หลวงพ่อบุญส่งมาโปรด
            ก่อนที่อาตมาจะมาอยู่ที่นี่ ได้จำพรรษาที่วัดป่าเทพนิมิตร อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น มาแล้วเป็นเวลา ๒ ปี วัดนี้เดิมทีมีสภาพเป็นวัดร้าง เหลือแต่ซากวัด มีแต่ป่าช้า กระดูกคนและสัตว์ มีโบสถ์และเสมาปรักหักพัง ไม่มีภิกษุ สามเณร คงมีแต่วิญญาณดุร้าย เจ้าเมืองได้อาราธนาอาตมาให้ไปช่วยสงเคราะห์วิญญาณที่ยังมีความอาฆาตแค้นจองเวร ไม่ไปผุดไปเกิด ให้พ้นจากกองทุกข์ พ้นจากนรก ในเวลา ๒ ปีที่อาตมาได้อยู่ที่นั่น ก็ได้อนุเคราะห์ฉุดช่วย ดวงวิญญาณ ด้วยการแผ่เมตตา ด้วยการแสดงธรรมให้คลายโกรธ เลิกแค้นอาฆาตพยาบาท เมื่อวิญญาณเหล่านั้น ไปผุดไปเกิดในภพที่ดี ก็กลับมาส่งเสริมและดลใจให้ผู้มีจิตศรัทธา ช่วยพัฒนาวัด เช่น การสร้างโบสถ์ด้วยเงิน ๔ ล้านบาท สามารถทำได้เสร็จรวดเร็วภายใน ๗ เดือน

เมื่ออยู่ต่อไปลาภสักการะก็เกิดมากขึ้นทุกขณะ ความยกย่องสรรเสริญก็เกิด ตำแหน่งสมณศักดิ์ก็กำลังจะมีผู้มามอบให้ อาตมาจึงได้รำพึงกับตัวเองว่า อุปสโมเอ๋ย เราบวชมาเพื่ออะไร ได้รับคำตอบว่า เราบวชมามิใช่เพื่อแสวงหาลาภสักการะ มิใช่เพื่อแสวงหาฐานันดรศักดิ์ มิใช่เพื่อแสวงหาความร่ำรวย มิใช่เพื่อความอยากเด่นอยากดังเป็นเกจิอาจารย์ แต่เราบวชมานั้นเพื่อความสันโดษ เพื่อความมักน้อย เพื่อความไม่คลุกคลีกับหมู่ชน เพื่อความไม่สะสมกองกิเสส เพื่อความเบาและพ้นทุกข์ เพื่อความหลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร จึงคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องลาจากวัดป่าเทพนิมิตร ไปหาที่สันโดษ มักน้อย ไม่คลุกคลีด้วยโลกธรรมดังกล่าว

หลังจากนั้น จึงได้มุ่งตรงไปยังถ้ำๆ หนึ่งที่อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี แต่ก็ไม่ทันพระภิกษุธุดงค์กลุ่มหนึ่งซึ่งได้ไปจองที่จำพรรษาอยู่ก่อนแล้วเพียง ๑ วัน จึงได้ร่นมาสืบถามหาถ้ำบริเวณจังหวัดระยองอีกหลายแห่ง ปรากฏว่า ทุกแห่งมีพระธุดงค์อยู่จำพรรษาแล้วทุกๆ ถ้ำไป จากนั้นจึงได้ร่นต่อมาถึงสี่แยกเจ สัตหีบ จังหวัดชลบุรี ได้พบกับลูกศิษย์เก่าที่ปั้มน้ำมันคาลเทกซ์ จึงได้ถามว่า ภูเขาแถวนี้มีถ้ำบ้างไหม ? ลูกศิษย์จึงได้ตอบว่า ถ้ำที่มีไม่สามารถไปอยู่ได้ อาตมาจึงได้ถามต่อไปว่า แล้วที่ว่างๆ หรือที่ร้างๆ มีบ้างไหม ได้รับทราบจากลูกสาวเจ้าของปั้มน้ำมันที่ชื่อ "เจี๊ยบ" ว่า ที่ใกล้ ๆ นี้มีธุดงคสถานอยู่แห่งหนึ่งชื่อ "ธุดงคสถานเขาพระครูหลวงพ่อขันธ์" ยังว่างอยู่ กำลังหาพระที่จะมาอยู่จำพรรษานี้ เมื่อได้ทราบดังนั้น อาตมาจึงสนใจและได้มาดูสถานที่ ซึ่งเป็นที่ถูกใจอาตมาพอสมควร อาตมาได้เริ่มมาอยู่เมื่อ ๘ ก.ค.๓๘ ได้มีโอกาสไปคารวะหลวงพ่อขันธ์ครั้งแรกเมื่อ ๒๐ ก.ค.๓๘ และจำพรรษาจนถึงบัดนี้รวม ๑๕ เดือน ในปีแรกนั้นอาตมาได้จำพรรษาอยู่ข้างล่าง ซึ่งมีศาลาที่โยมวันดีสร้างถวาย และกุฏิอีกประมาณ ๔-๕ หลัง ที่ได้สร้างไว้อยู่ก่อนแล้ว ในพรรษาแรกใช้ศาลาล่างเป็นที่ปฏิบัติธรรม เมื่อมีฝนตกแรง ก็จะมีน้ำไหลจากภูเขา ทะลักเข้ามาในศาลา ตลอดจนซึมเข้าใต้ศาลา ทำให้โยมที่มาจำศีลภาวนา ระแวงว่า คืนนี้จะมีน้ำท่วมอีกหรือไม่ ทำให้นอนไม่เป็นสุข ในเรื่องนี้อาตมาก็ได้ช่วยกันแก้ไขแล้วพอสมควร แต่ก็ยังไม่น่าจะพอใจ

