ประวัติและปฏิปทา

หน้าแรก ประวัติและปฏิปทา ธรรมและคำสอน รูปภาพ

โอ้ โพธิ์พฤกษ์เย็น คุณะเด่นเกษมสรรพ์ บัดนี้ พระดับขันธ์ ดุจะ โพธิหักลาญ

๑๓๘. เหรียญและวัตถุมงคลของหลวงปู่

เรื่องที่มีผู้สอบถามกันมากได้แก่ เรื่องเหรียญและวัตถุมงคลของหลวงปู่ มีหลายท่านปรารถนา และมีเจตนาอยากให้รวบรวมเป็นทำเนียบ เป็นหลักฐานว่ามีกี่รุ่น รุ่นไหนมีความหมาย ความดังอย่างไร อยากจะได้ไว้เป็นประวัติสำหรับศึกษาค้นคว้า อะไรทำนองนั้น ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างนั้น

ตามความเป็นจริง เมื่อพูดถึงเหรียญหรือวัตถุมงคลของหลวงปู่ อาตมภาพ(พระโพธินันทมุนี) ก็มีความลำบากใจ และก็ไม่สบายใจอยู่หลายข้อ เนื่องจากหลวงปู่ท่านไม่เคยใส่ใจและไม่สนใจเกี่ยวกับเรื่องวัตถุมงคลเลย เรื่องเหล่านี้ไม่มีอยู่ในความสนใจของท่าน

จากประวัติและปฏิปทาของหลวงปู่ที่กล่าวมาทั้งหมดแต่ต้น จะเป็นข้อยืนยันได้ว่า ถ้าพูดถึงเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ สิ่งอาถรรพ์ลึกลับ หรือเรื่องราวภายนอกการปฏิบัติธรรมแล้ว หลวงปู่ไม่สนใจและไม่ใส่ใจเลย ไม่เคยชี้ชวนให้ใครเชื่อ หรือให้เกิดความรู้สึกโน้มเอียงไปในทางที่เห็นความสำคัญของสิ่งเหล่านั้น

แม้แต่มีใครมาขอให้หลวงปู่ช่วยกำหนดฤกษ์ยาม เช่น หาวันดีที่จะบวช หาฤกษ์ดีที่จะทำงานมงคล วันไหนควรหรือไม่ควรทำกิจกรรมเช่นไร หลวงปู่มักจะบอกว่า "วันไหนก็ได้ วันไหนก็ดี" นิดเดียวท่านก็ไม่เคยบอกว่าวันนั้นวันนี้ดีแบบหมอดูฤกษ์ยามทั่วไป

ในเรื่องไสยศาสตร์ต่างๆ ท่านก็ไม่เคยสนับสนุน ไม่เคยปฏิเสธ ใครมาถามหรือชวนคุย ท่านก็จะตัดบทออกไป ไม่ต่อความยาวสาวความยืด ในทำนองว่าท่านไม่เคยเห็น แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องเหล่านั้น

ทีนี้มาพูดเรื่องเหรียญของหลวงปู่ จุดกำเนิดอยู่ตรงที่ว่า สมัยหนึ่งเมื่อชาวกรุงเทพฯ และคนในจังหวัดต่างๆ มีการไปมาหาสู่กันในรูปทัศนาจร หรือจัดพาคณะไปกราบครูบาอาจารย์สายพระกัมมัฏฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางภาคอิสาน รวมทั้งไปเที่ยวงานใหญ่ๆ เช่น งานช้าง รวมทั้งมีเหตุการณ์สงครามแถบชายแดนของประเทศ เป็นต้น

ภาวการณ์เหล่านี้ได้ทำให้มีผู้มากราบนมัสการหลวงปู่มากขึ้น แต่ละคนแต่ละคณะมักจะถามหาวัตถุมงคลของหลวงปู่ ปกติหลวงปู่พูดน้อยอยู่แล้ว ท่านก็พูดเพียงว่าอาตมาไม่มี อาตมาไม่เคยทำ ท่านปฏิเสธอย่างนี้เสมอมา แม้คนจะรบกวนถามท่านเรื่อยๆ สังเกตดูก็ไม่เห็นท่านหวั่นไหวอะไร

