ประวัติและปฏิปทา

หน้าแรก ประวัติและปฏิปทา ธรรมและคำสอน รูปภาพ

โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

๗๗. สะอาดทั้งกายทั้งใจ

จะเป็นด้วยอุปนิสัยดั้งเดิมของหลวงปู่ หรือว่าเป็นเพราะผลการปฏิบัติพระธุดงค์กัมมัฏฐานมานาน หรืออย่างไรไม่ทราบ นอกจากความหมดจดในอิริยาบถต่างๆ เช่น ไม่นั่งเอนอิงสัปหงก นอนสงบเรียบร้อยไม่ละเมอเพ้อพก ยืนเป็นสง่า เดินกระฉับกระเฉง ดังนี้เป็นต้น

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความสะอาดทั้งกายทั้งใจ ท่านรักษาความสะอาดทางร่างกายเป็นอย่างดี ไม่เคยมีเล็บมือเล็บเท้าสกปรก หรืออวัยวะอื่นๆ เกรอะกรังน่ารังเกียจ

เครื่องนุ่งห่ม สบงจีวรต่างๆ สะอาดสะอ้าน ไม่หมักหมมโสโครก

เสนาสนะที่อยู่อาศัยนั้นเล่า พอเช้าขึ้นแต่ละวัน ต้องทำความสะอาดให้เรียบร้อยตามแบบฉบับพระกัมมัฏฐาน

หลวงปู่สอนศิษย์เสมอว่า

เมื่อฝึกให้เคยชินกับการรักษาความสะอาด และทนความสกปรกไม่ได้เป็นนิสัยแล้ว นิสัยนี้จะแฝงฝังอยู่ในใจ เมื่อใดเกิดกิเลสตัณหาอันเป็นความสกปรกทางใจเกิดขึ้น มันก็จะดำรงอยู่ได้ไม่นาน เพราะใจจะทนไม่ได้ไปเอง อดที่จะกำจัดขัดเกลาทิ้งเสียไม่ได้

ด้านจิตใจของท่านนั้น หลวงปู่ดูลย์นับเป็นแบบฉบับของบุคคลที่เขาเรียกกันว่า ผู้มีใจสะอาด เป็นผู้ใหญ่ที่ควรเคารพบูชาอย่างแท้จริง ไม่มีเล่นแง่แสนงอนเอาเหลี่ยมเอาเชิงกับใคร ไม่มีทิฏฐิมานะถือว่าข้าเป็นใหญ่กว่า ผู้น้อยจะมาล้ำหน้าก้ำเกินไม่ได้ แม้จะไม่เจตนาก็ตาม

มีเรื่องที่ควรยกขึ้นมาเป็นอุทาหรณ์อยู่เรื่องหนึ่ง ดังนี้

เหตุการณ์ครั้งหนึ่ง เมื่อใกล้เทศกาลเข้าพรรษาในปีหนึ่ง ที่ วัดป่าโยธาประสิทธิ์ ที่อยู่ชานเมืองจังหวัดสุรินทร์ มีการบวชนาคหลายรูปด้วยกัน บิดามารดาและญาติมิตรสหายของนาคทั้งหลาย ก็มาชุมนุมทำพิธีสมโภชนาคพร้อมกัน กำหนดการว่ารุ่งเช้าก็จะแห่นาคมาบวชที่วัดบูรพารามพร้อมกัน โดยได้เผดียงหลวงปู่เป็นพระอุปัชฌายะไว้เป็นที่เรียบร้อยล่วงหน้า

พอดีในคืนที่กำลังทำพิธีสมโภชนาคนั้นเอง ท่านเจ้าคุณพระเทพสุทธาจารย์ (โชติ คุณสมฺปนฺโน) เดินทางมาจากวัดวชิราลงกรณ์ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เพื่อเยี่ยมเยือนวัดป่าโยธาประสิทธิ์ ที่ท่านเคยอยู่พำนักเป็นเวลานานในกาลก่อน

ผู้ปกครองนาคคนหนึ่ง เป็นผู้มีความเลื่อมใสเคารพนับถือในตัว หลวงปู่โชติ มาก มีความดีอกดีใจ จึงขอแยกนาคที่เป็นบุตรชายของตนออกมาทำพิธีบวชต่างหาก โดยอาราธนาหลวงปู่โชติเป็นพระอุปัชฌายะ แม้จะถูกนาคอื่นๆ ที่ฝึกหัดสวดขานนาคเป็นทีมเดียวกันขอร้อง และทัดทานไว้ว่าไม่ควรทำเช่นนั้น ควรจะบวชพร้อมกันดีกว่า

เหตุผลอีกประการที่ทำให้ผู้อื่นทัดทานคือ กราบอาราธนานิมนต์หลวงปู่ดูลย์เป็นอุปัชฌายะแล้ว ไม่ควรจะมาเปลี่ยนตอนนี้ โดยไม่ได้บอกคืนการนิมนต์ท่าน

ทางฝ่ายนาคคนนั้นไม่ฟังคำชี้แจงจากคนอื่นๆ ตกลงจะเปลี่ยนแปลงตามความตั้งใจของเขาให้ได้

