การเพ่งจิต
การเพ่งจิต แบ่งออกเป็น 2
อย่าง คือ
การเพ่งจิตเพื่อให้จิตรวมตัว
และการเพ่งจิตเพื่อดูการเกิดดับของจิต
1 .
การเพ่งจิตเพื่อให้จิตรวมตัว
การเพ่งจิตเพื่อให้จิตรวมตัวนั้น
คือการบังคับจิตให้อยู่กับกายมีจิตเป็นของตน
ไม่ฟุ้งซานนึกคิดปรุงแต่งทำให้จิตล่องลอยออกนอกตัว
เป็นการสูญเสียพลังงาน หรือ
ถ้าหากจิตมีอาการเกิดดับมากเกินไป
จนทำให้เหนื่อย
เพราะจิตที่เกิดดับนั้น
สูญเสียพลังงาน
ผู้ปฏิบัติก็สามารถใช้วิธีการเพ่งจิต
เพื่อให้จิตเป็นของตนรวมตัวเป็นเอก
พ้นจากอาการเกิดดับได้
วิธีการเพ่งจิตให้รวมตัว
ผู้ปฏิบัตินั่งตั้งกายให้ตรง
ตั้งสติไว้ที่ตา
แล้วเพ่งมองให้นิ่งอยู่ที่ทรวงอกกลางกายใต้ลิ้นปี่
จิตก็จะรวมตัวเป็นดวงเดียว
ในตอนแรกขณะที่เพ่งจิต
ถ้าหากจิตไม่รวมตัวเป็นเอกเป็นดวงเดียวแต่มีอาการเกิดดับเกิดขึ้นที่จิต
หรือเกิดอาการหายใจเป็นคลื่นๆ
เกิดขึ้น
ให้ผู้ปฎิบัติหายใจในอกให้เต็ม
จนกระทั้งอกอิ่ม
แล้วตั้งสติเพ่งมองดูจิตให้นิ่งอยู่ที่ทรวงอกกลางกายใต้ลิ้นปี่อาการเกิดดับของจิต
และอาการหายใจเป็นคลื่นก็จะหายไปเพราะที่ทรวงอกของเรานั้น
เป็นที่ตั้งของจิต
เมื่อเราหายใจอัดอากาศเข้าในอกจนอิ่ม
ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกตัวอยู่บริเวรทรวงอก
เมื่อตั้งสติเพ่งอยู่ที่ทรวงอก
จึงทำให้จิตรวมตัวเป็นเอกอย่างรวดเร็ว
ทำให้อาการเกิดดับของจิตและอาการหายใจเป็นคลื่นหายไปเอง
เมื่อเพ่งจิตจนกระทั่งจิตตั้งมั่นอยู่ในกายแล้ว
ให้ปล่อยกระจิตนั้นไหลเวียนไปในกาย
เมื่อกระแสจิตไหลเวียนไปในกายจนเต็มกาย
ในกายก็จะเกิดปีติสุข สงบเย็น
เพราะกายกับจิตเป็นอันเดียวกัน
เรื่องโลกหรือความคิดต่างๆ
ก็จะดับหมดสิ้นไปจากจิต
เพราะจิตมีธรรม
คือปีติเป็นเครื่องเกาะอาศัยนั่นเอง
หรืด
ถ้าหากผู้ปฏิบัติไม่ต้องการปล่อยกระแสจิตให้ไหลเวียนอยู่ในกาย
ก็สามารถบังคับจิตได้แล้วนั่นเอง
เมื่อจะนำไปตั้งไว้ที่ใดจิตก็จะอยู่ที่นั้น
2.
การเพ่งจิตเพื่อดูการเกิดดับของจิต
การเพ่งจิตเพื่อดูการเกิดดับของจิตนั้น
ให้ตั้งสติและอุเบกขาไว้ที่ตา
แล้วเพ่งมองที่ทรวงอก
โดยใช้ปัญญาพิจารณาจิตในขณะนั้น
ก็จะเห็นความไม่เที่ยงของสังขารธรรมทั้งปวง
เมื่อเกิดปัญญปัญญา
เห็นความไม่เที่ยงของสังขารธรรมทั้งปวง
จิตก็จะทำงานเกิดดับคล้ายกับเราเพ่งดูที่หลอดไฟ
เห็นไส้ในหลอดไฟทำงานเกิดดับ
เป็นพลังงานแสงสว่างและความร้อน
เมื่อเราเพ่งมองดูจิต
ก็จะเห็นจิตเกิดดับ เป็นพลังงาน
เป็นการดับแบบนิโรธ คือ
การดับที่ไม่มีกิเลส
หมายเหตุ
การเพ่งจิตให้รวมตัวนั้น
ถ้าผู้ปฏิบัติ
ไม่ชำนาญในการเพ่งก็ควรสูดลมหายใจอัดอากาศเข้าให้เต็มอกเสียก่อน
จะทำให้การปฏิบัติได้ผลเร็ว
การเพ่งจิตต่างจากการรักษาจิตไว้ที่ใจคือ
การรักษาจิตไว้ที่ใจนั้น
มีสติเป็นเครื่องรักษาจิต
โดยทำความรู้สึกที่จิต
แต่การเพ่งจิตนั้นเป็นการบังคับจิต
กดจิตให้นิ่งอยู่ที่ทรวงอก
ผู้ที่ปฏิบัติจนสมารถจับจิตได้แล้ว
จึงจะสามารถปฏิบัติได้เร็วและได้ผลดี