วิธีแก้นิมิต
วิธีที่ ๒
เจริญติรณะปริญญาวิธี
แปลว่าพิจารณาตรวจค้นเหตุผลของนิมิต
ให้รอบคอบ
ในวิธีนี้
เป็นหน้าที่ของนักปฏิบัติ
ชั้นสมถกรรมฐาน
ผู้ชำนาญในญาตปริญญาวิธี มาแล้ว
มีหน้าที่จำเป็นต้องเจริญติรณะปริญญาวิธีต่อไป
ในขณะเมื่อเจริญติรณะปริญญาวิธีนั้น
นักปฏิบัติผู้ชำนาญ
ย่อมเจริญในเวลารวมจิตได้แล้ว
และมีนิมิตมาปรากฎเฉพาะหน้า
ก่อนแต่จะเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
นักปฏิบัติผู้ชำนาญ
ย่อมเจริญติรณะปริญญาวิธี
ให้ชำนาญก่อน
คือพิจารณาปฏิภาคนิมิตให้แตกฉานดังต่อไปนี้
ปฏิภาคนิมิตในที่นี้มี ๒
ประการคือ
๑.
ปฏิภาคนิมิตภายนอก ได้แก่
รูปร่างกายของมนุษย์
ภายนอกจากตัวของเรา
๒. ปฏิภาคนิมิตภายใน
ได้แก่ รูปร่างกายของเราเอง
รวมปฏิภาคนิมิตมี ๒ ประการ
ดังกล่าวนี้มีในตัวของมนุษย์ทุกคนตลอดโลก
บังเกิดเป็นนิมิต
ปรากฏขึ้นในเวลานั่งสมาธิ
เรียกว่าปฏิภาคนิมิต
นักปฏิบัติใหม่ทั้งหลายผู้ไม่ชำนาญ
ก็รู้ไม่เท่า และแก้ไม่ได้
ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวง
เพราะเหตุว่า
ตัวปฏิภาคนิมิตทั้งหมด
เป็นตัวกองทุกข์
และอาสวะกองกิเลส
วิธีแก้ปฏิภาคนิมิต นักปฏิบัติผู้ชำนาญ ย่อมแก้ปฏิภาคนิมิตภายนอกก่อน คือในเมื่อเวลากำลังนั่งสมาธิภาวนา รวมจิตได้แล้ว บังเกิดเห็นนิมิตมาปรากฏต่อหน้า เป็นรูป เป็นรูปมนุษย์ผู้หญิง หรือรูปมนุษย์แลบลิ้นปลิ้นตา หน้าบิด ตาเบือน แปลกประหลาด น่าตกใจกลัว อาการอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม หรือแสดงอาการให้เห็นเป็นรูปคนตาย ก็ตาม
นักปฏิบัติผู้มีสติ ย่อมพลิกจิตของตน ทวนกลับเข้ามาตั้งสติ - กำหนดจิตไว้ให้ดี แล้ววิตกถามด้วยในใจว่า "รูปนี้เที่ยง หรือไม่เที่ยง" จะแก่เฒ่าชรา ตายลงไปหรือไม่ เมื่อวิตกถามด้วยในใจดังนี้แล้ว พึงหยุดและวางคำที่นึกนั้นเสียกำหนดจิตให้รวมสนิท นิ่งพิจารณาด้วยความวางเฉย จนได้ความรู้แจ้งขึ้นเอง ปรากฏเห็นชัดซึ่งรูปนิมิตต์นั้นไม่เที่ยง แก่เฒ่าชราไปเอง ตลอดเพ่งให้ตาย ก็ตายลงเอง ตามอาการที่วิตกในใจนั้น ๆ ทุกประการ ต่อแต่นั้นจะวิตกในใจให้เห็นซึ่งรูปนิมิตที่ตายแล้ว เปื่อยเน่า ตลอดแตกทำลายกระจัดกระจายเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ไปตามธรรมดา ธรรมธาตุ ธรรมฐิติ ธรรมนิยามะ ย่อมได้ตามประสงค์ ตลอดปลอดโปร่งทุกประการ เว้นแต่จิตถอนจากสมาธิแล้ว หรือ นึกคาดคะเน หรือนึกเดาเอาเท่านั้น จึงไม่สำเร็จสมประสงค์ อันนักปฏิบัติผู้ชำนาญจริงแล้ว ย่อมไม่ใช้คาดคะเนและไม่นึกเดาเอา คื่อย่อมทำตามระเบียบวิธีที่ถูกต้องจริง ๆ จึงสำเร็จตามประสงค์
