ผ้าป่าครั้งพุทธกาลเรียกว่า
"บังสุกุล" แปลว่า "ผ้าคลุกฝุ่น"
ที่มาของพิธีนี้ก็คือ
เมื่อต้นพุทธกาลพระสงฆ์ยังมิได้รับอนุญาตให้รับผ้าที่ชาวบ้านจัดทำถวาย
พระสงฆ์จะแสวงหาเศษผ้าบังสุกุล
คือ
ผ้าที่เขาทิ้งคลุกฝุ่นหรือผ้าห่อศพมาเย็บและย้อมเป็นจีวร
ประชาชนที่เห็นความลำบากของพระสงฆ์จะถวายแก่ท่านก็กลัวจะผิดพระพุทธบัญญัติ
จึงนำเอาผ้าไปทิ้งไว้ตามป่าโดยมากจะเป็นป่าช้าที่รู้ว่าพระภิกษุผู้แสวงหาผ้าจะเดินผ่านไป
เห็นจะเป็นด้วยเหตุนี้จึงเรียกพิธีกรรมนี้ว่า
"ผ้าป่า" ในภาษาไทย

การทอดผ้าป่าไม่มีกำหนดกาลเวลาเหมือนทอดกฐิน
แต่มักนิยมทอดกันในฤดูกาลกฐิน
การจัดองค์ผ้าป่าที่สำคัญต้องมีกิ่งไม้และผ้าสบงหรือจีวรพาดห้อยไว้
มีผลไม้ต่าง ๆ เป็นบริวาร
การถวายต้องไม่เจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเช่นเดียวกับการทอดกฐิน
จึงเรียกว่า ทอดเหมือนกัน
บางครั้งทายกทายิกาจะนำผ้าป่าไปพร้อมกับเครื่องกฐิน
ทอดกฐินเสร็จแล้วเลยทอดผ้าป่าด้วยอย่างนี้เรียกว่า
"ผ้าหางกฐิน"
บางครั้งเขาจะนำผ้าไปตั้งไว้หน้าวัดหรือในบริเวณวัดแล้วทำสัญญาณให้พระทราบว่ามีผ้าป่ามาถึงที่ก็มี
เครื่องผ้าป่าอย่างนี้มักมีน้อย
แต่บางครั้งทำกันขนาดใหญ่ถึงป่าวร้องหรือแจกฎีกาให้ทายกทายิการับไปคนละรูปสองรูปจนครบจำนวนภิกษุสามเณรทั้งวัดแล้วนำมาทอดพร้อมกันตามกำหนด
พอมาถึงวัดก็ประชุมถวายอุทิศต่อหน้าพระสงฆ์ก็มี
คำถวายผ้าป่า
อิมานิ มะยัง ภันเต ปังสุกูละจิวะรานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิมานิ ปังสุกูละจีวะรานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ นิพพานายะจะ ฯ
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าบังสุกุลจีวรกับทั้งบริวารเหล่านี้ แก่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ ผ้าบังสุกุลจีวรกับทั้งบริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญ
|