|
ครบ 107 ปี วันสถาปนา กรมชลประทาน |
|
|
|
|
|
วันที่ 13 มิถุนายน ทุกปี เป็นวันคล้ายวันสถาปนากรมชลประทาน ปีนี้ พ.ศ. 2552 เป็นปีที่ 107 ปี จึงได้จัดกิจกรรม ในวันดังกล่าว นอกจากนี้กรมชลประทานปรับแผนการทำงาน ตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่ชลประทานกว่า 6 ล้านไร่่ ในปี 2563 พร้อมรุกพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กที่มีศักยภาพพัฒนาเป็น พื้นที่ชลประทาน เผยหากไม่มีการพัฒนาแหล่งน้ำอีกเพียง 7 ปี ประเทศไทยจะวิกฤตขาดแคลนน้ำกว่า 34,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ย้ำข้าราชการกรมฯจะทุ่มเทให้กับการทำงานยิ่งขึ้นไปอีก นายชลิต ดำรงศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยเนื่องในโอกาสที่กรมชลประทานครบรอบ 107 ปี ในวันที่ 13 มิถุนายน 2552 นี้ว่า ได้มอบนโยบายแก่ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างของกรมชลประทาน ให้ใช้ความรู้ความสามารถ ความพยายาม อดทน หมั่นเพียรเสียสละ และทุ่มเทการทำงาน เพื่อให้หน้าที่ความรับผิดชอบในด้านการพัฒนาแหล่งน้ำ บริหารจัดการน้ำและระบบชลประทาน รวมทั้งภารกิจที่ได้รับ มอบหมายจากรัฐบาลประสบผลสำเร็จ และเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ในปีที่ 107 กรมชลประทานได้ตั้งเป้าหมายที่จะเร่งรัดดำเนินการฟื้นฟูบูรณะแหล่งน้ำ ขนาดเล็กที่มีศักยภาพสามารถพัฒนาเป็นพื้นที่ชลประทานไปพร้อมกับแหล่งน้ำขนาดกลางและขนาดใหญ่ ทั่วประเทศ ภายในระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2552-2554 รวมทั้งจะเพิ่มประสิทธิภาพระบบชลประทานเดิมและขยายพื้นที่ชลประทานใหม่ โดยจะเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้ได้กว่า 6 ล้านไร่ภายในปี 2563 จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 28.35 ล้านไร่ โดยกำหนดไว้ว่า ในปี 2553 จะเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้ได้ 0.93 ล้านไร่ ปี 2554 เพิ่มอีก 1.29 ล้านไร่ และปี 2563 เพิ่มพื้นที่ชลประทานอีก 4.02 ล้านไร่ อธิบดีกรมชลประทานกล่าวต่อว่า ในปัจจุบันประเทศไทยสามารถเก็บน้ำจากฝนที่ตกในฤดูฝนเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้ประมาณ 52,741 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ในขณะที่มีความต้องการใช้น้ำทั้งปี สูงถึง 73,788 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ 70 ของความต้องการใช้น้ำ และยังมีปริมาณน้ำขาดแคลนอยู่ประมาณ 21,047 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ทั้งนี้หากไม่มีการลงทุนพัฒนาแหล่งน้ำเพิ่มขึ้นคาดว่า ภายในปี 2559 ประเทศไทยจะขาดแคลนน้ำเพิ่มขึ้นถึง 34,183 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ซึ่งอาจจะเกิดภาวะวิกฤตขาดแคลนน้ำได้
|
ประกวดโครงการ พี่นำน้องรักษ์น้ำ |
|
|
|
|
|
โครงการชลประทานยะลาได้ส่งยุวชนบ้านแหร รักษ์น้ำ จากโครงการฝายบ้านแหร เข้าร่วมประกวด โครงการ พี่นำน้องรักษ์น้ำ สนองแนวพระราชดำริ ครั้งที่ 2 ปี พ.ศ.2552 ซึ่งจัดโดยสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ มูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย กระทรวงศึกษาธิการ กรมชลประทาน สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร คณะกรรมการพิเศษเพื่อการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้จัดให้มีการเข้าค่ายพี่นำน้องรักษ์น้ำ สนองแนวพระราชดำริ กลุ่มพื้นที่ภาคใต้ วันที่ 27- 29 พฤษภาคม 2552 ณ สนามกีฬาหลักภาคใต้ (พรุค้างคาว) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
ประโยชน์ที่ได้รับ
1. เพื่อให้เยาวชนตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรน้ำ
2. เพื่อให้เยาวชนเข้าใจและนำเทคโนโลยีไปใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
3. เพื่อสร้างเครือข่ายการเรียนรู้เรื่องการจัดการทรัพยากรน้ำระหว่างโรงเรียนและชุมชน
