เรื่อง ที่มาของธรรมะที่นำมาพูด ๒
เรื่อง อกุศลกรรมบถ ๑๐ (วจีกรรม ๔ และ มโนกรรม ๓)

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

วันนี้เราจะได้พูดกันถึงเรื่องกฎแห่งธรรมชาติต่อไป เมื่อวันอาทิตย์ก่อนนั้นเราได้พูดกันมาถึงเรื่องการทำกรรมชั่ว
หรืออกุศลกรรมบถ ๑๐ ในทางกาย ๓ มาแล้วว่ามีอะไรบ้าง ผลของการกระทำเช่นนั้นมันเป็นอย่างไร วันนี้เราจะได้มา
พูดกันถึงเรื่องต่อไป แต่ขอให้เข้าใจว่าจุดหมายในการพูดนี้ เป็นการพูดกันในหลัก ซึ่งเราจะต้องทำความเข้าใจ
เพื่อเป็นการป้องกันมิให้ใครเขามาต้มมาตุ๋นเราได้ง่าย ๆ และนอกจากนั้นแล้ว ถ้าเราสนใจที่จะนำไปประพฤติไปปฏิบัติ
เราก็สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติได้โดยถูกต้อง สำหรับเรื่องอกุศลกรรมบถ ๑๐ นั้น เมื่อวันก่อนนั้นเราได้พูดกันมา
ถึงเรื่องการทำกรรมทางกาย ๓ ประการ

วันนี้เราจะได้พูดกันต่อไปถึงเรื่อง การทำกรรมทางวาจา ๔ ประการ

ประการที่ ๑ ได้แก่ มุสา ซึ่งเรียกว่า ธรรมดาสามัญอย่างพวกเรานี่เขาเรียกกันว่าโกหก โกหกนี่จะเป็นการผิดศีล
หรือบาปประการใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ ว่ามีประการใด องค์ประกอบในการมุสานี่ มีอยู่ ๔ ประการคือ

องค์ประกอบตัวที่ ๑ เรื่องที่นำมาพูดนั้นต้องเป็นเรื่องที่ไม่จริง ถ้าเป็นเรื่องจริงแล้ว เราพูดมันก็ไม่ได้เป็นการมุสา

องค์ประกอบตัวที่ ๒ ก็คือเจตนา เราต้องมีเจตนาที่ต้องการจะมุสาในเรื่องนั้น ถ้าไม่มีเจตนาก็ไม่เป็นการมุสาอีก แม้เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องไม่จริง เราเข้าใจว่ามันเป็นจริงอย่างนั้น เราก็พูดไป อันนี้ก็ไม่ใช่มุสา ต้องมีเจตนาที่จะมุสาด้วย

องค์ประกอบตัวที่ ๓ ก็คือต้องประกอบด้วยความเพียรที่จะทำการมุสานั้นให้สำเร็จผล ถ้าเป็นแต่เพียงทำโดยขาด
ความเพียร เช่น คนบางคนนี่ เวลาตกอกตกใจ ก็กล่าววาจาบางสิ่งบางอย่างออกมา อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นมุสา เพราะว่า
ขาดองค์ประกอบในการมุสามากมายหลายประการ คือเจตนาก็ไม่มีและความเพียรในเรื่องนั้นก็ไม่มี

ทีนี้องค์ประกอบตัวที่ ๔ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ผู้ฟังเชื่อตามที่เราพูด

ถ้าเราได้กล่าวเช่นนี้ครบองค์แล้ว เราก็เรียกได้ว่าเป็นมุสา แต่ทีนี้ในปัญหาในเรื่องความเพียรนั้น เพียรอย่างไร ถึงจะเรียกว่าความเพียรในการทำมุสาอันนั้น องค์ประกอบในความเพียร ตัวที่ ๑ ก็คือ