พอรุ่งเช้า ขบวนแห่นาคก็พากันยกมาถึงวัดบูรพารามโดยพร้อมเพรียงกัน นาคทุกคนยกเว้นนาคผู้นั้น ก็พากันไปทำพิธีบวชในพระอุโบสถ ครั้นหลวงปู่ทำพิธีบวชให้เรียบร้อยแล้ว ก็พากันออกจากโบสถ์

บิดามารดาของนาคที่แยกตัวออกมาก็อาราธนา ท่านเจ้าคุณเทพสุทธาจารย์ ให้ทำพิธีบวชให้บุตรของตนแต่ผู้เดียว ท่านก็ไม่ขัดข้อง ปรากฏว่านาคผู้นั้นซึ่งเคยซ้อมขานนาคมาด้วยกัน ๔ คน ตอนซ้อมก็ทำคล่องแคล่วดี เมื่อมาขานนาคเดี่ยวเข้าก็ไม่คล่องแคล่ว ขานตะกุกตะกักผิดๆ ถูกๆ อักขระพยัญชนะไม่ถูกต้องชัดเจน

ท่านเจ้าคุณพระเทพสุทธาจารย์ผู้เป็นศิษย์หลวงปู่ดูลย์ และท่านก็ถือเคร่งครัดต่ออักขระพยัญชนะเหมือนหลวงปู่อยู่แล้ว ไม่มีการช่วยเหลือบอกคำเคอะเขินเลยแม้แต่เล็กน้อยให้ เพราะท่านถือว่า เมื่ออยากบวชก็ต้องซักซ้อมมาให้ดี

ท่านเจ้าคุณโชติ (พระเทพสุทธาจารย์) จึงเอ็ดเอาว่า "อ้าว! ทำไมอย่างนี้ แบบนี้บวชไม่ได้หรอก ไม่บวชให้ กลับไปซ้อมมาใหม่ให้ดีเสียก่อน เรื่องบวชนั้น จะบวชเมื่อไรก็ได้ ไม่มีปัญหา"

จึงเป็นอันว่าหลวงปู่โชติไม่บวชให้นาคผู้นั้น ทั้งนาคและบิดามารดาญาติมิตรสหาย ก็พากันลากลับไปยังวัดป่าโยธาประสิทธิ์ด้วยความผิดหวัง

สำหรับผู้ที่ทำพิธีบวชแล้ว ก็มีพิธีเจริญพระพุทธมนต์ในค่ำวันนั้น ส่วนนาคผู้นั้นก็ยังคงเป็นนาคอยู่อย่างเดิม ความรู้สึกจะเป็นอย่างไรก็คงคาดเดากันได้

ในวันรุ่งขึ้น คณะของนาคคนนั้นก็ยกขบวนมาวัดบูรพารามอีกครั้งเพื่อมาขอบวช โดยอาราธนาหลวงปู่ดูลย์ให้เป็นอุปัชฌายะ

ท่านพระมหาสมศักดิ์ (พระครูนันทปัญญาภรณ์ ต่อมาเป็นพระโพธินันทมุนี) ได้กราบเรียนหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ครับ นาคองค์นี้แหละที่ไม่ยอมบวชกับหลวงปู่เมื่อวานนี้ เขานิมนต์ท่านเจ้าคุณโชติให้บวชให้ต่างหากเป็นพิเศษ เมื่อเขามานิมนต์ให้บวชให้อีกในวันนี้ หลวงปู่จะต้องลงโบสถ์ไปบวชให้เขาทำไม ให้เขาไปบวชที่โคราชไม่ดีหรือ?"

หลวงปู่ตอบว่า "เมื่อเขาอยากบวชก็บวชได้ เมื่อเขาไม่บวชก็เป็นเรื่องของเขา เมื่อวานเขาไม่พร้อม วันนี้เขาพร้อม มีหน้าที่บวชให้เขาก็บวชให้เขาไป"

นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งในเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ที่แสดงให้เห็นชัดว่า หลวงปู่เป็นยอดบุคคลที่มีใจสะอาดปราศจากทิฏฐิมานะ เปี่ยมล้นไปด้วยเมตตากรุณา ผู้เขียนก็เลยได้ข้อคิดแก่ตนว่า นับเป็นการดีที่ไม่ต้องไปซ้ำเติมไปอะไรให้เป็นมลทินแก่ใจ ธรรมชาตินั่นแหละเป็นผู้สั่งสอนได้ดี ดังนั้น เมื่อมีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นจึงไม่ต้องไปนึกคิดอะไรให้มากความไปอีก

เรื่องราวต่างๆ ในทำนองเช่นนี้ บรรดาลูกศิษย์ลูกหาชอบจดจำมาคุยมาเล่าสู่กันฟังว่า ใครประสบพบเห็นมาอย่างไร และต่างก็ได้ถือเอาเป็นนิทัศน์อุทาหรณ์ ไว้สอนตนเองและเยาวชนรุ่นต่อไป ถือเป็นเครื่องช่วยบรรเทากิเลส ทิฏฐิมานะของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี

หน้าต่อไป