4. เพื่อให้เยาวชนเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือสังคมและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำของชุมชน
5. เพื่อให้เยาวชนขยายเครือข่ายความร่วมมือเรื่องการจัดการทรัพยากรน้ำในภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรอิสระ และชุมชน
โรงเรียน/ชุมชน ที่เข้าประกวด ดังนี้
1. โรงเรียนสะเดาขรรค์ชัยกัมพลานนท์อนุสรณ์ จ.สงขลา
2. สภาเยาวชนคนต้นน้ำเขาพระ จ.สงขลา
3. โรงเรียนพะตงประธานคีรีวัฒน์ จ.สงขลา
4. โรงเรียนบ้านแหร จ.ยะลา
5. โรงเรียนบ้านเขายวนเฒ่า จ.นครศรีธรรมราช
6. โรงเรียนบ้านนาวิทยาคม จ.สุราษฎร์ธานี
7. สภาเด็กและเยาวชนภูมินิเวศลุ่มน้ำคลองยัน จ.สุราษฎร์ธานี
8. โรงเรียนบ้านนาวิทยาคม จ.สงขลา (สละสิทธิ์)
9. ชุมชนโคกประดู่ จ.สตูล
10. ชุมชนประธานคีรีวัฒน์ จ.สงขลา (สละสิทธิ์)
|
อบรม อาสาสมัครชลประทาน |
|
|
|
|
|
ตามที่ได้เข้ารับการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตร การปฏิบัติงานอาสาสมัครชลประทานรุ่นที่ 1 / 2552ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 วันที่ 25 27 เมษายน 2552 ที่ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และโรงแรมศุภาลัย ป่าสักรีสอรท์ แอนสปา จังหวัดลพบุรี นั้น มีผู้เข้าร่วมรับการฝึกอบรมจากโครงการชลประทานยะลา คือ
- อาสาสมัครชลประทานจำนวน 2 คน คือ 1. นายอับดุลฮาดี ลาเต๊ะ และ 2. นายแวยูโซ๊ะ ลาเต๊ะ
- เจ้าหน้าที่โครงการชลประทานยะลา จำนวน 3 คน คือ 1.นายแวอิบราเฮง แวดูยี 2. นางนวพร นิราพาธ และ 3. นางสาวเซร่า อาลี
รายละเอียดและกระบวนการฝึกอบรมนั้น มีดังนี้
- วันที่ 25 เมษายน 2550 ช่วยรัฐมนตรีเกษตรฯ เป็นประธาน อธิบดีกรมชลประทาน รองอธิบดีฯ อาสาสมัครฯ 80 คน และกลุ่มผู้ใช้น้ำในพื้นที่ประมาณ 2,000 คน พร้อมผู้ร่วมงาน
- ในปี 2553 จะขยายไปสู่พื้นที่โครงการขนาดใหญ่ จะมีอาสาสมัครชลประทานเพิ่มขึ้นอีก 1,200 คน จากนั้นก็จะขยายผลให้เต็มพื้นที่กลุ่มบริหารการใช้น้ำชลประทาน ประมาณ 6.0 ล้านไร่ หรือประมาณ 2,000 คน ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า คาดว่าจะใช้งบประมาณเป็นค่าตอบแทนปีละ 28.80 ล้านบาท เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำ
- การจัดตั้ง อาสาสมัครชลประทานขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่ประสานงานกับกลุ่มผู้ใช้น้ำและเป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ของโครงการชลประทาน ในการช่วยเหลือผู้นำองค์กรผู้ใช้น้ำชลประทาน ในการสำรวจ และรวบรวมความต้องการ การเพาะปลูกของเกษตรกรในช่วงก่อนถึงฤดูกาลเพาะปลูก ตลอดจนร่วมประชุมวางแผนกำหนดพื้นที่เพาะปลูกให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ และการส่งน้ำชลประทานให้พื้นที่การเกษตร สำหรับผู้ที่จะมาเป็นอาสาสมัครชลประทานได้นั้น จะให้กลุ่มผู้ใช้น้ำชลประทานคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเหมาะสม ซึ่งจะต้องเป็นเกษตรกรที่มีอาชีพสุจริต เสียสละ และอยู่ในเขตพื้นที่กลุ่มบริหารการใช้น้ำชลประทานนั้นๆ โดยมีขอบเขตพื้นที่รับผิดชอบประมาณ 2,500-3,000 ไร่ ต่ออาสาสมัคร 1 คน
- ผู้ที่จะเป็นอาสาสมัครชลประทานทุกท่านจะต้องผ่านการอบรมพร้อมรับประกาศวุฒิบัตร จะได้รับเงินค่าตอบแทนในอัตราเหมาจ่ายไม่เกินคนละ 1,200 บาทต่อเดือน
|
โครงการยุวชลกรเรียนรู้งานชลประทาน ปี 2552 |
|
|
|
โครงการชลประทานยะลา ได้จัดกิจกรรมฝึกอบรมศึกษาดูงานของเกษตรกรและยุวชลกร
โดยจัดสัมนาเชิงปฏิบัติการหลักสูตรเพื่อการพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งกลุ่มผู้ใช้น้ำ ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ณ โครงการฟาร์มตัวอย่างอันเนื่องมาจากพระราชดำริ วังพญา - ท่าธง อำเภอรามัน และทัศนะศึกษาดูงานเขื่อนบางลาง มี เกษตรกรและยุวชลกรเข้ารับการฝึกอบรม จำนวน 56 คน นอกจากนี้ทาง อบต. พร่อน มีโครงการรักษ์น้ำตามปรัชญาพ่อ ได้เข้าร่วมสมทบในกิจกรรมพร้อมกับโครงการชลประทานยะลาโดยเพิ่มยุวชลกรเพิ่มอีก 59 คน |