วิปัสสนาญาณที่พิจารณากัน
มี ๓ นัย
๑.
พิจารณาแบบวิปัสสนาญาณ ๙
ตามนัยวิสุทธิมรรค
๒.
พิจารณาตามนัยอริยสัจ ๔
๓.
พิจารณาขันธ์ ๕ ตามพระไตรปิฏก
ที่มีมาในขันธวรรค
วิปัสสนาญาณ ๙
๑. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ
พิจารณาเห็นความเกิดและความดับของสังขาร
๒. ภังคานุปัสสนาญาณ
พิจารณาเห็นความดับ
๓. ภยตูปัฏฐานญาณ
พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว
๔. อาทีนวานุปัสสนาญาณ
พิจารณาเห็นโทษของสังขาร
๕. นิพพิทานุปัสสนาญาณ
พิจารณาสังขารเห็นเป็นของน่าเบื่อหน่าย
๖. มุญจิตุกามยตาญาณ
พิจารณาเพื่อใคร่จะให้พ้นจากสังขารไปเสีย
๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ
พิจารณาหาทางที่จะให้พ้นจากสังขาร
๘. สังขารุเปกขาญาณ
พิจารณาเห็นว่าควรวางเฉยในสังขาร
๙. สัจจานุโบมิกญาณ
พิจารณาอนุโลมในญาณทั้ง ๘
นั้น เพื่อกำหนดรู้ในอริยสัจ
ให้ทำแต่ญาณจนจะเกิดอารมณ์เป็นเอกัคคตารมณ์ทุก ๆ ญาณ และจนจิตเข้าสู่โคตรภูญาณ คือจิตมีอารมณ์ยอมรับกฏธรรมดา เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องด้วยตนหรือคนอื่นเป็นของธรรมดาไปหมด สิ่งกระทบเคยทุกข์เดือดร้อน ก็ไม่มีความทุกข์ความเร่าร้อนไม่ว่าอารมณ์ใด ๆ ทั้งที่เป็นเหตุของความรัก ความโลภ ความโกรธ ความผูกพัน ยอมรับว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ อาการอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดา หลังจากเข้าสู่โคตรภูญาณเต็มขั้นแล้ว จิตก็ตัดสังโยชน์ ๓ เด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหาน คือ ตัดได้เด็ดขาดไม่กำเริบอีก ท่านเรียกว่า ได้อริยมรรคต้น คือ พระโสดาบัน
http://www/oocities.com/samadhinet