ในหัวข้อนี้ยังเป็นเรื่องราวของ
สามเณรเพิ่ม อยู่ซึ่งเป็นเหตุการณ์หนึ่งในประวัติของ
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เห็นว่าน่าสนใจจึงคัดลอกมาไว้
ณ ที่นี้
ในสมัยที่ หลวงพ่อเพิ่ม
กิตฺติวฒฺฑโน ยังเป็นสามเณรอยู่
ท่านกล่าวว่า
หลังจากที่เรียนรู้พื้นฐานด้านศีลธรรมจรรยา
อันเป็นข้อวัตรปฏิบัติที่เหมาะสมตามควรแล้ว
หลวงปู่ดูลย์
ก็นำออกฝึกภาคสนามยังป่าเขาลำเนาถ้ำต่างถิ่นต่างสถานที่
การที่ได้ติดตามหลวงปู่ไปยังที่ต่างๆ
นั้น
สามเณรเพิ่มได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ
ที่ไม่อาจหาได้ในวัดหลายประการ
ความวิเวกสงบสงัดของป่าเขาก็เป็นครูบาอาจารย์ประการหนึ่ง
ที่สอนให้ผู้ปฏิบัติเกิดความกล้าหาญ
มีจิตใจมั่นคง
เชื่อมั่นในพระรัตนตรัยมากยิ่งขึ้น
ครั้งแรกที่หลวงปู่นำสามเณรออกสู่สนามของพระอริยะนั้น
ได้พาไปฝึกปฏิบัติที่ เขาพนมสวาย
ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอเมืองสุรินทร์นั่นเอง
และสถานที่แห่งนี้เองที่ถูกกำหนดให้เป็นสถานประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่ในภายหลัง
ในสมัยนั้นเขาพนมสวายยังเป็นป่าดงรกชัฏอยู่
ห่างไกลบ้านเมือง
และมีความสงัดเงียบจนวังเวง
สามเณรทั้งหลายมีความหวาดกลัว
โดยเฉพาะยามค่ำคืน
เมื่อเข้ามุ้งเข้ากลดแล้วจะมีความรู้สึกคลายใจ
เมื่อนึกถึงว่าหลวงปู่คอยปกป้องดูแลอยู่
ในช่วงกลางวัน
เมื่อว่างเว้นจากการปฏิบัติชั่วคราว
บรรดาสามเณรก็ชักชวนกันไปวิ่งเล่นบนเขา
ตามประสาเด็กที่ยังคึกคะนองชอบเล่นสนุกสนาน
ของเล่นที่พอหาได้ก็มีพวกก้อนหินขนาดต่างๆ
คณะสามเณรช่วยกันกลิ้งหินก้อนเล็กก้อนน้อยลงมา
ทำให้เกิดความสนุกสนานเบิกบานใจของคณะสามเณร
ตามประสาเด็กกลางป่ากลางเขาชาวดงดอย
ในขณะที่สามเณรเหล่านั้นกำลังเล่นกลิ้งก้อนหินอยู่อย่างเพลิดเพลินจนเกินขอบเขต
ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
จนเกือบจะก่อโศกนาฏกรรมขึ้นโดยไม่เจตนา
ปรากฏว่า
ครั้งหนึ่งเมื่อสามเณรช่วยกันผลักหินก้อนใหญ่ให้กลิ้งลงไป
ปรากฏว่าก้อนหินพุ่งตรงลิ่วเข้าหาร่างของหลวงปู่ที่ยืนอยู่ข้างล่างอย่างรวดเร็ว
สามเณรทั้งกลุ่มตะลึงลานด้วยความตกใจสุดประมาณ
เพราะพวกตนรู้แก่ใจว่าความเร็วของก้อนที่พุ่งตัวลงไปนั้น
หลวงปู่ผู้เป็นอาจารย์ที่อยู่ในวัยชราจะต้องกระโดดหลบหลีกไม่ทันอย่างแน่นอน
และครั้งนี้นัยว่าพวกตนร่วมกันสร้างบาปกรรมขั้นมหันต์ขึ้นแล้ว
ขณะที่บรรดาสามเณรยืนตะลึงตัวแข็งอยู่เบื้องบนเขา
ด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยายอยู่นั้น
ฝ่ายหลวงปู่ซึ่งกำลังจะถูกหินพุ่งเข้าชน
กลับยืนนิ่งเฉยไม่มีอาการหวาดหวั่นสะทกสะท้านต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที
ดูอาการท่านสงบราบเรียบ
ไร้อาการตื่นกลัว
สายตาท่านเพ่งจับที่ก้อนหิน
ดูประหนึ่งว่าท่านพร้อมที่จะรับชะตากรรมที่ลูกศิษย์กำลังก่อขึ้น
คล้ายกับว่าหากเป็นเวรกรรมที่ท่านเคยกระทำไว้
ท่านก็คงยินดีที่จะชดใช้กรรมด้วยความเต็มใจ
ชั่วเวลาที่ทุกคนกำลังตะลึงดังต้องมนต์สะกดอยู่นั้น
เหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ก็อุบัติขึ้นให้ปรากฏแก่สายตาทุกคู่
เมื่อหินกลิ้งมาด้วยความเร็ว
ใกล้ร่างหลวงปู่ประมาณ ๓
วาเศษ
มันกลับเบนเบี่ยงเปลี่ยนทิศทางไปจากเดิมอย่างกะทันหัน
ประดุจมีมือยักษ์ที่ทรงพลังมาปัดให้เฉออกนอกทิศทางเดิม
พุ่งเลยร่างหลวงปู่ออกไปอีกทางหนึ่ง
บรรดาสามเณรจอมซนรู้สึกโล่งใจ
เมื่อได้สติต่างก็รีบวิ่งลงมายังพื้นล่าง
ทรุดตัวหมอบกราบแทบเท้าของหลวงปู่
อย่างสำนึกในความผิด
หลวงปู่มองการกระทำของสามเณร
แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
"พวกเณรที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา
ผู้ที่คนทั่วไปยกย่องว่าเป็นผู้มีศีลมีธรรม
ควรที่จะหมั่นศึกษาพระธรรมวินัย
ยึดมั่นในศีล
มีความเพียรในการประพฤติปฏิบัติธรรม
เพื่อที่จะสร้างคุณธรรมให้เกิดขึ้นกับตน
สมกับที่เขาเชื่อถือ
บัดนี้พวกเธอไม่ใช่เด็กน้อยลูกหลานชาวบ้าน
ที่จะเที่ยววิ่งเล่นซุกซนได้ตามอำเภอใจเหมือนเช่นแต่ก่อน
แต่เธอเป็นบุตรศากยะในพระพุทธศาสนา
ที่จะต้องปฏิบัติตามศีลตามธรรมอย่างเคร่งครัด
ขอให้เธอมีความสำนึกเช่นนี้อยู่ทุกเมื่อ"
หลวงปู่กล่าวแล้วก็เดินจากไป
เหมือนกับไม่มีเหตุวิกฤตอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น
จิตใจของสามเณรทุกรูปต่างก็เกิดปณิธานขึ้นโดยฉับพลันว่า
"ตั้งแต่นี้ไป
พวกตนจะไม่แสวงหาความสนุกสนานคึกคะนองเหมือนที่ทำมา
แต่จะตั้งหน้าศึกษาศีล
ปฏิบัติธรรม
ให้สมกับความรักความเมตตาที่หลวงปู่ท่านสอนสั่งอย่างจริงจังเสียที"