ประวัติและปฏิปทา

หน้าแรก ประวัติและปฏิปทา ธรรมและคำสอน รูปภาพ

โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

๘๓. ตอบคำถามเกี่ยวกับยักษ์

มีอยู่คราวหนึ่ง เรื่องที่เกิดขึ้นดูจะเกินภูมิธรรมความสามารถของผู้เขียน แต่เห็นว่าควรนำมากล่าวไว้ เพื่อเป็นข้อสังเกตสำหรับนักปฏิบัติทั้งหลาย จะได้นำไปเทียบเคียงศึกษาดู เพื่อประโยชน์แก่การกำหนดแนวทางปฏิบัติเฉพาะตนต่อๆ ไป หากขาดตกบกพร่องอย่างไร จะตำหนิกันก็ไม่ว่า เพราะยอมรับว่าโง่ไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว

ครั้งหนึ่ง หลวงปู่เสร็จจากศาสนกิจในพระราชพิธีในพระบรมมหาราชวัง ก็กลับมาพำนักที่พระตำหนักทรงพรต วัดบวรนิเวศน์วิหาร ครั้นหลวงปู่สรงน้ำเสร็จก็เอนกายพักผ่อน ให้ภิกษุสามเณรบำเพ็ญอาจาริยวัตรด้วยการนวดเฟ้นพัดวีต่างๆ

ครั้งนั้น พระราชาคณะรูปหนึ่งก็แวะเข้ามาเยี่ยมขอโอกาสว่า ให้หลวงปู่ผู้เฒ่าเอนกายพักผ่อนตามสบาย เพราะประสงค์เพียงแวะมาคุยอย่างกันเองด้วยความคุ้นเคย

ในระหว่างการสนทนาด้วยเรื่องราวหลากหลายนั้น ท่านเจ้าคุณรูปนั้นเอ่ยขึ้นตอนหนึ่งว่า "เขาว่าคนที่สนใจเรียนคาถาอาคมอันศักดิ์สิทธิ์ สมัยก่อนเป็นยักษ์"

หลวงปู่ลุกขึ้นนั่งทันที แล้วกล่าวว่า

"ผมไม่ได้สนใจในเรื่องเหล่านี้เลยท่านเจ้าคุณ ท่านเจ้าคุณเองเคยศึกษาถึง ปัญจทวาราวัชชนจิต ไหม"

ปัญจทวาราวัชชนจิตนี้ คือ กิริยาจิตที่แฝงอยู่กับทวารทั้ง ๕ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นกิริยาจิตที่ทำหน้าที่ประจำรูปกาย อาศัยอยู่ตามทวารทั้ง ๕ เป็นทางที่ติดต่อเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างจิตกับสิ่งภายนอก หรืออารมณ์ภายนอกเป็นกิริยาจิตอยู่อย่างนั้น

เป็นอยู่อย่างนั้น ห้ามไม่ได้ บังคับไม่ให้เป็นไปไม่ได้ แต่อาจเป็นพาหะให้เกิดทุกข์ได้และที่น่าตื่นใจก็คือ ให้กิริยาจิตเหล่านี้เป็นไปได้ โดยประการที่ทุกข์จะเกิดขึ้นไม่ได้ก็ได้

อันนี้แหละที่น่าสนใจ น่าสำเหนียกศึกษาที่สุด ว่าทำอย่างไร เมื่อตาเห็นรูปแล้วรู้ว่าสวยงาม หรือน่ารังเกียจอย่างไร แล้วก็หยุดเพียงเท่านี้

เมื่อหูได้ยินเสียง รู้ว่าไพเราะ หรือน่ารำคาญอย่างไร แล้วก็หยุดเพียงเท่านี้

เมื่อลิ้นได้ลิ้มรส รู้ว่าอร่อยหรือไม่อร่อย เปรี้ยวหวานมันเค็มอย่างไร แล้วก็หยุดเพียงเท่านี้

เมื่อจมูกได้กลิ่นหอมหรือเหม็นอย่างไรแล้ว ก็หยุดเพียงเท่านี้

เมื่อกายสัมผัสโผฏฐัพพะ รู้ว่าอ่อนแข็งเป็นอย่างไร แล้วก็หยุดเพียงเท่านี้

ครั้นเมื่อศึกษาถึงขั้นนี้แล้ว ก็จะปรากฏเหตุอันน่าอัศจรรย์ที่เรียกว่า "หัสสิตุปปาทะ" คือกิริยาที่จิตยิ้มขึ้นมาเองโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ หาสาเหตุที่มาไม่ได้

อัน หัสสิตุปปาทะ หรือ กิริยาที่จิตยิ้มเองนี้  ย่อมไม่ปรากฏมีในสามัญชนโดยทั่วไป

ดังนั้น นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายควรกระทำไว้ในใจ ในอันที่จะสำเหนียกศึกษา ทำความกระจ่างแจ้งใน "อเหตุกจิต" อันนี้ เพื่อเป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติ

ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ว่า เมื่อปฏิบัติไปถึงลำดับนี้แล้ว จิตจะเกิดยิ้มขึ้นมาเองไม่มีการกระทำ ไม่มีการบังคับให้เกิดขึ้น ย่อมเป็นไปเองโดยไม่รู้ตัว

อนึ่ง เมื่อปฏิบัติตามหลัก "จิตเห็นจิต" อันมีการ "หยุดคิดหยุดนึก" เป็นลักษณะ ถ้าใช้ปัญญาอันยิ่งสอดส่องสำรวจตรวจตราดูตามทวารทั้ง ๕ เหล่านี้ เพื่อจะหาวิธีป้องกันที่จิตจะแล่นไปหาเรื่องใส่ตัวภายนอก ก็จะเห็นและเข้าใจได้ว่า เป็นธรรมดาอยู่เองที่คนเราใช้ทวารทั้ง ๕ เหล่านั้น กระทำการอันสัมพันธ์กับภายนอก

เมื่อพิจารณาให้ถ้วนถี่ยิ่งขึ้น ก็จะได้อุบายอันแยบคาย ว่าในขณะที่เกิดสัมพันธภาพกับภายนอก จิตก็ควรจะกำหนดให้อยู่ในจิต เมื่อเห็นก็กำหนดให้รู้เท่าทันการเห็น แต่ไม่ถึงกับต้องรำพึงรำพันออกมาว่า เห็นแล้วนะ เห็นแล้วหนอ อะไรหรอก เพราะขณะจิตหนึ่งๆ นั้น มันไม่กินเวลาอะไร เมื่อรู้เท่าทันแล้วก็ไม่ต้องไปรำพึงรำพันเป็นการปรุงแต่งเพิ่มเติมอีก

ในการกำหนดให้รู้ให้เท่าทันนั้น อย่าได้ถูกลวงด้วยสัญญาแห่งภาษาคนภาษาโลก ดังเช่นการรู้เท่าทันคนที่จะมาหลอกลวงเรา เป็นต้น

การรู้เท่าทันอารมณ์ในภาษาธรรมนั้น หมายความว่า ความ "รู้" จะต้องทันกันกับการรับอารมณ์ของทวารทั้ง ๕ เช่น ในขณะที่ตาเห็นรูป จะต้องมีสติรู้อยู่อย่างเต็มที่สมบูรณ์ มีความรู้ตัวพร้อมอยู่ตลอดเวลา โดยไม่จำเป็นต้องรู้อะไร เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกข์อันอาศัยปัจจัยคือ การเห็น เป็นต้นนั้น ย่อมไม่เกิดและเราก็สามารถมองอะไรได้อย่างอิสระเสรี โดยที่รูปหรือสิ่งที่เรามองเห็นไม่อาจมีอิทธิพลอันใดเหนือเราได้เลยแม้แต่น้อย

ปัญจทวาราวัชชนจิต หรือกิริยาจิตที่แล่นอยู่ตามทวารทั้ง ๕ ย่อมสัมพันธ์กันกับมโนทวาร ในมโนทวารนั้นมี มโนทวาราวัชชนจิต อันเป็นกิริยาจิตแฝงอยู่ มีหน้าที่คิดนึกต่างๆ สนองตอบอารมณ์ที่มากระทบไปตามธรรมดา

ดังนั้น ในทางปฏิบัติ จะให้หยุดคิดหยุดนึกทุกกรณีย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ด้วยการอาศัยอุบายวิธีดังกล่าวนี้แหละ เมื่อจิตตรึกความนึกคิดอันใดออกมาทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว ก็ทำความกำหนดรู้พร้อมให้เท่าทันกัน

เช่นเดียวกัน เมื่อมีความรู้พร้อมทันๆ กันกับการรับอารมณ์ ดังนี้แล้ว ปัญญาที่รู้เท่าเอาทันย่อมตัดวัฏจักรให้ขาดออกจากกัน ไม่อาจสืบเนื่องหมุนเวียนต่อไปได้

กล่าวคือ การก่อรูปก่อร่างต่อไปของจิตย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ และความไม่ยึดมั่นถือมั่นก็มีอยู่เองโดยไม่ต้องมีการลวงๆ ว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรเลย ความไม่ยึดมั่นถือมั่นก็เป็นแต่เพียงชื่อที่เรานำมาใช้เรียกขานกันให้รู้เรื่อง เมื่อวัฏฏะมันขาดไปเท่านั้น

โดยนัยอย่างนี้ จึงน่าจะศึกษาให้เข้าใจในอันที่จะกำหนดรู้อย่างไรจึงจะถูกต้อง เมื่อจิตกระทบเข้ากับอารมณ์ภายนอกอย่างไร ก็ให้หยุดอยู่แค่นั้น อย่าไปทะเลาะวิวาทโต้แย้ง อย่าไปเอออวยเห็นดีเห็นงาม ให้จิตได้โอกาสก่อรูปก่อร่างเป็นตุเป็นตะเป็นเรื่องเป็นราวยืดยาวออกไป อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ต่อไป อย่าไปใส่ใจอีกต่อไป พอกันเพียงรู้อารมณ์เท่านี้ หยุดกันเพียงเท่านี้

หน้าต่อไป