การคิด เพ่ง และปล่อยเพื่อให้เกิดสมาธิ
การคิดที่จะให้เกิดสมาธิ เราต้องคิดในเรื่องเกี่ยวกับธรรมะ เช่น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ คิดอยู่ว่า อนิจจังซึ่งแปลว่า ไม่เที่ยง มันเป็นอย่างไร ในขณะที่คิดต้องมีสติสัมปชัญญะ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ อย่าให้จิตไปคิดเรื่องอื่น เมื่อจิตใจจดจ่ออยู่แต่เรื่องอนิจจังที่เราคิด จิตก็จะเป็นสมาธิขึ้นมาเอง คือ เมื่อสมาธิเกิดแล้วก็จะสิ้นสงสัยในเรื่องที่คิดนั้นได้
การทำสมาธิแบบเพ่งหรือพิจารณา คือ น้อมจิตมาเพ่งดู กาย
เวทนา จิต
อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้หรือจะเพ่งดูลมหายใจ
เข้าออกก็ได้
เพราะลมหายใจเข้าออกก็จัดเป็นกายสังขาร
เพราะปรนปรือร่างกายให้เป็นอยู่
การเพ่งดูลมหายใจ
เพื่อให้เกิดสมาธิ
ให้ตั้งสติไว้ที่ลมกระทบในรูจมูกของเราเพ่งดูอยู่ที่เดียวก่อน
ถ้าจิตมันแลบออกไป
ก็พยายามดึงกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออก
ถ้าจิตฟุ้งซ่านมาก
สูดลมเข้าไปในปอดลึก ๆ
หรือในทรวงอกลึก ๆ
แล้วปล่อยลมให้ซึมซาบไปทั่วกาย
ปล่อยความรู้สึกของกระแสใจให้ไหลเวียนลงในกาย
แผ่ใจให้ทั่วกายเหมือนมีตารอบตัว
เห็นทั่วร่างกาย อย่างหลับตา
การทำสมาธิโดยวิธีธรรมชาติไม่ต้องหลับตา
เมื่อลมหายใจละเอียดความอิ่มใจกายจะค่อย
ๆ เกิดขึ้น จะรู้สึกว่า
ทั้งร่างกายและจิตใจมันจะผสมผสานกลมกลืนเป็นอันเดียว
จะมีความรู้สึกเยือกเย็นทั้งกายใจ
ทั้งภายในภายนอก
การปล่อย ในที่นี้
หมายถึงการปล่อยวางความคิด
ปรุงแต่งในเรื่องอดีต อนาคต
และปล่อยอารมณ์ปัจจุบันอื่น ๆ
เสียให้สิ้น
เพ่งดูลมหายใจเข้าออกเพียงอย่างเดียว
ทำอย่างนี้จนจิตไม่ซัดส่ายไปมา
สงบนิ่งอยู่ ณ
ศูนย์ที่กำหนดไว้แล้ว
จะมีความอิ่มเอิบใจแปลก ๆ
เกิดขึ้นเป็นอย่าง ๆ เช่น
มีอาการขนลุก น้ำตาไหล
มีอาการเสียวแปลบปลาบบ้าง
และมีแสงโชติช่วงดังฟ้าแลบ
ทำให้รู้สึกซ่า ๆ
คล้ายคลื่นกระทบฝั่ง
ทำให้กายฟูเบาเลื่อนโลดลอยไป
ทำให้รู้สึกซาบซ่านทั่วกาย
นี้เป็นอาการของปิติทั้ง ๕
และถ้าเกิดพร้อมกันทำให้รู้สึกว่าเนื้อตัวเติบโตอ้วนใหญ่ขึ้น
ถึงไม่กินอาหารหลาบก็อาจอยู่ได้หลายวัน
การทำสมาธิแบบปล่อยวางหรือวิธีธรรมชาติ
ไม่ต้องเข้าไม่ต้องออกจากสมาธิ
คือ เขาเป็นเองเกิดเอง
ถ้าจิตของเราว่างจากอารมณ์
บางคราวอ่านหนังสืออยู่เพลิน ๆ
จิตก็รวมตัวมีอารมณ์เป็นหนึ่งได้
หรือ
บางคราวขณะรับประทานอาหารอยู่จิตก็รวมตัวมีอารมณ์เป็นหนึ่งได้เหมือนกัน