เรื่องทำเหรียญนี้ ต้องโทษที่อาตมภาพ(พระโพธินันทมุนี) ซึ่งได้ตริตรองพอสมควร เห็นว่าหลวงปู่จะต้องกล่าวปฏิเสธคนไปเรื่อยๆ เกรงท่านจะลำบากก็เลยกราบเรียนท่านว่า น่าจะได้จัดทำเหรียญที่ระลึกของหลวงปู่สักครั้งหนึ่ง สำหรับแจกคนที่เขาสนใจ

ท่านก็บอกว่าไม่ต้อง ไม่จำเป็น และก็ไม่ให้สร้าง อาตมาจึงเงียบเฉยไปเป็นปี คนก็มาขอเหรียญหลวงปู่อย่างนี้เรื่อยๆ ไป

อาตมาก็กราบเรียนหลวงปู่เป็นครั้งที่ ๒ โดยยกตัวอย่างพระเถระองค์อื่นๆ ทางฝ่ายกัมมัฏฐาน สานุศิษย์ก็สร้างเหรียญถวาย เพื่อให้ท่านแจกเป็นที่ระลึกสำหรับคนที่เขายังมีภาวะจิตว่า ต้องมีวัตถุไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว ไม่ว่าท่านอาจารย์ฝั้น หลวงปู่แหวน ท่านก็มีมานาน

การมีเหรียญที่ระลึก ก็ไม่ได้มีเจตนาเพื่อสิ่งอื่นใด เพียงช่วยหลวงปู่ไม่ต้องอธิบาย ไม่ต้องปฏิเสธ ถ้าใครถามหาก็ยื่นให้เขาไปหนึ่งเหรียญ คงจะทำให้หลวงปู่สะดวกใจขึ้น คนที่มาขอเขาก็จะไม่รู้สึกผิดหวัง

พยายามเรียนท่านอย่างนี้ ท่านก็พูดว่า "เออ! ทำก็ทำซิ"

เมื่อหลวงปู่อนุญาตแล้ว อาตมาก็จัดทำขึ้นเป็นรุ่นแรก ทำเสร็จแล้วก็ถวายหลวงปู่ไว้ตลอดพรรษา ช่วงนั้นเป็นช่วงที่กำลังพัฒนาปฏิสังขรณ์วัดด้วย ก็มีผลประโยชน์จากการทำบุญเอามาพัฒนาวัดบ้างตามที่มีคนศรัทธา เหรียญรุ่นนั้นไม่มีการตั้งราคาแต่อย่างใด

เมื่อเหรียญรุ่นแรกออกมาก็มีคนฮือฮาพอสมควร แล้วก็มีลูกศิษย์ลูกหาทั้งฝ่ายคฤหัสถ์บ้าง ฝ่ายสงฆ์บ้าง เริ่มเข้าหาหลวงปู่ขออนุญาตสร้างเหรียญสร้างวัตถุมงคลกันต่อมาเรื่อยๆ

ตามความเป็นจริง ทางวัดไม่เคยมีโครงการ ไม่มีเป้าหมาย หรือจัดระเบียบในการจัดสร้างวัตถุมงคลแต่อย่างใดเลย เมื่อมีคนมาขอ บางทีอาตมาก็พาไปพบหลวงปู่ซึ่งมีข้าราชการผู้ใหญ่บ้าง ทางกองทัพ แม่ทัพบ้าง เมื่อเขาบอกเจตนาแล้วหลวงปู่ก็อนุญาตให้เขาทำ

ทางวัดไม่เคยมีโครงการ จึงไม่เคยมีทำเนียบ มีรุ่น ไม่เคยมีการจัดระเบียบเรื่องนี้แต่อย่างใด คนที่ทราบเรื่องเหล่านี้ดีที่สุดก็คืออาตมานี่แหละ คือรู้ว่ามีใครมาขอ มาสร้าง แล้วก็ช่วยเหลือสงเคราะห์เขาไปตามควร

