Counter
เอกสารประกอบการบรรยาย หัวข้อ "วัฒนธรรม"
วิชา 415110 Man and Society และ 400100 Man, Society and Culture


อ.จักรพันธ์ ขัดชุ่มแสง

นานาความหมายของคำว่า "วัฒนธรรม"
วัฒนธรรมไทย : มองจากอีกมุม

ความเป็นนานาชาติของคนไทย



นานาความหมายของคำว่าวัฒนธรรม
โดย กาญจนา แก้วเทพ


“วัฒนธรรม” เป็นคำๆ หนึ่งที่เหมือนกับบรรดา “คำ” อื่นๆ ที่เกิดมาในโลก
กล่าวคือ เท่าที่เราเห็นเป็นตัวเป็นตนของคำว่า “วัฒนธรรม” ในวันนี้นั้น ความจริงแล้ว นับตั้งแต่วันที่คำๆ นี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมาในโลก มันก็ได้ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างโชกโชน มันถูกกำหนดความหมายให้จากผู้มีอำนาจกลุ่มหนึ่งในเบื้องแรก แล้วต่อมาเมื่อมีผู้มีอำนาจกลุ่มใหม่เกิดขึ้น เขาก็จัดการอาบน้ำทาแป้งแต่งตัวให้มันด้วยการนิยามมันเสียใหม่ บางครั้งในขณะที่มันถูกนิยามให้มีความหมายอันหนึ่งเอาไว้อย่างแน่นอนชัดเจนแล้ว ก็ยังอาจมีกลุ่มคนผู้ที่อาจจะไร้อำนาจแต่ไม่ไร้ความปรารถนาแอบนิยามมันเอาไว้อีกแบบหนึ่งอย่างเงียบๆ แฝงเร้น และในบางยุคสมัย ทุกความหมายของหลายสำนักก็อาจจะมีโอกาสได้มาประชันขันแข่งกันอย่างเปิดเผย
บทความนี้ก็จะอาศัยแนวความคิดพื้นฐานข้างต้นนี้มาย้อนรอยถอยกลับไปสำรวจดูนานาความหมายของคำว่า “วัฒนธรรม” เท่าที่มีมาเฉพาะในโลกตะวันตกเป็นส่วนใหญ่