วิธีแก้ปฏิภาคนิมิตภายใน
ในขณะเมื่อ
พิจารณาปฏิภาคนิมิตภายนอกได้ความชัดแล้ว
ชื่อว่าแก้ปฏิภาคนิมิตภายนอกได้แล้วอย่าหยุดเพียงแค่นั้น
หรืออย่างพีงเป็นผู้ประมาททอดธุระเสีย
ให้น้อมเอาจิตของตนทวนกระแสกลับเข้ามา
พิจารณาภายในร่างกายของเราเอง
ในเบื้องต้น ถ้าจิตของตน ไม่ปลอดโปร่งคือไม่แลเห็นร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง ให้พึงรวมเอาแต่จิตให้สนิทอยู่ก่อน เมื่อจิตของตนรวมสนิทดีแล้ว พึงใช้อุบายวิตกดังกล่าวแล้ว ในที่นี้ประสงค์ให้วิตกว่าศีลของเราก็บริสุทธิ์ดีแล้ว สมาธิของเราก็ตั้งมั่นดีแล้ว เมื่อมีศีลก็ต้องมีสมาธิ เมื่อมีสมาธิก็ต้องมีปัญญา บัดนี้ศีลสมาธิ มีแล้วปัญญาเป็นอย่างไร เมื่อวิตกถามด้วยในใจดังนี้แล้วพึงหยุดและวางคำที่วิตกนั้นเสีย กำหนดจิตให้รวมสนิท นิ่งพิจารณาด้วยความวางเฉย จนกว่าได้ความรู้แจ้งขึ้นเอง ปรากฏเห็นชัดซึ่งผู้รู้ทั้งหลายชี้บอกว่า ทางนี้เป็นทางรัก ทางนี้เป็นทางเกลียด ทางนี้เป็นมัชฌิมาปฏิปทา พร้อมทั้งแลเห็นเป็นทางโปร่งโล่ง ทั้ง ๗ ทางในขณะเดียวกันก็รู้ชัดได้ว่า ปัญญาคือความเห็นชอบ พร้อมทั้งความรู้ และความรอบคอบ
ต่อแต่นั้น พึงวิตกถามถึงส่วนของร่างกาย ภายในร่างกายตนเองเป็นตอน ๆ ไป ในตอนแรกพึงวิตกว่า ร่างกายของเราเป็นอย่างไร เที่ยงหรือไม่เที่ยง จะแก่เฒ่าชรา และแตกทำลาย เปื่อยเน่าลงไป เหมือนกันหรือไม่ เมื่อวิตกถามด้วยในใจเช่นนั้นแล้วพึงหยุด และวางคำวิตกนั้นเสีย กำหนดจิตให้รวมสนิทนิ่งพิจารณาด้วยวามวางเฉย จนกว่าได้ความรู้แจ้งขึ้นเอง และแลเห็นชัดแจ้งประจักษ์ว่าร่างกาย ของเรา แก่เฒ่าชรา และล้มตายลงไปในปัจจุบันทันใจในขณะนั้น สำเร็จสมประสงค์
ตอนที่ ๒ พึงวิตกถามด้วยในใจว่า อาการ ๓๒ ภายในร่างกายเราส่วนไหนตั้งอยู่อย่างไร มีลักษณะอาการอย่างไร หทัยวัตถุอยู่ที่ไหน ครั้นเมื่อวิตกถามด้วยในใจดังนี้แลัว พึงหยุด และวางคำวิตกนั้นเสีย กำหนดจิต ให้รวมสนิทนิ่ง พิจารณาด้วยความวางเฉย จนกว่าได้ความรู้แจ้งขึ้นเอง ปรากฏเห็นชัด ซึ่งดวงหทัยวัตถุ ตั้งอยู่ทรวงอกข้างซ้ายมีรูปลักษณะคล้ายดอกบัวตูม