แต่ขอยืนยันว่า เหรียญและวัตถุมงคลที่ทำจากวัดเอง สำหรับแจกเป็นที่ระลึกนั้นไม่มีโอกาสออกไปข้างนอก ก็แจกกันหมดภายในวัดนั้นเอง ไม่มีการออกประกาศเรื่องการพุทธาภิเษก การให้สั่งจอง และประกาศประชาสัมพันธ์ต่างๆ รับรองว่าไม่เคยมีเด็ดขาด

การกระทำอย่างนั้นทางวัดเรารู้สึก ไม่โปร่งใจ ไม่สบายใจ เรื่องเหล่านี้เราไม่ถนัด อาตมาไม่ถนัด พูดง่ายๆ คือสิ่งเหล่านี้หลวงปู่ไม่ชอบนั่นเอง แต่ที่ทางเราทำขึ้นบ้างก็เพื่อสนองความต้องการ โดยที่หลวงปู่ไม่ต้องปฏิเสธ ไม่ต้องอธิบาย

ช่วงหลังๆ มีผู้มาขอสร้าง ขอทำกันหลายพวก หลายคน หลายรุ่น จนไม่ทราบว่าใครทำรุ่นไหน เมื่อไร ไม่มีการจดจำ ไม่มีการรวบรวมเป็นทำเนียบ

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะมาบังคับให้อาตมาบอกว่ามีกี่รุ่น อาตมาก็จัดรุ่นจัดระเบียบตามแบบฉบับของอาตมาเอง ใครจะเห็นอย่างไรก็แล้วแต่ อาตมาจัดออกเป็น ๗ รุ่นคือ "รุ่นวางเฉย รุ่นใส่ใจ รุ่นสบายใจ รุ่นสะดวกใจ รุ่นลำบากใจ รุ่นตื๊อ และรุ่นปลอมอย่างแท้จริง"

เหรียญและวัตถุมงคลของหลวงปู่คงจัดได้ในลักษณะนี้ ที่ต้องจัดอย่างนี้เพราะเรื่องมันมีอยู่อย่างนั้นจริง

คนที่มาขออนุญาตสร้างเหรียญ หรือ ประธานการจัดสร้างแต่ละรุ่นนั้น เขาได้รับความรู้สึกอย่างนั้นจริง บางท่านสร้างแล้วก็ปลื้มใจ บางท่านก็สบายใจ บางท่านก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าใดนัก

การสร้างเหรียญรุ่นแรก คือ "รุ่น ๐๘" รุ่นนี้เป็นการริเริ่มของ นายอำเภอพิศาล มูลศาสตร์สาทร ในสมัยนั้น จัดทำมาเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มาถวายไว้ที่หลวงปู่ หลวงปู่ก็อือออไปตามเรื่อง ให้เขาเก็บไว้ที่กุฏิ เมื่อนานพอสมควรแล้ว เจ้าของเหรียญก็มารับไป และแบ่งถวายวัดไว้บางส่วน ไว้ให้หลวงปู่แจกให้คนที่มาทำบุญสร้างอะไรต่ออะไร ใครมาขอก็แจกให้ทุกคน

รุ่นแรกนี้จำได้ดี เพราะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ในปี ๒๕๐๘ มีจำนวน ๓,๐๐๐ เหรียญเท่านั้นเอง ใช้เวลาแจก ๑๐ปีก็ยังไม่หมด ใครมาทำบุญ ๕ บาท ก็ให้ไป ไม่รู้ว่าเขาสนใจหรือเปล่า หรือใครขอก็ให้

รุ่นนี้จึงเรียกว่า "รุ่นวางเฉย" คือไม่ได้ใส่ใจว่าสำคัญหรือไม่สำคัญ ทั้งหลวงปู่ทั้งอาตมา รวมไปถึงคนที่ได้รับก็เช่นกัน นี่คือ "รุ่น๐๘" สร้างเมื่อหลวงปู่อายุ ๘๔ ปี

