การทำจิตให้เกิดดับ

การทำจิตให้เกิดดับนั้น  มีประโยชน์หลายประการคือ ดับกิเลสทางใจ ทำลายอนุสัยที่นอนเนื่องอยู่ในจิตได้ ทำลายรูปหยาบทำให้เกิดความเบากาย เบาใจ ทำให้ความทุกข์คลาย คือ ขณะที่เราทำความเพียรและเกิดความทุกข์ที่กาย เมื่อเรากำหนดจิตให้เกิดดับ ความทุกข์ที่เกาะกายก็จะดับไปคลายไปพร้อมกับอาการเกิดดับที่เกิดขึ้น

วิธีการกำหนดจิตให้เกิดดับ

ครั้งแรกให้ผู้ปฏิบัติทำความรู้สึกไปตลอดกายก่อน เมื่อมีความรู้สึกไปตลอดกายแล้ว ให้กำหนดจิตไว้ที่ระหว่างตาแล้วมองย้อนกลับเข้าภายในกาย เมื่อมองย้อนกลับเข้าภายในแล้ว ให้มองดูระหว่างที่ตาและทรวงอกกลางกายใต้ลิ้นปี่ เมื่อมีสติอุเบกขา เพ่งดูอยู่ที่ระหว่างตาและทรวงอก ก็จะเห็นอาการเกิดดับเกิดขึ้น ในระยะแรก อาการเกิดดับนี้จะค่อย ๆ ก่อน จากนั้นก็จะแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อการเกิดดับเกิดขึ้นที่จิตแรงแล้ว ให้ผู้ปฏิบัติเลื่อนจิตมาไว้ที่ท้ายทอย แล้วปล่อยกระแสจิตนั้นให้ไหลเวียนลงในกาย ก็จะเห็นความเกิดดับเกิดขึ้นตลอดกาย หรือถ้าผู้ปฏิบัติเห็นว่าอาการเกิดดับ ที่เกิดขึ้นนั้นแรงมาก ก็ไม่ต้องยกจิตขึ้นที่ท้ายทอย ให้แผ่กระแสใจไปให้ตลอดกายเลยก็ได้ โดยตั้งสติอุเบกขา ทำความรู้สึกไปตลอดกาย ความเกิดดับก็จะขยายไปตลอดกาย ความรู้สึกทุกข์ แน่นอก แน่นใจต่าง ๆ ก็จะดับไป

 

หมายเหตุ

การเกิดดับนี้เกิดขึ้นได้ ๒ สาเหตุคือ

๑. เกิดจากการกำหนดจิตของผู้ปฏิบัติ คือผู้ปฏิบัติสร้างขึ้นมาด้วยการกำหนดจิต

๒. เกิดขึ้นเองโดยที่ผู้ปฏิบัติมีสติ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม และขณะที่มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนั้นเกิดญาณปัญญาขึ้น ทำให้เห็นอาการเกิดดับเกิดขึ้นตลอดกาย

การเกิดดับที่เกิดขึ้นทั้ง ๒ อย่างนี้ มีอำนาจทำลายกิเลสได้เหมือนกัน แต่การเกิดดับที่เกิดจากญาณปัญญานั้นจะดีกว่า คือ อาการเกิดดับที่เกิดขึ้นนั้น จะละเอียดอ่อน ประณีตกว่า และทำลายอนุสัยได้ดีกว่า เมื่อเกิดดับไปตลอดกายแล้ว ธรรมะจะเกิดขึ้นมาแทน จะทำให้กายภายในนั้นเอิบอิ่ม ส่วนการเกิดดับที่สร้างขึ้นนั้นจะมีลักษณะหยาบกว่าเกิดจากญาณ และเมื่อดับนาน หรือดับมากเกินไปก็จะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความอ่อนเพลีย ดังนั้นเมื่อผู้ปฏิบัติกำหนดจิตให้เกิดดับแล้ว ก็ควรยกจิตให้เหนือจากการเกิดดับด้วย และควรสร้างพลังงานจิตภายหลัง โดยการหายใจให้เต็มอกแล้วประคองลมไว้ในอก พักจิตให้นิ่งเฉย จิตก็จะเกิดพลังมีความอิ่มขึ้นเอง