ยุคแรก : วัฒนธรรมคือชนชั้นสูง

ตอนต้นก่อนศตวรรษที่ ๖-๗ ในยุคกรีก อาร์คิโลกัส (Archilocus) ได้แยกความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เรียกว่า “ความปรารถนา” (desire) กับสิ่งที่เรียกว่า “หน้าที่” (duty) ออกจากกัน โดยถือว่า เมื่อแรกมนุษย์เกิดมาจะมีความปรารถนาติดตัวมาเป็นธรรมชาติ ต่อเมื่อมนุษย์ได้เข้ามาอยู่ในสังคมแล้ว จึงค่อยๆ เปลี่ยนสภาพจากสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายใต้การควบคุมของความปรารถนา มาอยู่ใต้อาณัติของการรู้จักทำหน้าที่ของตน บรรดาสื่อกลางทั้งหลายที่จะช่วยดัดแปลงให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงจากธรรมชาติมาสู่สังคมนี้ก็คือ ศิลปะ การประพันธ์ และวรรณกรรมต่างๆ
ดังนั้น จึงมีการใช้คำว่า “teche” ซึ่งมีความหมายถึงศิลปะแห่งการจัดและแปรรูปสรรพสิ่งทั้งหลาย รวมตลอดถึงบุคลิกภาพของคนเราจากภาวะธรรมชาติมาสู่ภาวะสังคม
จากแนวคิดนี้ พลูตาร์ช (Plutarch) นักปราชญ์ชาวกรีกอีกท่านหนึ่งก็ได้นำมาขยายเปรียบเทียบให้เห็นภาพพจน์ได้ชัดเจนว่าหากเราต้องการจะได้ผลไม้ เราก็ต้องมีเมล็ดพืช มีเนื้อดิน และมีเกษตรกรที่มีความรู้ เฉลียวฉลาดและขยันขันแข็ง เกษตรกรจะเป็นผู้เพาะปลูกเมล็ดพืชลงไปในเนื้อดิน ฉันใดก็ฉันนั้น คนเราก็เปรียบเสมือนเมล็ดพืช การอบรมก็เปรียบเสมือนเนื้อดิน และตัวเกษตรกรนั้นก็คือผู้ให้การอบรม จากสภาวะของเมล็ดพืช (คนตามสภาวะธรรมชาติ) ก็จะผลิดอกออกผลมาเป็นผลไม้ (คนในสังคม) อันเกิดมาจากน้ำพักน้ำแรงการพรวนดินรดน้ำของเกษตรกรนั่นเอง
ด้วยเหตุฉะนี้ คำว่า “culture” ทั้งในภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสที่มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกลาติน จึงมีความหมายในอีกนัยหนึ่งคือ “การเพาะปลูก” (เช่นคำว่า cultivate/cultivé) กลุ่มคำภาษาไทยที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมก็มีความหมายในนัยเดียวกัน เช่น “อบ” “รม” “บ่ม” “เพาะ” “ปลูก” “ฝัง” “ขัดเกลา” เป็นต้น
กล่าวโดยสรุปอีกครั้งหนึ่ง กระบวนการทางวัฒนธรรมซึ่งเป็นตัวการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติที่ยังดิบอยู่ของมนุษย์ให้พัฒนาไปสู่สภาวะที่สูงส่งขึ้น ใกล้กับอุดมคติมากขึ้น ตามนัยยะนี้วัฒนธรรมจึงมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า “อารยธรรม” และส่งคุณค่าไปในทางบวกไปในทางดีงาม เรามองเห็นตัวอย่างการใช้ความหมายของคำว่า “วัฒนธรรม” ตามนัยยะนี้ได้อยู่บ่อยๆ นับตั้งแต่ระดับบุคคล เช่น เวลาเราจะตำหนิใคร เราก็จะพูดว่า “คนอะไร ไม่มีมารยาท ไม่มีวัฒนธรรม” หรือถ้าจะให้หนักข้อไปยิ่งกว่านั้น ก็อาจจะด่าว่า “เด็กอะไร พ่อแม่ไม่สั่งสอน” ในระดับประเทศ เมืองไทยเราก็เคยต้องพยายามยกระดับตัวเองเพื่อให้มี “ความศิวิไลซ์” ทัดเทียมกับอารยประเทศทั้งหลายมาแล้ว
จากนัยยะดังกล่าวของวัฒนธรรม เวลาแตกตัวออกมาเป็นภาคปฏิบัติ จะมีการระบุกิจกรรมที่จะเข้าประเภท “กระบวนการทางวัฒนธรรม” เอาไว้อย่างแน่นอนชัดเจนเลย กิจกรรมเหล่านั้นจะต้องเป็นกิจกรรมทางสมอง ทางด้านการใช้ปัญญา เช่น การขัดเกลาวิญญาณด้วยศาสนา การบ่มเพาะสติปัญญาด้วยการศึกษาปรัชญา ส่วนกิจกรรมของการใช้แรงงานนั้นไม่ถือว่าเป็นกระบวนการทางวัฒนธรรม
เมื่อกำหนดบรรทัดฐานเอาไว้แน่นอนอย่างนั้นแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาอย่างแน่นอนอีกเช่นกันก็คือ คนทุกคน กลุ่มทุกกลุ่มในสังคมย่อมไม่มีโอกาสเท่าเทียมกันในอันที่จะได้เข้าใกล้ “วัฒนธรรม” ดังกล่าว ทั้งนี้เพราะสภาพความเป็นจริงของสังคมในขณะนั้น มีคนบางกลุ่ม เช่น พวกไพร่ทาส ที่จะต้องใช้แรงงานกายจึงจะมีชีวิตอยู่ ก็คงจะมีแต่พวกเจ้าพวกนายทาสที่ไม่ต้องออกแรงทำงาน แต่อาศัยผลผลิตจากข้าทาสของตนเท่านั้นที่จะมีโอกาสเข้าถึงกิจกรรมการใช้สมองและปัญญาดังกล่าว
ด้วยเหตุนี้ บรรทัดฐานของการมีวัฒนธรรม ก็เลยกลายเป็นรูปแบบวิธีการใช้ชีวิตของเจ้านายนั่นเอง เช่น การถกเถียงปรัชญา การดื่มด่ำกับโคลงกลอน ฯลฯ และในชั้นต่อมาก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นสูงผู้มีอารยธรรมและมีรสนิยมอันวิไลไป
โดยนัยยะนี้ ความหมายของวัฒนธรรมในลักษณะนี้ จึงเป็นวัฒนธรรมแบบเบื้องบน (elitist) ไปโดยปริยาย
ต่อมาในยุคหลังๆ เช่น ยุคเตอร์กี อาหรับ ไบแซนทีน แม้ว่าจะได้มีการดัดแปลงรูปแบบของ “วัฒนธรรม” ให้ผิดแผกแตกต่างออกไปจากกรีก-โรมัน แต่ทว่าความหมายของเนื้อหาวัฒนธรรมนั้นยังคงเป็นเช่นเดิม
จนแม้เมื่อล่วงเข้าสู่ยุคล่าอาณานิคม บรรดาประเทศเจ้าอาณานิคมอันได้แก่ประเทศในยุโรปซึ่งสืบเชื้อสายทางวัฒนธรรมมาจากกรีก-โรมัน เมื่อเวลาเหลียวหน้าไปมองดูประเทศอื่นๆ ในโลกโดยมีไม้บรรทัดแบบยุโรปเป็นมาตรฐาน แน่นอนว่า ย่อมจะไม่ได้พบเห็นสรรพสิ่งแบบที่ยุโรปมี เจ้าอาณานิคมเหล่านี้ก็จะตีตราว่า บรรดาประเทศอื่นๆ เหล่านั้น “ไร้วัฒนธรรม” “ขาดอารยธรรม” มาถึงตอนนี้ ความหมายของวัฒนธรรมก็หดแคบลงมาเหลือว่า “ทุกอย่างที่เท่ากับยุโรป” (Eurocentricism)
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นอินเดียแดง นิโกร จีน ไทย เผ่าอินคา หากว่าไม่นุ่งกางเกงแบบยุโรป ไม่ใส่เสื้อแบบยุโรป ไม่กินช้อนส้อมแบบยุโรปแล้ว นับเป็นพวกป่าเถื่อนทั้งสิ้นทั้งปวง
แม้ว่าการตีความแบบว่า “วัฒนธรรม” นั้นก็คือ “อะไรที่เป็นของยุโรป” จะเป็นกระแสหลักอยู่ในยุโรปขณะนั้น แต่ในเวลาเดียวกัน ก็มีนักปราชญ์ชาวยุโรปเองหลายท่านที่คัดค้านวิธีตีความดังกล่าว บางท่านก็วิพากษ์วิจารณ์วัฒนธรรมของยุโรปเอง และหันกลับไปชื่นชอบ “พวกป่าเถื่อน” มากกว่า ตัวอย่างเช่น มิคาเอล เดอ มงตาญ (Michael de Montaigne) ที่เสนอแนวคิดว่า “ผู้คนที่เราเรียกเขาว่าพวกป่าเถื่อนนั่นน่ะ เขามีคุณค่าบางอย่างที่บริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก”
ฌอง ญาค รุสโซ ก็เป็นอีกท่านหนึ่งที่เรารู้ๆ กันอยู่ว่า ท่านขยะแขยงความหน้าไหว้หลังหลอกของสังคมชั้นสูงของยุโรปขณะนั้น และยกย่องบรรดาผู้ป่าเถื่อนที่บริสุทธิ์ตามธรรมชาติอยู่เป็นอันมาก

วัฒนธรรม : ในความหมายแห่งเสมอภาค

ในช่วงปี ค.ศ. 1848 ซึ่งนับเป็นยุคสมัยที่บรรยากาศทางสังคมของยุโรปกำลังเข้าสู่หัวเลี้ยวหัวต่อ อิทธิพลของความคิดแบบศักดินาเรื่องความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกำลังค่อยๆ ล่มสลายลง ความคิดเรื่อง “ความเสมอภาค” กำลังเฟื่องฟูขึ้นสู่ความนิยม ในช่วงเวลานั้นเอง กุสตาฟ เคลมม์ (Gustav Klemm) ก็เริ่มเป็นคนใช้คำว่า “วัฒนธรรม” ในความหมายที่ว่า “ทุกอย่างที่คนสร้างขึ้นเพิ่มเติมจากธรรมชาติ ไม่ว่า การเผาศพ การทำพิธี การปั้นหม้อ การทำลูกปัดเครื่องประดับก็ตาม” ตามนัยยะของความหมายใหม่นี้ วัฒนธรรมจึงไม่ส่อคุณค่าไปในทางบวกหรือลบ เหลื่อมล้ำหรือสูงต่ำกว่ากัน ความแตกต่างทางวัฒนธรรมของกลุ่มชนทั้งหลาย ก็เพียงความแตกต่างทางชนิด (difference in kind) เท่านั้น แต่ไม่ใช่ความแตกต่างทางระดับ (difference in degree) ที่จะบอกได้ว่าใครเหนือกว่าใคร ใครดีกว่าใคร