เหตุการณ์ผ่านมาอีก ๑๐ ปี จนถึง พ.ศ. ๒๕๑๘ เมื่ออาตมาได้ขอร้องท่านเป็นครั้งที่ ๒ แล้วท่านอนุญาต อาตมาจึงจัดทำเหรียญของท่าน ๑ หมื่นเหรียญ และเหรียญหลวงพ่อพระชีว์อีก ๑ หมื่นเหรียญ

รุ่นนี้จัดเป็น รุ่นที่ ๒ เป็น รุ่นใส่ใจ เพราะหลวงปู่อนุญาตให้ทำแล้วท่านก็ให้คาถาด้วย คาถาที่อยู่ในเหรียญเป็นภาษาขอมท่านก็เขียนให้ สร้างเสร็จก็นำมาถวายหลวงปู่ เก็บไว้ในกุฏิของท่านจนตลอดพรรษา ตั้งใจว่าออกพรรษาแล้วจะเอามาแจกจ่าย ประกอบกับทางวัดมีภาระในการพัฒนาและปฏิสังขรณ์หลายอย่าง จึงกำหนดราคาค่าบูชาเหรียญละ ๒๐ บาท เพื่อความเป็นระเบียบ

ช่วงนั้นทางวัดได้เห็นตัวอย่างการทำพิธีพุทธาภิเษก พระกริ่งจอมสุรินทร์ ที่ทางผู้จัดสร้างได้มาอาศัยสถานที่ของวัดทำพิธีพุทธาภิเษก

ขอทำความเข้าใจว่า พระกริ่งจอมสุรินทร์ นั้นทำพิธีพุทธาภิเษกที่วัดบูรพาราม แต่ไม่ใช่เป็นของวัด ช่วงนั้นหลวงปู่ยังวางเฉยในเรื่องนี้ เพียงแต่ตอนนั้น ท่านผู้ว่าฯ วิเชียร ศรีมันตร์ (พล.ต.ต. วิเชียร ศรีมันตร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ในสมัยนั้น) ปรารภสร้าง พระกริ่งจอมสุรินทร์ เพื่อให้คนบูชาแล้วนำปัจจัยไปสร้างพระประธานที่เขาพนมสวาย และสร้างถาวรวัตถุที่วัดหนองบัว

ในการสร้างได้ตั้งคณะกรรมการขึ้น แล้วได้จัดพิธีพุทธาภิเษกที่วัดบูรพาราม ทางวัดเพียงเอื้อเฟื้อสถานที่เท่านั้น พระกริ่งเป็นของคณะกรรมการ เขาแบ่งพระทองให้หลวงปู่องค์หนึ่ง แล้วก็ให้พระเงินอาตมาองค์หนึ่ง ทราบเรื่องเพียงแค่นี้

ทีนี้เมื่อเห็นตัวอย่างการจัดพิธีพุทธาภิเษกขึ้น ทางวัดก็มีดำริจัดขึ้นด้วย แต่เหรียญหลวงปู่ดูลย์ ๑๐,๐๐๐ เหรียญ กับเหรียญหลวงพ่อพระชีว์ ๑๐,๐๐๐ เหรียญ ที่ทำไว้เดิม คงไม่พอแจก จึงขอให้ทางโรงงานทำเพิ่มอีกอย่างละ ๑ หมื่นเหรียญ รวมเป็นอย่างละ ๒ หมื่นเหรียญ ๑หมื่นเหรียญแรกเก็บไว้กับหลวงปู่ตลอดพรรษา อีก ๑ หมื่นเหรียญปั๊มเพิ่ม ใช้แบบเดียวกัน เอามาเข้าพิธีพุทธาภิเษกพร้อมกัน นอกจากนี้ก็มีพระกริ่งหลวงพ่อพระชีว์รุ่นแรก และรูปเหมือน ๕ นิ้วกับ ๙ นิ้วจำนวนหนึ่งด้วย

เหรียญ และวัตถุมงคลที่ทำพิธีพุทธาภิเษก ในปี ๒๕๑๘ นี้ จึงเรียกว่า รุ่นใส่ใจ ตามที่กล่าวแล้ว