มีหน้าที่ ทำงานฉีดเลือดส่งไปเลี้ยงร่างกาย เมื่อเห็นเครื่องภายในก่อนดังนี้ พึงพิจารณาเครื่องภายในให้ตลอดคือ พิจารณาม้าม ว่าตั้งอยู่ที่ไหน มีรูปลักษณะ อาการเป็นอย่างไร ให้วิตกถามด้วยในใจ แล้วหยุดวางคำวิตกนั้นเสีย กำหนดจิตรวมให้สนิท นิ่งพิจารณาด้วยความวางเฉย จนกว่ารู้ขึ้นเองว่า ม้ามตั้งอยู่ข้างซ้ายของดวงหทัยวัตถุ มีรูปลักษณะคล้ายตับมีสีแดง ส่วนตับนั้น ตั้งอยู่ข้างขวาของดวงหทัยวัตถุ มีสีดำคล้ำ ปอดตั้งอยู่ทรวงอกเบื้องบน มีหน้าที่รับลมหายใจเข้าออก แลส่งไปเลี้ยงร่างกายทั่วสรรพางค์กาย อันตัง (ไส้ใหญ่) ต่อจากลำคอลงไป มีกระเพาะอาหาร สำหรับรับอาหารใหม่ ต่อจากกระเพาะอาหารใหม่ลงไป เรียกว่า ลำไส้ใหญ่ตั้งอยู่ในท้องของเราเป็นขด ๆ มีไส้น้อย รัดรึงเรียกว่าสายรัดใส้ ต่อจากลำไส้ใหญ่ มีกระเพาะอาหารเก่า สำหรับรับกากของอาหารเก่า สำหรับรับกากของอาหาร ต่อจากกระเพาะอาหารเก่าลงไป เป็นทวารหนัก สำหรับถ่ายอุจจาระ
เมื่อเห็นแจ้งขึ้นเอง ซึ่งเครื่องภายใน ชัดเจนตลอดแล้ว พึงพิจารณาอาการ ๓๒ เป็นอนุโลมปฏิโลม โดยปัจจัตตัง รู้จำเพาะกับจิต ไม่ใช่นึกไม่ตามตำราที่จำได้นักปราชญ์ทั้งหลาย ย่อมนึกวิตกถามผู้รู้ ในเวลานั่งสมาธิรวมจิตสนิทดีแล้ว มีสติกำหนดจิตได้แล้ว พีงวิตกถามด้วยในใจว่าเกศา แปลว่า ผม ตั้งอยู่ที่ไหน มีรูปพรรณสัณฐานอย่างไร เมื่อวิตกถามแล้ว พึงหยุดและวางคำถามนั้นเสีย มีสติ รวมจิตให้สนิท นิ่งพิจารณาด้วยความวางเฉย จนปรากฎเห็นชัดขึ้นเอง ว่าผมอยู่บนศีรษะ มีสีดำคล้ำ รูปพรรณสัณฐาน เป็นเส้นยาว ๆ แก่แล้วหงอกขาว ตายแล้วลงถมแผ่นดิน โลมา แปลว่า ขน เกิดอยู่ตามขุมขน มีทั่วร่างกาย ครั้นเมื่อเราตาย ถมแผ่นพระธรณี นขา แปลว่า เล็บ มีอยู่ที่ปลายนิ้ว ทั้งตีนทั้งมือ ทุกคนย่อมถือว่าเล็บของตน สิ้นชีพวายชนม์ลงถมแผ่นดิน ทันตา แปลว่า ฟัน ในปากของเรา เมื่อแก่เฒ่าฟันเราโยกคลอน หนักเข้าหลุดถอน ลงถมแผ่นดิน ตโจ แปลว่า หนัง หุ้มร่างกายเรา ตายแล้วถูกเผา ถมแผ่นพระธรณี ฯ
