ความเห็นว่า ผู้ที่จะเป็นศาสนทายาทนั้น
ควรทำการศึกษาทั้งสองด้านคือ
ทั้งปริยัติและปฏิบัติ
ดังนั้น
หลวงปู่จึงแนะนำว่า
ผู้ที่อายุยังน้อยและมีแวว
มีความสามารถ
ในการศึกษาเล่าเรียน
ก็ให้เล่าเรียนพระปริยัติธรรมไปก่อน
ในเวลาที่ว่างจากการศึกษาก็ให้ฝึกฝนปฏิบัติสมาธิภาวนาไปด้วย
เพราะจิตใจที่สงบ
มีสมาธิ
ย่อมอำนวยผลดีแก่การเรียน
เมื่อมีผู้สามารถที่จะศึกษาเล่าเรียนต่อไปในชั้นสูงๆ
ได้
หลวงปู่ก็จะจัดส่งให้ไปเรียนต่อในสำนักต่างๆ
ที่กรุงเทพฯ
หรือที่อื่นที่เจริญด้วยการศึกษาด้านพระปริยัติธรรม
ศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่จึงมีมากมายหลายรูป
ที่ศึกษาพระปริยัติธรรมจบชั้นสูงๆ
ถึงเปรียญ ๘ เปรียญ ๙
ประโยค
หรือจบระดับปริญญาจากมหาวิทยาลัยสงฆ์
จนกระทั่งไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ
เช่น อินเดีย ออสเตรเลีย
ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา
สำหรับอีกแนวทางหนึ่ง
นั้น
สำหรับผู้ที่มีอายุมากแล้วก็ดี
ผู้ที่รู้สึกว่ามันสมองไม่อำนวยต่อการศึกษาก็ดี
ผู้ที่สนใจในธุดงค์กัมมัฏฐานก็ดี
หลวงปู่ก็แนะนำให้ศึกษาพระธรรมวินัยให้พอเข้าใจ
ให้พอคุ้มครองรักษาตัวเองให้สมควรแก่สมณสารูป
แล้วจึงมุ่งปฏิบัติกัมมัฏฐานต่อไปให้จริงจัง
ก็แลสำหรับผู้ที่เลือกแนวทางที่สองนั้น
หลวงปู่ยังได้ชี้แนะไว้อีก
๒ วิธี
คือ
ผู้ที่ใฝ่ในทางธุดงค์กัมมัฏฐานตามแบบฉบับของ
พระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต
หลวงปู่ก็จะแนะนำและส่งให้ไปอยู่รับการศึกษาอบรมกับครูบาอาจารย์จังหวัดสกลนคร
อุดรธานี และหนองคาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่สำนักวัดป่าอุดมสมพร
และสำนักถ้ำขาม
ของท่านพระอาจารย์ฝั้น
อาจาโร หลวงปู่ได้ฝากฝังไปอยู่มากที่สุด
และมาในระยะหลังมีฝากไป สำนักวัดป่าบ้านตาดของท่านอาจารย์มหาบัว
ญาณสมฺปนฺโน บ้าง
เป็นที่สังเกตว่าไม่มีลูกศิษย์ลูกหาที่สนใจใฝ่ในกิจธุดงค์คนใด
ที่หลวงปู่จะแนะนำให้ไปเอง
หรือ
เที่ยวเสาะแสวงหาเอาเอง
หรือเดินทางไปสำนักนั้นๆ
เอง
ในเรื่องนี้ท่านเจ้าคุณ พระโพธินันทมุนี
ยืนยันว่า
หลวงปู่เคยใช้ให้ท่านเจ้าคุณเองเป็นผู้นำพระไปฝากไว้ที่สำนัก
ท่านพระอาจารย์ฝั้น
หลายเที่ยว
หลายชุดด้วยกัน
ศิษย์ที่ได้รับการฝึกฝนอบรมจากสำนัก
ท่านพระอาจารย์ฝั้น นั้น
ก็ได้กลับมาบำเพ็ญประโยชน์แก่การพระศาสนา
ด้านวิปัสสนาธุระ
ที่จังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์
หลายท่านด้วยกัน
จนกระทั่งมีไปเผยแพร่พระศาสนาในด้านนี้ถึงสหรัฐอเมริกา
ก็หลายรูป ในปัจจุบันนี้
ทั้งนี้ก็เป็นเพราะผลการสังเกตเห็นแววและส่งเสริมสนับสนุนของหลวงปู่นั่นเอง