หลังจากรุ่นนี้สำเร็จออกมาก็มีรุ่น ๒, ๓, ๔ และรุ่นอื่นๆ ตามมา มีท่านผู้ใหญ่ขออนุญาตทำ บางทีทางทหารขอทำ เพื่อแจกทหารและท่านที่ออกปฏิบัติหน้าที่แถวชายแดน หน่วยงาน องค์การต่างๆ ขอทำด้วยวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง หลวงปู่ท่านมีเมตตาอยู่แล้ว ท่านจึงอนุญาตตามประสงค์ หรือไม่ก็เออออไปตามอัธยาศัย เมื่อทำเสร็จเขาก็นำมาถวายท่าน ให้ท่านแผ่เมตตาจิต-แผ่พลังจิตให้ บางรุ่นก็เข้าพิธีพุทธาภิเษก ท่านก็ให้ความสงเคราะห์ตามควร

หลังจาก รุ่นวางเฉย และ รุ่นใส่ใจ ผ่านไปแล้ว ต่อมาก็เป็น รุ่นสบายใจ ก็คือรุ่นที่ท่านทั่วๆ ไป และหน่วยงานต่างๆ ไปกราบเรียนขออนุญาต ท่านก็อนุญาตให้ทำ แล้วนำไปให้ท่านแผ่เมตตาจิต ท่านก็ทำให้โดยสมบูรณ์ แต่ละคนแต่ละกลุ่มที่ทำก็ สบายใจ อาตมาพูดตามอาการคือ ต่างคนต่างก็สบายใจ

แล้วรุ่นต่อมาก็คือ รุ่นดีใจ ก็หมายความว่า เมื่อแต่ละคนไปขออนุญาตจากท่าน ท่านก็อนุญาตให้เขาทำ เขาก็ดีใจ ไม่ว่าเขาเอาไปถวายให้ท่านแผ่เมตตาจิต หรือขอให้พระเกจิรูปอื่นทำก็แล้วแต่ เขาก็ดีใจว่าเขาได้พระจากหลวงปู่

ต่อมาก็รุ่น สะดวกใจ ก็คือว่าการดำเนินเรื่องราวของเขาได้รับความสะดวกตั้งแต่เขาสร้าง ตั้งแต่กรรมการ เข้าไปหาหลวงปู่ ขอเมตตาจากท่านก็สะดวกใจ เมื่อสะดวกใจก็เป็นโชคของเขาไป

ต่อมาก็มีรุ่น ลำบากใจ คือบางท่านทำเหรียญเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เกิดความลำบากใจขึ้นมา คือเขาไม่ได้รับอนุญาตจากหลวงปู่ ทำให้เขาเข้าหาหลวงปู่ด้วยความลำบากใจ (คือตัวเขาเองลำบากใจ แต่หลวงปู่ไม่ได้ลำบากใจ)

รุ่นต่อมา หนักกว่านี้ คือ ไปจัดทำเหรียญเรียบร้อยแล้ว มีการโฆษณาและสั่งจองกันแล้ว ทำเหรียญได้ดีเป็นพิเศษด้วย บางทีทำแล้วไม่กล้าเข้าหาหลวงปู่ เก็บไว้เป็นปีก็มี ในที่สุดก็วิ่งเข้าหาคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง บางทีหลวงปู่ทราบข่าว ท่านก็ไม่เห็นดีเห็นงามด้วย ต้องพยายามไปตื๊อลูกศิษย์ทั้งนอกวัดและในวัด จนกระทั่งมีโอกาสเข้าหาหลวงปู่ เข้าไปตื๊อหลวงปู่ แต่เมื่อเขาเข้าหาขอความเมตตาแล้ว ท่านก็แผ่เมตตาจิตให้ เขาก็รับไป รอดตัวไป นี่ก็ใช้อาการพอสมควร เรียกว่า รุ่นตื๊อ

รุ่นลำดับถัดมาคือ รุ่น ๑๐๐% คือ ปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์ คือจัดทำขึ้นมาแล้วก็แจกจ่ายไปเลย จำหน่ายไปเลย อาศัยชื่อเสียงต่างๆ มาทำประโยชน์ในการค้าขาย อันนี้ก็เป็นเรื่องของเขาไป