ครั้นเมื่อพิจารณา ปรากฏเห็นเอง แจ้งประจักษ์ใจตามความเป็นจริง ในมูละกรรมฐานนี้แล้ว ชื่อว่าพิจารณาเป็นอนุโลม พึงพิจารณาย้อนกลับ เป็นปฏิโลมกลับไป กลับมา ให้ชำนาญดีแล้ว จึงพิจารณาเป็นลำดับต่อไปอีกว่า มังสัง แปลว่า เนื้อ มีหนังหุ้มอยู่รอบ จะแลดูด้วยตา ย่อมไม่เห็น เมื่อเราจะพิจารณาดูซึ่งเนื้อ จำเป็นจะต้องถลกหนังนี้ออกให้หมดเสียก่อนจึงจะพิจารณาดู่ซึ่งเนื้อให้เห็นจริงแจ้งประจักได้ แต่จะต้องถลกออกด้วยอุบายปัญญา ครั้นพิจารณาเห็นดังนั้นแล้ว พึงทำในใจด้วยอุบายที่ชอบ คือมีสติยกจิตขึ้นเพ่ง ให้หนังเลิกออกไป ตั้งแต่หนังศีรษะ เป็นต้นไปโดยลำดับ ตลอดถึงหนังพื้นเท้าเป็นที่สุด เสร็จแล้วเอากองไว้ที่พื้นแผ่นดิน เมื่อเพ่งพิจารณาให้หนังเลิกออกไปหมดแล้ว ก็แลเห็นกล้ามเนื้อเป็นกล้าม ๆ ทั่วสรรพางค์กาย จึงตั้งสติ กลับจิตให้รวมสนิท แล้วยกจิตขึ้นเพ่งให้กล้ามเนื้อหลุดออกจากกระดูก หมดทุกกล้าม ตลอดทั่วสรรพางค์กาย ตกลงไปกองอยู่ที่พื้นแผ่นดิน เมื่อกล้ามเนื้อหลุดออกจากโครงกระดูกหมดแล้ว ก็แลเห็นเส้นเอ็นอย่างกระจ่างแจ้ง ว่าเส้นเอ็นทั้งหลายรัดรึง โครงกระดูกให้ติดกันอยู่ได้ เมื่อจะพิจารณาให้เส้นเอ็นหลุดจากโครงกระดูกนั้น จึงพลิกจิตให้กลับรวมสนิทดีแล้ว ยกจิตขึ้นเพ่งให้เส้นเอ็นทั้งหลาย หลุดจากโครงกระดูกหมดทุกเส้น เมื่อเส้นเอ็นหลุดจากโครงกระดูกแล้ว ก็แสดงให้แลเห็นโครงกระดูกได้อย่างไร กระจ่างแจ้ง
เมื่อเห็นโครงกระดูกแจ่มแจ้ง แต่เครื่องภายในโครงกระดูกยังมีอยู่ พึงกระทำพิธี พิจารณาให้เครื่องภายในโครงกระดูกนั้น หลุดออกไปก่อน แล้วจึงพิจารณา ยกจิตขึ้นเพ่งให้โครงกระดูกหลุดออกเมื่อภายหลัง
วิธีพิจารณาเครื่องภายใน หลุดออกจากโครงกระดูก ให้มีสติพลิกจิต กำหนดรวมจิตให้สนิทแน่วแน่วแล้วยกจิตขึ้นเพ่ง ให้เครื่องภายใน หลุดออกจากโครงกระดูก ทีละอย่าง ๆคือเพ่งม้าม ให้ม้ามหลุดออกไปเพ่งหทัยวัตถุให้หทัยวัตถุหลุดออกไป เพ่งตับ ให้ตับหลุดออกไป เพ่งพังผืด ให้พังผืดหลุดออกไป เพ่งไต ให้ไตหลุดออกไป เพ่งปอด ให้ปอดหลุดออกไป เพ่งลำใส้ใหญ่ ให้ลำไส้ใหญ่หลุดออกไป เพ่งไส้น้อย ให้ไส้น้อยหลุดออกไป เพ่งอาหารใหม่ อาหารเก่า ให้อาหารใหญ่ อาหารเก่าหลุดออกไป เมื่อเครื่องภายในโครงกระดูกหลุดออกไปหมดแล้ว ธาตุน้ำทั้งหลาย มีน้ำเลือด น้ำเหลืองเป็นต้น มีน้ำมูตร์ เป็นที่สุด ก็หลุดออกจากโครงกระดูก ตกลงไปกองอยู่ที่พื้นแผ่นดิน ฯ
เมื่อมีสติ เพ่งพิจารณา ให้เครื่องภายในภายนอกหลุดออกจากโครงกระดูกหมดแล้ว ก็แสดงให้เห็นโครงกระดูกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ทั้งข้างในข้างนอก จึงพิจาณาโครงกระดูก เป็นอนุโลม ปฎิโลมต่อไป