ผู้นั้นได้กล่าวขึ้นเอง คือการกระทำกรรมนั้น ทำด้วยตัวของตัวเองเป็นผู้พูดขึ้นเอง เป็นผู้กล่าวขึ้นเอง ก็ได้

หรือถ้าผู้นั้นไม่ได้เป็นผู้กล่าวขึ้นเอง ไม่ได้เป็นผู้พูดขึ้นเอง ให้ผู้อื่นทำการแทนก็ได้ หมายความว่าไปโกหกแทนกัน

หรือถ้าเราจะไม่กล่าวเองหรือไม่ใช่บุคคลพูด เราจะใช้เป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ มันก็เป็นความสมบูรณ์
ของการกล่าวมุสา ซึ่งเป็นการผิดศีลอันนี้

ทีนี้ปัญหามีอยู่ต่อไปว่า การผิดศีลข้อมุสานี่ หรืออกุศลกรรมบถ ๑๐ ในเรื่องวจีกรรม เกี่ยวกับมุสาวาทนี่ มีผลเป็น
อย่างไร? พูดถึงเฉพาะผลที่จะเกิดขึ้นในปวัตติกาล หรือเมื่อเราได้เกิดเป็นคนขึ้นแล้ว ผลที่จะสนองก็คือ

ประการที่ ๑. เป็นคนที่พูดไม่ชัด เราสังเกตดูเถอะ คนบางคนนี่มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์ แต่เป็นคนพูดไม่ชัดถ้อยชัดคำ
ไม่ใช่คนถอนฟันหรือคนเจ็บฟันอะไรพวกนี้ นี่เป็นพูดถึงเรื่องธรรมชาติที่เขาเกิดมา ลักษณะเป็นอย่างนั้น บางคนเราฟังออก
วิทยุ ฟังแล้วไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะเหตุไร เพราะว่าเขาไม่สามารถที่จะพูดให้ชัดถ้อยชัดคำได้

ประการที่ ๒ ผลที่ออกมาในเรื่องนี้ ผู้นั้นเป็นบุคคลที่มีฟันไม่เป็นระเบียบ

ประการที่ ๓ ผลคือเป็นผู้ที่มีปากเหม็นน่ะ คือคล้าย ๆ ไม่ได้ล้างปากขัดฟันอะไรพวกนี้ แต่ความจริงนี่ เขาได้ล้างปาก
เขาขัดฟัน แต่ความเหม็นอันนั้นไม่ได้เหม็นอยู่ที่ปาก มันออกมาจากกระเพาะอาหาร จากลำคอ และส่งกลิ่นออกมาทางปาก
ลักษณะเช่นนี้เราจะได้เห็นบุคคลบางคนมีลักษณะเช่นนั้น แม้แต่เขาจะพยายามที่จะรักษาหรือใช้หยูกยา อมอะไรประการ
ต่าง ๆ ก็ไม่ค่อยมีผลแต่ประการใด

ประการที่ ๔ เป็นผู้ที่มีไอตัวร้อนจัดมากนี่ ทำไมถึงได้วิบากกรรมอันนี้ ถึงได้ปรากฏขึ้น เพราะว่าคำมุสานั้นเป็นการ
ที่ทำให้ผู้อื่นเขาได้รับความร้อนรนทางจิตใจ ดังนั้นผลวิบากกรรมอันนี้ก็ตามมาสนองเขาเช่นนี้

ประการที่ ๕ อกุศลวิบากที่ได้รับออกมานั้นอีกประการหนึ่งก็คือ นัยน์ตาของผู้นั้นนี่ไม่อยู่ในระดับปกติ สำหรับเรื่องนัยน์
ตานี่ เราจะเห็นบุคคลได้น้อยตัวเพราะส่วนใหญ่นี่มันจะมีนัยน์ตาเป็นปกติ แต่ก็มีบางคนเป็นนักการเมือง บางคนก็เป็นผู้ใหญ่
ที่เขาถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์นี่ ถ้าเราสังเกตดูเถอะ สมบัติพวกนี้แสดงออก แต่เราไม่รู้หรอกว่า nature ของการแสดงออก
เช่นนั้น มีมูลฐานมาอย่างไร แต่ถ้าเรามาพิจารณาถึงในแง่ของธรรมะแล้ว เราจะรู้ว่ารากเง่ามันเกิดมาจากอะไรกันแน่