เพราะฉะนั้นอาตมาจึงต้องขออภัยที่ต้องพูดเช่นนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการระคายเคืองความรู้สึกของท่านที่เป็นประธานการสร้างเหรียญแต่ละรุ่น ก็คือ เมื่อการสร้างเหรียญของท่านทำให้สบายใจ ดีใจ สะดวกใจ และก็อุ่นใจแล้ว ก็ถือว่าเป็นของดีงามด้วยกันทั้งนั้น ถือว่าได้รับ "พระคุณ" จากหลวงปู่เช่นเดียวกัน

ทีนี้ท่านผู้ใดได้รับรุ่นไหน รุ่นอะไร อยากจะพูดว่าก็แล้วแต่วาสนาของท่านเถอะ "สพฺเพ สตฺตา" แต่ถ้าท่านบูชาพระคุณของหลวงปู่เสียอย่างแล้ว เมื่อมีคุณธรรมของหลวงปู่ มีความเลื่อมใส สิ่งเหล่านั้นล้วนมีความหมาย แม้ท่านมิได้รุ่นพิเศษเท่าไหร่ แต่ถ้าหากว่าสภาวะทางจิตใจ ความประพฤติ ความเลื่อมใส ภูมิใจ ได้มาด้วยจิตบริสุทธิ์ เพื่อสักการะบูชาก็ถือเป็นเรื่องวิเศษเรื่องมงคลทั้งนั้น

ถ้าเป็นไปในทางตรงกันข้าม อานุภาพก็ไม่มีเช่นเดียวกัน อันนี้จึงเป็นเรื่องของวาสนา และเรื่องของภาวะจิตใจของแต่ละคน

เหรียญรุ่นแรกๆ ยังมีอยู่ไหม?

ไม่มีหรอก หมด แม้แต่เคยเก็บไว้องค์สององค์ ไว้เป็นที่ระลึกส่วนตัวก็มีผู้หลักผู้ใหญ่มาถามหา ก็บอกว่ามีเหรียญสองเหรียญ เขาบอกขอเถอะๆ ก็ตัดใจว่าอย่างไรเสียอย่ามีเสียเลยก็แล้วกัน อย่าให้มีเลยจะได้ไม่ต้องมามีกังวล

ตกลงเดี๋ยวนี้ก็ไม่มี แต่นานๆ บางทีก็หมุนกลับมาบ้างเหมือนกัน ไปเห็นพระรูปอื่นๆ ที่เป็นลูกศิษย์เขามีมากกว่าเรา เราก็ไปตื๊อเขา เขาก็ให้มา แล้วคนอื่นก็มาขอต่อ ก็หมุนเวียนอยู่ แต่ตอนนี้ไม่มีก็สบายใจไปอย่างหนึ่ง

มีคนมาถามหาบ่อยไหม?

"บ่อย" ดังนั้นอาตมาต้องระวังอารมณ์พอสมควร มีคนมาถามมาเซ้าซี้อยู่เรื่อย ต้องเตือนสติตัวเองไม่ให้โกรธ ต้องระวังอย่างมาก ไม่งั้นเกิดอารมณ์ไม่ดีได้เหมือนกัน เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่มีและหายาก แม้แต่รุ่นสร้างหลังๆ เมื่อตอนที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ แต่พอท่านมรณภาพ ระหว่าง ๒-๓ วันแรก มีอะไรที่เกี่ยวกับหลวงปู่ก็หมดในวันนั้นแหละ คนมาจากใกล้จากไกล เมื่อเขามาแล้วอะไรๆ ก็มีความหมายหมด ก็สรุปความได้ว่าเหรียญที่สร้างเมื่อสมัยหลวงปู่มีชีวิตอยู่ ก็หมดไปในวันที่ท่านมรณภาพนั่นแหละ