ต่อมาจึงได้คิดว่า บนเขานี้น่าอยู่มากกว่า จึงได้ทำโครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติใน ๑๒ ส.ค.๓๘ ขึ้นมา พร้อมกับทำหนังสือขออนุญาตฐานทัพเรือขึ้นมาปลูกป่าบนเขานี้ ต้นไม้ที่ได้ปลูกในวันนั้น ซึ่งมีญาติโยมทั้งหลายช่วยกัน ได้แก่ ไม้สัก ต้นตะขบ ต้นโพธิ์ ซึ่งขณะนี้ได้งอกงามพอสมควร ให้ความร่มรื่นและออกผลทานได้แล้ว และเพื่อให้ต้นไม้เหล่านั้น มีที่กักเก็บน้ำเลี้ยงและมีที่พักสำหรับคนดูแล จึงได้สร้างโรงเก็บน้ำบนเขานี้ขึ้น ซึ่งต่อมาได้ดัดแปลงให้เป็นศาลาปฏิบัติธรรมได้ด้วย และมีชื่อว่า "ศาลาบุญส่งเสริม"

อาตมาได้รำพึงอยู่ในใจว่า เราอยู่ที่นี่ทำไม และก็ได้คำตอบว่า เรามาอยู่ตามเป้าหมายเดิม ที่นี่เป็นที่สันโดษเพราะห่างไกลจากบ้านคน อยู่ที่นี่มีความมักน้อย ไม่ต้องแสวงหาลาภสักการะ ไม่ต้องการตำแหน่ง เป็นความสะดวกของลูกศิษยานุศิษย์ที่ต้องการเดินทางมาพบ จึงได้ตั้งหลักอยู่ที่นี่มานานมากว่า ๑ พรรษาแล้ว หากจะถามว่า อาตมาจะย้ายต่อไปหรือไม่ คำตอบก็คือ ย้าย หากมีเหตุปัจจัยให้ย้าย เหตุปัจจัยที่จะให้ย้าย ได้แก่ การที่มีแต่ลูกศิษย์ บ้าหวย หมกหมุ่นหมอดู บ้าเครื่องรางของขลัง บ้าเรื่องเสน่ห์ ยาแฝด บ้าไสยศาสตร์ ก็จะเป็นเหตุปัจจัยให้ต้องไปแสวงหาที่ใหม่ แต่ถ้าญาติโยมมีแต่ อยากสวดมนต์ ภาวนา นั่งสมาธิ เดินจงกรม อยากฟังเทศน์ ละ ปล่อยว่าง สันโดษ มักน้อยไม่สะสมกิเลส อาตมาก็จะอยู่ต่อไปอีกนาน

พระอาจารย์บุญส่ง เทศน์โปรดศิษยานุศิษย์
ณ ศาลาปฏิบัติธรรมบุญส่งเสริม
วันตักบาตรเทโวโลหนะ ๒๗ ต.ค.๓๙
พระอาจารย์บุญส่ง อุปสโม
เกิดเมื่อ ก.ย. ๒๔๙๘ อุปสมบทเมื่อ มี.ค. ๒๕๒๐
คติธรรม ไม่ติดอยู่กับที่ ไม่ยินดีกับที่พัก ท่องไปโดยไม่คลุกคลีกับชนในบ้าน ไม่กำหนัดกับกามทั้ง ๕ ไม่มีอนาคต ไม่โต้เถียงกับใคร ๆ ในโลก