ยุคโลกสมัยใหม่

จากความหมายที่เป็นพื้นฐานของทั้งสองกระแส ต่างฝ่ายต่างก็ได้รับการสืบทอดต่อเนื่องกันมาตลอดเวลา ดังที่ปรากฏออกมาชัดเจนที่สุดในแวดวงวิชาการสาขามานุษยวิทยาและสังคมวิทยาที่ทำการศึกษาเรื่องวัฒนธรรมเป็นหลัก
ความหมายของวัฒนธรรมแบบเบื้องบนนั้น เป็นรากฐานสำคัญของกลุ่มนักมานุษยวิทยาสายทฤษฎีวิวัฒนาการ ไม่ว่าจะเป็น มอร์แกน บาโชเฟน หรือไทเลอร์ ก็ตาม ท่านเหล่านี้ล้วนแล้วแต่จัดลำดับเรียงวัฒนธรรมของชนกลุ่มต่างๆ เอาไว้ตามขั้นบันไดที่มีสูงต่ำ มีลำดับชั้น แต่ก็ได้พัฒนาแนวคิดนั้นๆ จากยุคสมัยของกรีก-โรมัน ด้วยการทำให้ดูเป็นวิชาการมากขึ้น ด้วยการหาเหตุผลและด้วยการนำเอาทฤษฎีวิวัฒนาการมาอ้างอิง บรรดาชนเผ่าดั้งเดิม (primitive) จะถูกจัดวางอันดับเอาไว้ที่บันไดขั้นแรกสุด และแน่นอนว่าบันไดขั้นสุดท้ายนั้น จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากวัฒนธรรมแบบยุโรปที่ได้วิวัฒน์พัฒนามาจนสุดยอดแล้ว เข้าตำราที่ว่า “อันตัวเราก็คือมาตรฐาน” แนวคิดดังกล่าวถูกนำมาประยุกต์อย่างดุเดือดเลือดพล่านที่สุด เมื่อครั้งที่ฮิตเล่อร์อ้างอิงชนชาติเยอรมันเข้ากับวัฒนธรรมเฮเลนิกอันสูงส่ง พร้อมกับหาความชอบธรรมที่จะต้องทำลายชนชาติยิวผู้จะมาทำให้สายเลือดอารยันมีมลทิน
ส่วนความหมายของวัฒนธรรมแบบเสมอภาคนั้นเป็นพื้นฐานร่วมกันของพวกนักวิชาการที่ล้มทฤษฎีวิวัฒนาการ และตั้งทฤษฎีใหม่ๆ ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีหน้าที่นิยม (Functionalism) ทฤษฎีสัมพัทธ์ทางวัฒนธรรม (Cultural Relativity) เป็นต้น ตัวอย่างคำอธิบายของทฤษฎีหน้าที่นิยมจะบอกว่าในชนแต่ละกลุ่ม ต่างก็สร้างสรรค์วัฒนธรรมขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของคนในสังคมนั้น หรือเพื่อความอยู่รอดของสังคมนั้นเอง เราจึงไม่สามารถจะนำวัฒนธรรมในแต่ละที่มาเปรียบเทียบกันได้ เราเพียงแต่ดูได้ว่าวัฒนธรรมในแต่ละแห่งนั้นทำหน้าที่ตอบสนองความต้องการของชุมชนได้ดีมากน้อยเพียงใด
สำหรับบางสำนัก เช่น สำนักเฉพาะเจาะจงทางประวัติศาสตร์ (Historical Particularism) ที่มีลูกศิษย์คนสำคัญๆ ที่เป็นที่รู้จักกันดี เช่น มากาเร็ต มี้ด, รูท เบเนดิก ก็ยืนยันว่าวัฒนธรรมนั้นไม่มีสูงไม่มีต่ำแบบขั้นบันได หากแต่มีการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนกันไปมา ซึ่งก็เป็นต้นกำเนิดของแนวคิดเรื่องการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม โคล้ด เลวี่ สเตราส์ นักมานุษยวิทยาสำนักโครงสร้างนิยมอีกผู้หนึ่งก็ประกาศว่า “ไม่มีสังคมใดเหนือกว่าสังคมอื่น”
เป็นที่น่าสังเกตว่า ท่ามกลางการต่อสู้ทางวิชาการระหว่างความหมายทั้งสองของวัฒนธรรมนั้น กว่าที่ความหมายแบบเสมอภาคซึ่งก่อตั้งขึ้นทีหลังนั้นจะเริ่มมีคะแนนสูสีกับความหมายเบื้องบนนั้น ลัทธิล่าอาณานิคมก็ได้จัดการยัดเยียดครอบว่าวัฒนธรรมแบบยุโรป (ภายใต้ข้ออ้างที่ว่า “ภารกิจของชนผิวขาวก็คือ ต้องทำให้คนป่าเถื่อนเหล่านั้นมีความศิวิไลซ์ มีอารยธรรมมากขึ้น อันหมายความว่า จะต้องนับถือคริสต์ศาสนา ต้องมีลักษณะปัจเจกชนนิยม ต้องพัฒนาลักษณะนิยมความสุขทางวัตถุ) ลงไปบนชนเผ่าดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นอินเดียนแดงหรือนิโกร จนวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้นสูญสิ้นไปแทบจะไม่เหลือหลออยู่แล้ว
ดังนั้น พอเริ่มจะมีความเสมอภาคกันระหว่างวัฒนธรรม ก็ไม่มีวัฒนธรรม (ดั้งเดิม) จะเหลือไว้ให้เสมอภาคเสียแล้ว อย่างไรก็ตาม ความหมายทั้งสองแบบของวัฒนธรรมก็ยังประชันขันแข่งกันอยู่ในโลกแห่งความหมายทั้งในระดับนักวิชาการและในความเข้าใจของคนเดินถนนทั่วๆ ไป