ส่วนอีกวิธีนั้น
หลวงปู่ชี้แนะไว้สำหรับผู้ที่สนใจจะปฏิบัติทางด้านสมาธิวิปัสสนาเพียงอย่างเดียว
ไม่สนใจในธุดงค์กัมมัฏฐาน
อาจเป็นด้วยไม่ชอบการนุ่งห่มแบบนั้น
หรือมีสุขภาพไม่เหมาะแก่การฉันอาหารมื้อเดียว
หรือเพราะเหตุผลอื่นใดก็ตาม
หลวงปู่จะไม่แนะนำให้ไปที่ไหน
แต่ให้อยู่กับที่ที่ตนยินดีชอบใจ
ในจังหวัดสุรินทร์หรือบุรีรัมย์
อาจเป็นวัดบูรพารามหรือวัดไหนก็ได้ที่รู้สึกว่าอยู่สบาย
หลวงปู่ถือว่า
การปฏิบัติธรรมอย่างนี้
ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่ไหน
ในเมื่อกายยาว ๑ วา หนา ๑
คืบนี้แล เป็นตัวธรรม
เป็นตัวโลก
เป็นที่เกิดแห่งธรรม
เป็นที่ดับแห่งธรรม
เป็นที่ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้อาศัยบัญญัติไว้
ซึ่งธรรมทั้งปวง
แม้ใครใคร่จะปฏิบัติธรรมก็ต้องปฏิบัติที่กายและใจเรานี้
หาได้ไปปฏิบัติที่อื่นไม่
ดังนั้น
ไม่จำเป็นต้องหอบสังขารนี้ไปที่ไหน
ถ้าตั้งใจจริงแล้วนั่งอยู่ที่ไหน
ธรรมก็เกิดที่ตรงนั้น
นอนอยู่ที่ไหน
ยืนอยู่ที่ไหน
เดินอยู่ที่ไหน
ธรรมก็เกิดที่ตรงนั้นนั่นแล
ยิ่งกว่านั้น
หลวงปู่อธิบายว่า ยิ่งผู้ใดสามารถปฏิบัติภาวนาในท่ามกลางความวุ่นวายของบ้านเมือง
ที่มีแต่ความอึกทึกครึกโครม
หรือแม้แต่กระทั่งในขณะที่รอบๆ
ตัวมีแต่ความเอะอะวุ่นวาย
ก็สามารถกำหนดจิตตั้งสมาธิได้ สมาธิที่ผู้นั้นทำให้เกิดได้จึงเป็นสมาธิที่เข้มแข็งและมั่นคงกว่าธรรมดา
ด้วยเหตุที่สามารถต่อสู้เอาชนะสภาวะที่ไม่เป็นสัปปายะ
คือไม่อำนวยนั่นเอง
เพราะว่า
สถานที่ที่เปลี่ยววิเวกนั้น
ย่อมเป็นสัปปายะ
อำนวยให้เกิดความสงบอยู่แล้ว
จิตใจย่อมจะหยั่งลงสู่สมาธิได้ง่ายเป็นธรรมดา
หลวงปู่ยังเคยบอกด้วยว่า การเดินจงกรม
จนกระทั่งจิตหยั่งลงสู่ความสงบนั้น
จะเกิดสมาธิที่แข็งแกร่งกว่าสมาธิที่สำเร็จจากการนั่งหรือนอนหรือแม้แต่การเข้าป่ายิ่งนัก
ด้วยเหตุนี้
จะสังเกตเห็นว่า
ในแถบจังหวัดสุรินทร์
บุรีรัมย์
จะมีนักปฏิบัติหลายท่านชอบไปนั่งทำสมาธิใกล้ๆ
วงพิณพาทย์ หรือใกล้ๆ
ที่ที่มีเสียงอึกทึกครึกโครมต่างๆ
ยิ่งดังเอะอะน่าเวียนหัวเท่าไรยิ่งชอบ
อย่างไรก็ตามแม้ว่าการทำสมาธินั้น
ตามความเป็นจริงแล้วย่อมไม่เลือกสถานที่ปฏิบัติก็ตาม
แต่สำหรับผู้มีจิตเบา
วอกแวกง่าย
หรือผู้ที่ต้องการ "เครื่องทุ่นแรง"
จำเป็นต้องอาศัยสภาพแวดล้อมที่อำนวยความสงบ
พึงแสวงหา สถานที่วิเวก
หรือออกธุดงค์กัมมัฏฐานแสวงหาที่สงัดที่เปลี่ยว
เช่น ถ้ำ เขา ป่าดง
หรือป่าช้าที่น่าสะพรึงกลัว
จะได้เป็นเครื่องสงบจิตไม่ให้ฟุ้งซ่าน
และตกอยู่ภายใต้การควบคุมของสติได้โดยง่าย
ก็จะทำให้การบำเพ็ญสมาธิภาวนาสำเร็จได้สะดวกยิ่งขึ้น