วิธีแก้นิมิต
วิธีที่ ๓
เจริญปหานปริญญาวิธี
เจริญปหานปริญญาวิธี
แปลว่า ละ หรือ วาง นิมิตต์ได้ขาด
ย่อมเจริญด้วยวิปัสสนากรรมฐาน
๓ ประการ คือ
๑. วิปัสสนานุโลม
ใช้บริกรรมภาวนาอนุโลมเข้าหาวิปัสสนาวิธี
๒. วิปัสสนาสุญญตวิโมกข์
ใช้บริกรรมภาวนาดับสัญญาให้ขาดสูญ
๓. วิปัสสนาวิโมกขปริวัติ
ใช้บริกรรมภาวนาวิปัสสนาวิธีให้เต็มรอบ
ระงับนิมิตให้ขาดถอนอุปาทานขันธ์
ตลอดถอนตัณหาทั้งโคน
การใช้แบบไหนขึ้นอยู่กับนักปฏิบัติ
ซึ่งแบ่งเป็น ๓ ประเภทคือ
๑. นักปฏิบัติบางคนหรือบางองค์
เมื่อนั่งสมาธิภาวนารวมจิตสนิทได้ดี
แต่มีปิติแรงกล้า
บังเกิดขึ้นทับถม
กลบเกลื่อนดวงใจ
จะยกจิตขึ้นพิจารณาอะไรก็ไม่สะดวก
จำเป็นต้องใช้บริกรรมภาวนาวิปัสสนานุโลมว่า
" ขยวย ธมฺมา สงฺขารา " หรือ "
ขยธมฺมา สงฺขารา " เป็นต้น
2. นักปฏิบัติบางคนหรือบางองค์
เมื่อนั่งสมาธิภาวนารวมจิตสนิทได้ดีเหมือนกัน
แต่เมื่อบังเกิดมีนิมิตขึ้นมาก
เหลือวิสัยที่จะแก้ไขได้
กลายเป็นสัญญาเนื่องอยู่ในจิต
ระงับไม่ได้จำเป็นต้องเจริญวิปัสสนา
สุญญตวิโมกข์
ใช้บริกรรมภาวนาว่า " สพฺเพ
สงฺขารา สพฺพสญฺญา อนตฺตา "
เป็นต้น
๓. นักปฏิบัติผู้มีภูมิจิตสูง
ได้เจริญญาตปริญญาวิธี
และได้เจริญติรณปริญญาวิธี
จนตลอดดังกล่าวแล้ว
ชื่อว่ามีภูมิจิตสูง
ก้าวล่วงวิปัสสนานุโลม
และวิปัสสนาสุญญตวิโมกข์แล้ว
ควรได้เจริญวิปัสสนาวิโมกข์ปริวัติต่อไป
ในเมื่อตรวจค้นปฏิภาคนิมิต
เลิกถอนเครื่องภายในภายนอกออกหมดแล้ว
ยังเหลือแต่โครงกระดูก
ได้พิจารณาโครงกระดูกเป็นอนุโลม
ปฏิโลมรอบคอบตลอดแล้ว
ได้รวมจิตให้สนิท
ตั้งมั่นในที่ทรวงอกดีแล้ว
มีสติ
ยกจิตขึ้นเพ่งซึ่งโครงกระดูกนั้น
ด้วยอุบายปัญญา ซึ่งเกิดขึ้นเอง
และเห็นด้วยใจตนเอง
ว่าโครงกระดูกทั้งสิ้นนี้
เป็นของไม่ใช่ตน ไม่ใช่ตัว
ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
ชื่อว่าเห็นอนัตตาด้วยในใจของตนเอง
และเห็นเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ แน่แก่ใจแล้ว
ยกคำบริกรรมวิปัสสนาวิโมกขปริวัติขึ้นบริกรรมภาวนาว่า
สพฺเพ
ธมฺมา อนตฺตา
สพฺเพ
ธมฺมา อนิจฺจา
สพฺเพ
ธมฺมา ทุกฺขา
ให้บริกรรมภาวนา
นึกอยู่ในใจอย่างเดียวไม่ออกปาก
และไม่ให้มีเสียง
มีสติกำหนดจิตเพ่งด้วยความนิ่งและวางเฉย
จนกว่าจะปรากฏเห็นโครงกระดูกนั้นหลุดถอนจากกัน
ตกลงไปกองอยู่ที่พื้นดิน
พึงยกจิตขึ้นเพ่ง
และบริกรรมภาวนาวิปัสสนาวิโมกขปริวัติอีกว่า
สพฺเพ ธมฺมา
อนตฺตา
สพฺเพ ธมฺมา
อนิจฺจา
สพฺเพ ธมฺมา
ทุกฺขา
ให้นึกอยู่ในใจอย่างเดียว
จนกว่าจะปรากฏเห็นชัดว่า
อวัยะทุกส่วนที่ตกลงไปกองอยู่ที่พื้นดินนั้น
ได้ละลายกลายเป็นดิน เป็นน้ำ
เป็นลม เป็นไฟ ไปเองหมดแล้ว
เมื่อจะระงับสัญญาที่หมายพื้นดิน
พึงมีสติยกจิตขึ้นเพ่ง
บริกรรมภาวนา
วิปัสสนาวิโมกขปริวัติ ดังกล่าว
เมื่อจะระงับเวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ ก็ให้บริกรรมภาวนา
วิปัสสนาวิโมกขปริวัติแบบเดียวกัน
ตลอดระวับอรูปฌานทั้ง ๔
ก็ใช้คำบริกรรมภาวนา
วิปัสสนาวิโมกข์ปริวัติแบบนี้
ข้อสังเกตุ :
ในเวลาได้ใช้คำบริกรรมภาวนาวิปัสสนาวิโมกข์ปริวัตินี้
พิจารณาให้โครงกระดูกละลายไปเองแล้ว
และได้พิจารณาให้อวัยวะต่าง ๆ
ตกลงกองอยู่พื้นแผ่นดินนั้น
ละลายกลายเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นไฟ
เป็นลม ไปแล้วก็ดี
ตลอดได้เพ่งพิจารณาให้พื้นดินละลายไปเองแล้วก็ดี
พึงเป็นผู้มีสติบริบูรณ์
กำหนดเอาจิตของตนไว้
ให้รวมสนิทเป็นเอกจิต เอกธรรม
เอกมรรค
คือเป็นหนึ่งอยู่กับที่ตลอดไป
อย่าพึงเป็นผู้ประมาททอดธุระ
ปล่อยจิตของตนให้ฟุ้งซ่านไป
เมื่อได้บำเพ็ญข้อปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบในพระพุทธศาสนา
ดังกล่าวมาถึงขั้นนี้แล้ว
ย่อมแลเห็นอานิสงส์แห่งการปฏิบัติในพุทธศาสนา
ไม่มีประมาณ
ชื่อว่าได้ถึงพระไตรสรณาคมน์อันแท้จริง