กระแสใหม่มาแรง : วัฒนธรรมคือการต่อต้าน

ในศตวรรษที่ 19 เวลาทำการศึกษา “วัฒนธรรม” นั้น มักจะไปตกอยู่ในแวดวงของพวกวรรณคดี การวิจารณ์ งานวรรณกรรมหรือศิลปะเป็นส่วนใหญ่ แต่พอมาถึงศตวรรษที่ 20 เรากลับจะพบว่า “วัฒนธรรม” กลายมาเป็นเครื่องมือสำหรับการใช้วิเคราะห์ปรากฏการณ์ต่างๆ ทั้งในวงวิชาการ และยังเป็นเครื่องมือสำหรับวิพากษ์วิจารณ์แสดงความไม่พอใจต่อสังคมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ในระดับชาวบ้านทั่วๆ ไป
เรื่องที่กล่าวมานี้จะพอทำความเข้าใจได้หากพิจารณาดูสภาพความเป็นจริงของสังคมในศตวรรษที่ 20 ในศตวรรษนี้เองที่ความคิดเรื่อง “ความก้าวหน้าและความทันสมัย” แผ่ขยายลุกลามไปทั่ว ในเบื้องแรก ทุกประเทศ ทุกสังคม และคนทุกคนก็มักจะกลัวว่า “ประเทศของตนจะไม่ทันสมัย กลัวตัวเองจะเชย เร่อร่า ตามคนอื่นเค้าไม่ทัน” ถึงขนาดมีเพลงลูกทุ่งไทยเพลงหนึ่งบอกว่าเธอเสียรักเพราะ “หน้าน้องไม่ทันสมัย”
แต่ในเบื้องต่อมา ผู้คนก็ชักเริ่มจะเกิดสำนึกขึ้นมาว่าในประแสอันท่วมท้นของความทันสมัยนั้น วัฒนธรรมประจำชาติ เอกลักษณ์ประจำตน ของชุมชน และของชาติก็กำลังถูกทำลายไป ทั้งนี้และทั้งนั้น เพราะความทันสมัยทำให้เกิดลักษณะที่เป็นสากล และขจัดลักษณะท้องถิ่นให้หมดไป ฉะนั้นไม่ว่าจะไปที่ไหนๆ ในโลกนี้ ก็จะพบรูปแบบชีวิตที่คล้ายๆ กัน อย่างเช่นที่มีคนล้อเล่นว่า อีก 5,000 ปีข้างหน้า เวลานักโบราณคดีในอนาคตมาขุดซากกระดูกโบราณหรือมาค้นคว้าหลักฐานจากภาพถ่ายภาพเขียนอะไร ก็คงจะหาหลักฐานอ้างอิงได้ยากหน่อยว่าชนเผ่าที่พบนั้นเป็นชนชาติอะไร เพราะในขณะนี้นั้นคนทั่วโลกต่างก็สวมกางเกงยีนส์และใส่เสื้อยืดกันหมดแล้วเกือบจะทั่วโลก
และโดยเฉพาะเมื่อ “ความทันสมัย” มีค่าเท่ากับ “อะไรก็ได้ที่เป็นของตะวันตก" เพราะฉะนั้น ประเทศที่ทันสมัยก็คือประเทศที่มีแมคโดนัลด์กิน (น้ำพริกปลาทูก็จะหายไป) มี Coke ดื่ม (โอเลี้ยงก็จะหายไป) มีองุ่นมีแอปเปิลกิน (มะม่วง ลำไย มังคุด ก็จะหายไป) ฉะนั้น ไม่ว่าจะมาเที่ยวพัทยาในไทย ริเวียร่าในฝรั่งเศส หรือชายหาดฮาไวอิก็จะมีดิสโกเธค มีอะไรทุกๆ อย่างเหมือนกันหมด เราลองมองดูเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลก เดี๋ยวนี้ก็จะพบว่ามีลักษณะเหมือนกันไปเกือบจะหมดทุกอย่างแล้ว
เพราะฉะนั้น วัฒนธรรมในความหมายใหม่ล่าสุด ก็จะหมายถึง รูปแบบการดำรงชีวิตที่เป็นของแต่ละชุมชน ของแต่ละท้องถิ่น ของแต่ละชาติ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนใคร และไม่จำเป็นต้องไปจัดอันดับเข้าแถวตามขั้นบันไดเพื่อไต่เต้าไปสู่มาตรฐาน โดยนัยยะนี้ คำว่า “วัฒนธรรม” จึงมีความหมายในเชิงปฏิเสธและต่อต้านความพยายามที่จะทำให้ทุกชาติ ทุกสังคม และทุกคน ที่มีลักษณะเป็นสากลแบบเดียวกันหมด

วิวาทะทางวัฒนธรรม

นอกจากการถกเถียงเรื่องความหมายของวัฒนธรรมที่กล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีประเด็นใหญ่ๆ ที่ยังไม่ลงตัวเวลาที่ทำการศึกษาเรื่องวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น
วัฒนธรรม หรือ วัฒนธรรม พวกนักมานุษยวิทยาส่วนใหญ่จะมองดูวัฒนธรรมในลักษณะรวมๆ กันเป็นแบบแผน เป็นบรรทัดฐาน ตัวอย่างเช่น งานของรูธ เบเนดิก ที่เข้ามาศึกษาพฤติกรรมของคนไทย แล้วบอกว่าคนไทยเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ โดยถือว่าคนไทยก็คือคนไทยทั้งหมดนี่แหละ ไม่มีการจำแนกว่าเป็นคนไทยภาคไหน คนไทยชั้นไหน อย่างนี้เราถือว่าวัฒนธรรมนั้นเขียนด้วย ตัวใหญ่ และมีอยู่เพียงวัฒนธรรมเดียวในสังคมหนึ่งๆ
แต่นักวิชาการบางพวกกลับมองว่าในสังคมหนึ่งๆ นั้นมีอยู่หลายวัฒนธรรม เช่น มีวัฒนธรรมใหญ่-วัฒนธรรมย่อย มีวัฒนธรรมหลวง-วัฒนธรรมราษฎร์ มีวัฒนธรรมแบบทางการ-วัฒนธรรมพื้นบ้าน ในกลุ่มพวกนี้ยังแตกแยกย่อยออกไปอีกเป็น 2 กลุ่ม เช่น กลุ่มแรกจะถือว่าวัฒนธรรมใหญ่-ย่อย นั้น จะมีการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนกันไปมา เช่น ชาวชนบทเขาทอผ้าปั่นด้าย ร้องเพลงดาวดวงเดือน เจ้านายในวังไปได้รับฟังเข้าก็เอามาแต่งเป็นเพลงโสมส่องแสง บางครั้งเจ้านายเล่นละครนอกละครใน ชาวบ้านก็เอาไปดัดแปลงเล่นบ้าง
แต่บางพวกกลับเห็นว่าวัฒนธรรมใหญ่-ย่อย นั้นไม่ได้ถ้อยทีถ้อยอาศัยแลกเปลี่ยนกันเท่าไหร่นัก หากแต่มีลักษณะขัดแย้งและช่วงชิงครอบครองพื้นที่ทางวัฒนธรรมในสังคมมากกว่า ตัวอย่างเช่น สังคมเจ้านายภาคเหนือมีนิทานเชิดชูยกย่องพวกเจ้าพวกนาย ในระดับชาวบ้านก็มีนิทานพื้นบ้านประเภทเซียงเมี่ยงหรือตุ๊กกะตะที่ผูกเรื่องให้ชาวบ้านหัวเราะเยาะความโง่เขลาเบาปัญญาของเจ้านายมาเล่าสู่กันฟัง
อีกปมปัญหาหนึ่งเป็นปมที่แก้ได้ยาก ทั้งงานด้านวิชาการและด้านภาคปฏิบัติการ นั่นก็คือเราจะเน้นด้านเสถียรภาพ ความมั่นคง ความเป็นปึกแผ่นอันหนึ่งอันเดียวของวัฒนธรรมหรือเราจะเน้นด้านที่มีความขัดแย้งต้องพัฒนา ต้องคลี่คลายเปลี่ยนแปลงไปของวัฒนธรรม ถ้าเน้นหนักจุดแรกมากเกินไป เราก็จะตอบคำถามไม่ได้ว่า “แล้ววัฒนธรรมต่างๆมันเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร เช่น ความเชื่อเรื่องผิดผีของสาวเหนือหายไปไหนหมด” ในทางตรงกันข้าม ถ้าเน้นหนักจุดหลังมากเกินไป ก็จะตอบอีกคำถามหนึ่งไม่ได้เหมือนกันว่า “แล้ววัฒนธรรมบางอย่าง เช่น ความคิดความเชื่อเรื่อเวรกรรมที่มีมาตั้งแต่ไตรภูมิพระร่วงนั้น มันยังปรากฏอยู่ในเนื้อเพลงท่อนสุดท้ายของเพลง ‘รู้ว่าเขาหลอก’ ได้อย่างไร”……….

ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม, ปีที่ 8 ฉบับที่ 3 (มกราคม 2530), หน้า 16-19.



วัฒนธรรมไทย : มองจากอีกมุม
โดย ไมเคิล ไรท์


ในบทความก่อนๆ หลายบท ผมเขียนถึงวัฒนธรรม (ทั้งไทย ฯลฯ) ด้วยหลักการใหญ่ๆ เช่น
  • วัฒนธรรมมิได้เป็นสมบัติผู้ดี แต่เป็นของทุกคน
  • ข้าราชการไม่อาจจะสอนวัฒนธรรมให้ราษฎรได้ เพราะราษฎรเป็นเจ้าของที่แท้จริงของวัฒนธรรมที่แท้จริง
  • วัฒนธรรมที่แท้จริงนั้น ไม่ว่าของชาวบ้านหรือชนชั้นสูง ย่อมเกิดจากวิญญาณมนุษย์ (Human Spirit) คือเกิดจากความรัก ความนิยมของคน จึงไม่อาจจะเป็นสิ่งที่บังคับกันได้
  • “ชาติ” (Nation, Race) เป็นสิ่งที่มนุษย์ปรุงแต่งหรือสมมติขึ้นมา ดังนั้น “วัฒนธรรมแห่งชาติ” (National Culture, Racial Culture) ย่อมเป็นของปลอมที่ไม่มีชีวิตของตนเอง
  • คนไทยเป็นมนุษย์เหมือนชาติอื่นเขา ไม่ใช่สัตว์จากดาวพระอังคาร ดังนั้นคนไทยไม่ควรแสวงหา “เอกลักษณ์แห่งชาติ” แต่ควรศึกษาวัฒนธรรมของตนในแง่วัฒนธรรมมนุษย์ (Human Culture)
  • วัฒนธรรมที่มีสุขภาพย่อมไม่มีความหวาดกลัว ไม่ต้องอวดตัว ดูถูกเขา ตรงกันข้าม ชาติใดที่มีสุขภาพทางวัฒนธรรมย่อมมีความสบายใจกับอดีต (ไม่ต้องปลอมอดีตขึ้นมาหรือสร้างประวัติศาสตร์ของชาติให้ดีเด่นกว่าใคร) มีความเคารพต่อชนทุกชั้น รวมทั้งชนกลุ่มน้อยและประเทศเพื่อนบ้าน
  • ที่สำคัญที่สุดคือ คำ “วัฒนธรรม” โดดๆ หมายถึง พฤติกรรมมนุษย์ทั้งหมด จึงไม่มีความหมายที่นิยามได้ หาก “วัฒนธรรม” จะมีความหมายที่ใช้งานได้ ก็ต้องเติมคำขยายความ เช่น “ดี” “ชั่ว” “อดีต” “ปัจจุบัน” “เมือง” “ชนบท” ฯลฯ เป็นต้น
ในบทความนี้ ผมอยากจะเสนอคำขยายความอีกสองคำที่อาจจะช่วยให้เราคุยเรื่องวัฒนธรรมให้รู้เรื่องกัน สองคำนี้คือ “ชุมชน” (Communal) กับ “ปัจเจกบุคคล” (Individual)
วัฒนธรรมชุมชน (Communal Culture) เป็นคนละเรื่องกับวัฒนธรรมปัจเจกบุคคล (Individual Culture) หากแยกออกจากกันได้จะเห็นภาพวัฒนธรรมชัดๆ หากไม่แยกออกจากกันจะเห็นแต่ภาพมัวๆ เบลอๆ

วัฒนธรรมชุมชน (Communal Culture)