หลังจากท่านมรณภาพแล้ว ก็มีการสร้างตามหลังเพื่อเป็นที่ระลึกเพราะชาวต่างจังหวัดบางท่านมารู้กิตติศัพท์หลวงปู่เมื่อหลังจากท่านมรณภาพแล้ว ทางวัดเห็นว่าสร้างไว้เพื่อเป็นที่ระลึก สร้างแล้วก็จัดพิธีพุทธาภิเษกเองบ้าง เอาไปเข้าพิธีร่วมกับพิธีใหญ่ๆ ที่ที่อื่นจัดบ้าง เมื่อคนเขามาวัดมากราบบารมีหลวงปู่ แม้จะได้เหรียญรุ่นใหม่เขาก็พอใจ เขารับไว้เป็นที่ระลึก หรือไว้แจกในงานทอดกฐินบ้าง ทอดผ้าป่าตามวัดสาขาต่างๆ บ้าง คนที่ได้รับไปเขาก็พอใจ วัตถุประสงค์ก็มีแค่นั้นเท่านั้นเอง

สรุป ในช่วงที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ ทางวัดบูรพารามเองได้จัดทำเหรียญและวัตถุมงคลทั้งสิ้นรวม ๘ รุ่นด้วยกัน นอกนั้นคณะและหน่วยงานอื่นๆ เป็นผู้จัดทำ และที่มีอยู่ในวัดในขณะนี้เป็นเหรียญที่จัดทำขึ้นหลังจากที่หลวงปู่มรณภาพแล้ว

อนึ่ง จากบันทึกของคุณบำรุงศักดิ์ กองสุข ในหัวข้อ "วัตถุมงคลกับจิต" มีดังนี้

…ในระหว่างที่หลวงปู่เริ่มมีลูกศิษย์ไปขอให้ท่านเมตตาช่วยทำวัตถุมงคล ก็มีเพื่อนนำรูปถ่ายมาอวดกับผู้เขียน ให้ดูรอยเจิมด้านหน้า แต่ซึมผ่านภาพมาปรากฏด้านหลัง (ท่านเจิมด้วยหมึกปั๊มตรายาง)

ส่วนหลวงพี่ พระสัมพันธ์ ได้นำแผ่นทองแดง ๒ แผ่นประกบกันมาอวด โดยแยกออกให้ดูรอยแป้งเจิมทั้งด้านหน้า ด้านหลัง รวม ๔ ด้าน มีรอยแป้งเจิมปรากฏทั้ง ๔ ด้านตรงกันพอดี รอยเจิมด้วยแป้งดินสอพองนี้ พระสัมพันธ์ท่านบอกว่า หลวงปู่ท่านเจิมให้ด้านหน้าด้านเดียวเท่านั้น

รอยเจิมของหลวงปู่แพร่ออกไปในหมู่ศิษย์ ผู้เขียน (บำรุงศักดิ์) เคยสอบถามคุณเอกชัย สืบนุการณ์ ซึ่งมีรถยนต์หลายคัน และชอบให้หลวงปู่เจิมรถ คุณเอกชัยบอกว่า หลวงปู่เจิมกระโปรงรถแล้วแป้งเจิมไปปรากฏอีกด้านหนึ่งด้วยเป็นความจริง

ผู้เขียนทราบแต่ว่าหลวงปู่สอนเฉพาะภาวนาเท่านั้น เมื่อมีโอกาสจึงกราบเรียนถามท่านว่า "หลวงปู่ทำของแบบนี้ (วัตถุมงคล) เป็นด้วยหรือขอรับ"

หลวงปู่ตอบว่า "อันนี้เป็นวิชาโลกีย์ที่เคยเรียนรู้มา ส่วนเรื่องจิตนั้นเป็นอีกเรื่องต่างหาก"

และเมื่อครั้งหลวงปู่อาพาธอยู่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้มีผู้ขอเก็บเศษอาหารที่หลวงปู่ขบฉันแล้วคายทิ้ง นัยว่าเพื่อนำไปเป็นที่ระลึกและทำวัตถุมงคล หลวงปู่ท่านก็ไม่ขัด แต่ท่านแนะนำว่า "อย่าเอาของสกปรกไปทำวัตถุมงคล"

หน้าต่อไป