เป็นวัฒนธรรมที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในอดีต ในสมัยโบราณคนทุกคนในสังคมจำเป็นต้องอาศัยซึ่งกันและกันถึงจะเอาตัวรอดได้ ไม่ว่าเป็นชาวเผ่าล่าสัตว์ ชาวพเนจรต้อนฝูงสัตว์ หรือกสิกรชาวไร่ชาวสวน แต่ละชุมชนต้องแต่งตัวคล้ายกัน (แสดงว่าเป็นพวกเดียวกัน) ร่ายรำทำเพลงด้วยกัน มีความเชื่อนับถือและพิธีกรรมบูชาเทพยดาและปู่ย่าพร้อมเพรียงไม่ต่างกัน
วัฒนธรรมชุมชนดังว่านี้เคยมีในยุโรปสมัยกลางที่ทุกคนนับถือศาสนาคริสต์และอยู่ในระบอบศักดินา (Feudal) จีนโบราณก็เช่นกัน ใครๆ รู้ตำแหน่งและหน้าที่ของตนตั้งแต่เกิดจนตาย ชนทุกชั้นตั้งแต่จักรพรรดิลงไปต่างรู้ว่าควรแต่งตัวอย่างไร เคารพบูชาเทพและบรรพบุรุษด้วยพิธีใด แต่เดิมชาวสยามอยู่ในวัฒนธรรมชุมชนที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ เพิ่งเกิดสงสัยขึ้นมาในสมัย ร.๔ และถูกกระทืบแตกสลายในสมัยจอมพล ป.
จนทุกวันนี้ยังมีตัวอย่างวัฒนธรรมชุมชนรอดอยู่ได้ อย่างเช่นที่เกาะบาหลีที่ทุกคนในสังคมต่างช่วยกันรักษาระบบชลประทาน ทุกคนต่างบูชาเทพเจ้าพร้อมกัน และชาวบ้านทุกคนมีส่วนร่วมในการร่ายรำทำเพลงของหมู่บ้าน (แม้เพียงแบกรางระนาดก็นับถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูง)
วัฒนธรรมชุมชนในอดีตมีประโยชน์แน่นอน เพราะเป็น “กาว” ของสังคม ทำให้ต่างคนต่างอยู่กันได้เป็นปึกเป็นแผ่น อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมชุมชนยังมีแง่ลบ
วัฒนธรรมชุมชนไม่มีที่สำหรับปัจเจกบุคคลจะอยู่ ชาวบาหลีผู้ใดที่ไม่ทำตัวตามประเพณีทุกอย่าง นับว่า “ตาย” จากสังคมบาหลี หากไม่ตรอมใจตายจริง ชาวบาหลีที่ไม่ยอมอยู่ในประเพณีจะต้องหนีไปหาชีวิตใหม่ที่อื่น เช่นหนีไปอยู่เกาะชวาแล้วเข้ารีตศาสนาอิสลาม
สังคมไทยที่เคยเป็นสังคมกสิกรรมในชนบทมีวัฒนธรรมชุมชนสมบูรณ์แบบ ได้รีบเร่งเปลี่ยนเป็นสังคมอุตสาหกรรมในเมืองในไม่กี่ชั่วคน โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ น่าเสียดายแต่ไม่น่าแปลกใจที่วัฒนธรรมชุมชนของไทยกำลังหมดความหมายสำหรับชนชั้นกลางในเมือง วัฒนธรรมไทยแท้ที่เหลืออยู่มิได้อยู่ในมือผู้ดีหรือข้าราชการ แต่อยู่ในมือชุมชนตามภูมิภาคห่างไกล และชุมชนยากจนในเมือง ซึ่งยังตกนอกคอกเศรษฐกิจ-สังคมใหม่ จึงจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเพื่อเอาตัวรอด พวกนี้เท่านั้นยังสามารถทำบุญทำทานเป็นหมู่คณะโดยไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวแอบแฝง และสามารถจัดตั้งเป็นวงปี่พาทย์ (ทั้งไทยและมอญ) ไม่แพ้ชาวบาหลี
ประเด็นที่สำคัญคือ วัฒนธรรมเก่าที่ทุกคนเคารพรักมิได้ “ตาย” แต่ว่ากำลัง “กลาย” เหมือนบุ้งจำศีลกลายเป็นผีเสื้อ นั่นคือวัฒนธรรมชุมชนกำลังกลายเป็นวัฒนธรรมปัจเจกบุคคล ซึ่งดูเป็นวัฒนธรรมของปัจจุบันและอนาคต ตราบเท่าที่สังคมโลกอยู่ในระบบนายทุนและอุตสาหกรรม

วัฒนธรรมปัจเจกบุคคล (Individual Culture)

เพิ่งแพร่หลายในสมัยปัจจุบัน ในโบราณกาลมีน้อยมาก เพราะสังคมโบราณล้วนแต่มีวัฒนธรรมชุมชน มีแต่วีรบุรุษไม่กี่คนที่กล้าฝืนชนมติ พระสมณโคดมเป็นตัวอย่างที่ดีที่กล้าฝืนวัฒนธรรมชุมชนสมัยพระเวทของพราหมณ์ แต่ท่านเป็นกษัตริย์จึงอยู่ในฐานะที่จะท้าทายพราหมณ์ได้ อย่างไรก็ตาม ต้องนับว่าท่านเป็นผู้บุกเบิกวัฒนธรรมปัจเจกบุคคลท่านหนึ่ง
นักปราชญ์จีนโบราณเป็นปริศนา เหลาจื๊อเป็นปัจเจกบุคคลแหวกแนวชุมชน? หรือเป็นนักเผด็จการ? ขงจื๊อดูเป็นนักปราชญ์สมัยเหล็กที่หมายจะชวนชาวจีนหวนกลับไปถือคุณธรรมสมัยสำริด (วัฒนธรรมชุมชน) จนทุกวันนี้ชาวจีนตัดสินใจไม่ได้ว่า ขงจื๊อเป็นบรมศาสดา หรือเป็นผู้ทำให้สังคมจีนพิการ
ที่ยุโรปโบราณ ชาวกรีกมีวัฒนธรรมชุมชนหนาแน่น (รำด้วยกัน บูชาด้วยกัน รบด้วยกัน) Socratese สอนความเป็นปัจเจกบุคคล จึงถูกประหาร
ในตะวันออกลาง ชาวยิวมีวัฒนธรรมชุมชนหนาแน่น พระเยซูสอนความเป็นปัจเจกบุคคลแล้วถูกประหาร อีกห้าร้อยปีข้างหน้าพระนบีมูฮัมหมัดสอนวัฒนธรรมชุมชน แม้ถูกรังแกก็รอดตาย
ในสมัยโบราณ วัฒนธรรมปัจเจกบุคคลนอกจากจะเป็นของวีรบุรุษผู้กล้าฝ่าฝืนสังคม ยังเป็นของผู้มีฐานะดี เจ้าของที่ดิน เจ้าของทาส “ผู้ดี” ดังกล่าวไม่จำเป็นต้องไปร่วมกับชุมชนในการดำข้าวหรือเกี่ยวข้าว ไม่จำเป็นต้องไปร่ายรำทำเพลงกับชาวบ้าน แต่สามารถรวบรวมหนังสือดีๆ เป็นห้องสมุดส่วนตัว สามารถหัดเป่าขลุ่ยหรือดีดขิมมาเล่นโดดเดี่ยวหรือในหมู่เพื่อนชนชั้นสูงด้วยกัน สามารถจ้างประติมากรและจิตรกรมาประดับบ้านให้งาม
นี่แหละคือที่มาและความหมายของ “วัฒนธรรมปัจเจกบุคคล” (Individual Culture) ที่มีมาในอดีต (และที่คอมมิวนิสต์เกลียดชังเป็นที่หนึ่ง)
ในเมื่อสังคมเปลี่ยนจากกสิกรรมมาเป็นทุนนิยมและอุตสาหกรรม วัฒนธรรมก็ควรจะเปลี่ยนเช่นกัน จากวัฒนธรรมชุมชนมาสู่วัฒนธรรมปัจเจกบุคคล แต่ก็ย่อมมีความขรุขระในทุกสังคม
ในโลกตะวันตก ความเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นเมื่อประมาณ ๓๐๐ ปีที่แล้ว และยังไม่จบ ในการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) ที่อังกฤษ ชาวนาที่ถูกไล่ที่ต้องเข้ามาหากินในโรงงานอุตสาหกรรม ก็ถูกปล้นวัฒนธรรมชุมชนเดิมของตน
ต่อมาอีกร้อยปีข้างหน้า นายทุนเจ้าของโรงงานค่อยพัฒนาวัฒนธรรมปัจเจกบุคคลของตน ก็มีแก่ใจที่จะสร้างโรงพยาบาล หอสมุดสาธารณะ วงดนตรี Symphony ฯลฯ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ที่ถูกปล้นสะดมทางเศรษฐกิจและทางวัฒนธรรม ย่อมเข้าถึงวัฒนธรรมปัจเจกบุคคลนี้ไม่ได้ เพราะรู้สึกว่า “เป็นของเขา ไม่ใช่ของเรา”
ผลก็คือ Anti-culture ประกอบด้วยยีนหัวเข่าขาดและเพลงร็อกที่ถุยน้ำลายใส่สังคมบัดซบ
ตามอุดมคติแล้ว วัฒนธรรมปัจเจกบุคคลไม่น่าเป็นสิ่งที่น่าเกลียดที่แบ่งแยกชนชั้น ในทางตรงกันข้าม ทุกคนในสังคมสมัยใหม่ควรมีโอกาสมีวัฒนธรรมส่วนตัว โดยเลือกสิ่งดีงามประดับชีวิตตามตนนิยม ว่าง่ายๆ ทุกคนทุกชนชั้นในสังคมอุตสาหกรรมควรมีสิทธิ์เป็นปัจเจกบุคคลที่มีเกียรติส่วนตัว ไม่ใช่มีเกียรติเฉพาะเพราะอยู่ในสังกัดเจ้านายหรือมีวงศ์สกุลสูง ดังในสังคมชุมชนสมัยโบราณ

ปัญหาวัฒนธรรมในเมืองไทย

มีอยู่ ๒ ชั้น คือ
๑. แต่ก่อน ชนชั้นปกครองได้ทำตัวเป็นเจ้าของวัฒนธรรม โดยสมมติว่าชนชั้นที่ถูกปกครองไม่มีวัฒนธรรม จึงมีการห้ามปรามการนุ่งผ้า การเคี้ยวหมาก การอาบน้ำในแม่น้ำลำคลอง
๒. ปัจจุบันชนชั้นปกครองอยากให้ราษฎรอยู่ในวัฒนธรรมชุมชน เพื่อให้ราษฎรสยบดังที่เคยสยบมาในอดีต ไม่อยากให้เกิดวัฒนธรรมปัจเจกบุคคลที่จะทำให้ประชาชนสามารถคิดด้วยตนเองและท้าทายชนชั้นปกครอง

วิธีกระทำมีแยบยลหลายประการ เช่น

๑. ส่งเสริม “วัฒนธรรมไทย” ที่ฟาสซิสต์ปลอมขึ้นมา เช่นมีภาพ “เรารักวัฒนธรรมไทย” แสดงว่า คนไทยที่มีวัฒนธรรมควรทำตนเยี่ยงทารกป้อแป้
๒. การทำลายศิลปะการแสดงพื้นบ้านท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์ ให้เข้ามาตรฐานป้อแป้ตามรสนิยมป้อแป้ของเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง (เช่นการทำลายเอกลักษณ์ของดนตรีและการร่ายรำ “กลองมังคละ” จังหวัดสุโขทัย)
๓. การดูถูกเด็กไทยที่เกิดและเติบโตในต่างประเทศ ต้องจับมาสอนให้พูด “คะขา” นั่งพับเพียบ กราบพระ รำไทย ฯลฯ โดยไม่ถือว่าเขาเป็นปัจเจกบุคคล
๔. การจัดระบบการศึกษาให้พิการ ให้เรียนเฉพาะวิชาการจากเมืองนอกกับหนังสือเก่าๆ ของไทย ไม่ให้รู้ถึงปัญหาหรือความขัดแย้งในสังคมไทย ว่าง่ายๆ คือสอนให้รู้ว่า ไม่สอนให้คิดหรือสงสัยอย่างปัจเจกบุคคล
๕. ต้านทานกระบวนการ “โลกาภิวัตน์” (Globalization) ด้วยเห็นว่าราษฎรไทยเป็นเด็กทารกป้อแป้ ไม่สามารถรองรับวัฒนธรรมระดับโลก หารู้ไม่ว่าคนไทยเป็นมนุษย์เหมือนชาติอื่นเขา และพร้อมที่จะมีวัฒนธรรมปัจเจกบุคคลเหมือนชาติอื่นเขา

วัฒนธรรมเก่า/ใหม่ เราควรทำอย่างไร?

วัฒนธรรมเก่า (ชุมชน) ทั่วโลก มีข้อเสียไม่น้อย เช่นแบ่งชนชั้น บังคับชนทุกชั้นให้อยู่ในกรอบประเพณี ไม่ส่งเสริมให้ใครพัฒนาตนเป็นตัวของตัวเอง ไม่ให้เกียรติแก่คนทุกคนในฐานะมนุษย์ด้วยกัน แต่ให้เกียรติเฉพาะตามฐานันดร ตระกูล วาสนาและสังกัด อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมชุมชนได้ช่วยมนุษย์ให้อยู่กันได้ เป็นชุมเป็นชนหรือสังคมที่ค่อยๆ เจริญ และผลิตศิลปะ (Art) และวิทยา (Science) ทำให้มนุษย์ต่างกับสัตว์เดรัจฉาน
ดังนี้ เราไม่ควรรื้อฟื้นหรือบังคับวัฒนธรรมชุมชนเก่าให้มาใช้งานในสังคมปัจจุบัน เพราะมันหมดสมัยไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เราควรมองอดีตด้วยความเคารพรัก ควรศึกษาอย่างประณีต และควรบันทึก ถนอมและส่งเสริมศิลปวิทยาและโบราณวัตถุ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มีอยู่ ใครที่ไหนจะมีความหวังในอนาคต หากไม่มีความเคารพรักต่ออดีต?
วัฒนธรรมใหม่ (ปัจเจกบุคคล) มีข้อเสียเช่นเดียวกัน เช่นไม่ให้ความอบอุ่น ไม่จัดตำแหน่งว่าใครเป็นใคร อยู่ที่ไหนในสังคม ปัจเจกบุคคลจำเป็นต้องกำหนดเองว่าตนเป็นใคร มีบทบาทอย่างไร มีเกียรติเพียงใด อย่าหวังว่าวัฒนธรรมสมัยใหม่จะอุ้มชูตามฐานันดร วงศ์ตระกูลหรือวาสนา
วัฒนธรรมปัจเจกบุคคลเป็นวัฒนธรรมแห่งความว้าเหว่ ความโดดเดี่ยวและการแข่งขัน ดังที่นักปราชญ์ฝรั่งบ่นกันลั่น อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมปัจเจกบุคคลเป็นวัฒนธรรมของสังคมทุนนิยม/อุตสาหกรรม ซึ่งสังคมทั่วโลกจำเป็นต้องผจญ หนีไม่พ้น นอกจากจะกลับนาฬิกาไปสู่อดีตดังที่เขมรแดงเคยพยายามจะทำ
ในที่สุด วัฒนธรรมปัจเจกบุคคลเป็นวัฒนธรรมที่ปล่อยให้คนในสังคมเลือกว่า “กูอยากเป็นใคร อยู่อย่างไร ทำอะไร นิยมอะไร ฯลฯ” ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ดี น่านิยมเพราะใครๆ ชอบมีทางเลือก ไม่ชอบถูกบังคับ
อย่างไรก็ตาม หากวัฒนธรรมปัจเจกบุคคลจะใช้งานได้สำเร็จ ก็ต้องมีปัจจัยอย่างน้อย ๓ อย่าง คือ ๑. ระบบสังคมและการเมืองที่เคารพบุคคลธรรมดา ๒. ความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ โดยคนส่วนใหญ่ในสังคมพอเลี้ยงชีพไม่ขัดสน ๓. ระบบการศึกษาที่ทันสมัย สามารถผลิตคนที่รู้จักเลือกด้วยตนเอง
เคล็ดลับแห่งสุขภาพทางวัฒนธรรม (Healthy Culture) อยู่ที่ความไม่กลัว คือไม่กลัวอดีต ไม่กลัวของใหม่ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมควรส่งเสริมการศึกษาอดีต พร้อมทั้งเปิดอ้อมกอดต้อนรับอนาคตด้วยความไว้วางใจในตัวเองสูง

ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม, ปีที่ 17 ฉบับที่ 3 (มกราคม 2539), หน้า 64-66.



ความเป็นนานาชาติของคนไทย
โดย ลิขิต ธีรเวคิน


คนไทย คือ บุคคลที่มีลักษณะน่าสนใจ อาจารย์ทางประวัติศาสตร์ท่านหนึ่งกล่าวว่า คนไทยคือคนที่มีวัฒนธรรมไทย ไม่ว่าจะมาจากเผ่าพันธุ์ใด
แต่คำถามคือ อะไรคือวัฒนธรรมไทย คำตอบคือ วัฒนธรรมไทย คือวัฒนธรรมผสมผสานจากวัฒนธรรมนานาชาติ แต่ยังมีลักษณะความเป็นไทยอยู่
ว่าไปแล้ว คนไทยคือชาติซึ่งมีวัฒนธรรมผสมจากสี่วัฒนธรรม วัฒนธรรมแรก คือ วัฒนธรรมพื้นบ้านของหมู่บ้านในสังคมเกษตร มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย รักสันโดษ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจ ไม่รังเกียจเผ่าพันธุ์หรือศาสนาอื่น รักสนุก แต่ค่อนข้างอิสระ มีปัจเจกภาพแบบขาดความรับผิดชอบ ขาดวินัย
วัฒนธรรมที่สอง คือ วัฒนธรรมอินเดีย ซึ่งมาจากศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ วรรณคดี ความคิดในเรื่องการปกครองบริหาร ภาษาบาลีและสันสกฤต วัฒนธรรมและอารยธรรมอินเดียได้ถูกกลมกลืนและเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมไทย
วัฒนธรรมที่สาม วัฒนธรรมจีน ผ่านทางความสัมพันธ์ในการแต่งงาน อาหารการกิน ขนบธรรมเนียมประเพณี วรรณคดี ลัทธิขงจื้อ ฯลฯ
วัฒนธรรมที่สี่คือ วัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งมาจากการพยายามพัฒนาประเทศให้เจริญเทียมทันประเทศตะวันตก การปกครองบริหารความคิดในด้านการพัฒนา ศัพท์แสงทางวิชาการ วิทยาการที่มาจากตะวันตก เช่น วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม แพทยศาสตร์ นิติศาสตร์ ฯลฯ ล้านแล้วแต่เป็นสิ่งที่รับมาจากตะวันตกทั้งสิ้น
ดังนั้น เมื่อคนไทพูดภาษาไทยอาจมีสี่ภาษาปนเปอยู่ในประโยค เช่น “นายสมศักดิ์เป็นเอ็กเปิร์ตทางการเมือง ตอนนี้ทำหน้าที่เป็นกุนซือของนายกรัฐมนตรี” ซึ่งปนระหว่างภาษาไทย บาลี สันสกฤต ภาษาอังกฤษ และจีน
ข้อดีก็คือ คนไทยเป็นชาติที่ผสมผสานส่วนดีของวัฒนธรรมต่างๆ และปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาพสังคมไทย ที่สำคัญกว่านั้นคือ คนไทยไม่ปิดกั้นการรับความผิดจากชาติอื่น ไม่มีความรู้สึกเรื่องชาตินิยมอย่างสุดโต่ง ไม่รังเกียจเผ่าพันธุ์หรือศาสนา เราจึงเข้ากับชาติต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่มีปมด้อย จึงน่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับชาติอื่นได้ เพราะมีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ดี
จึงปรากฏว่า ความสามารถของคนไทยในแง่การทูตเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป จนเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เรารอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ
สิ่งซึ่งปรากฏได้ชัดคือ คนไทยจะไม่แตกตื่นเมื่อเห็นคนต่างชาติ เพราะคนไทยรู้จักคนต่างชาติมานาน และพอจะเข้าใจวัฒนธรรมของคนต่างเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ต่างภาษาและต่างศาสนา คนไทยจึงมีความเป็นนานาชาติสูง
คนไทยจึงเป็นชาติที่มีต้นทุนทางความเป็นนานาชาติ และมีประสบการณ์ในการคบค้าสมาคมกับชาติต่างๆ

ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด, 30 มี.ค. 2539, หน้า 8.



ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40002 โทร. 043-348500 โทรสาร 043-348500 ต่อ 15
http://www.oocities.org/socio_anthro/firstpage.html
นักศึกษาสามารถฝากข้อความหรือคำถามไว้ที่ Webboard ครับ