ประการที่ ๖ ก็คือ เป็นผู้ที่กล่าววาจาด้วยปลายลิ้นและปลายปาก คือถ้าจะพูดอะไรกับใคร ไม่กล้าที่จะพูดออกมาให้ชัด
ถ้อยชัดคำ คล้าย ๆ ว่ามีลักษณะของปมด้อยอยู่ เราจะเห็นคนบางคน แม้จะเป็นอยู่ในระดับบุคคลชั้นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม จะมี
วาจาอย่างนี้ คนที่ไม่รู้ในลักษณะนี้บอกว่าไม่ใช่คนไทย แต่ความจริงเขาเป็นคนไทยจริงๆ แต่ลักษณะการพูด น้ำเสียงที่ออก
มามันเป็นลักษณะ ที่พูดด้วยปลายปากหรือปลายลิ้น ไม่มีความหนักแน่นเพียงพอแต่ประการใดเลย

อกุศลวิบากประการที่ ๗ ในเรื่องของมุสาก็คือ บุคลิกลักษณะของบุคคลผู้นั้นไม่มีความสง่าผ่าเผยเป็นที่ยำเกรง
คือมีลักษณะจ๋องๆ น่ะ เรียกว่าไม่มีลักษณะในการเป็นผู้นำน่ะ เพราะว่าลักษณะของ leadership นี่ ควรจะมีลักษณะสง่า
ผ่าเผย แต่บุคคลที่มีอกุศลวิบากกรรมประเภทนี้ จะไม่มีลักษณะเช่นนั้น ในลักษณะเช่นนี้เราจะเห็นบุคคลได้มากหลายเยอะ
แยะ เกือบทุกชั้นทุกประเภท

ประการที่ ๘ ก็คือ เป็นผู้ที่มีจิตไม่เที่ยง คือมีลักษณะคล้ายคนวิกลจริต

นี่เป็นคุณสมบัติหรือสิ่งตอบแทนผลแห่งการมุสา ซึ่งได้ทำด้วยองค์ประกอบอันสมบูรณ์ตามศีลในข้อนี้

นอกจากมุสา ซึ่งเป็นการกระทำผิดทางวาจาในอกุศลกรรมบถ ๑๐ แล้ว ยังมีตัวต่อไป นั่นก็คือ การส่อเสียด การส่อเสียดในที่นี้มันหมายถึงการพูดให้เขาแตกหมู่แตกคณะ แตกความสามัคคีซึ่งกันและกัน การส่อเสียดนั้นเป็นเรื่องที่เรา
เห็นได้ยาก ถ้าเราไม่รู้เท่าทันคน ลักษณะของการส่อเสียดนั้น ในขณะนี้ประเทศไทยกำลังได้รับอยู่อย่างมากมาย ถ้าเราเป็นคน
ที่ใจคอไม่หนักแน่น เป็นคนที่ขาดความรอบรู้ เป็นที่ขาดความรอบคอบ เราก็จะตกเป็นเครื่องมือของการส่อเสียดได้โดยง่าย
ทีนี้การส่อเสียดนั้น ตามภาษาบาลีเรียกว่า ปิสุณาวาท ที่อยู่ในอกุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นตัวที่ ๒ ของวจีกรรม

ทีนี้เมื่อเราทราบถึงลักษณะเช่นนี้แล้ว เราก็ควรจะทราบถึงองค์ประกอบของคำว่าส่อเสียดหรือปิสุณาวาท ต่อไปว่ามันมีเป็นประการใด ส่อเสียดนี้ต้องมีประกอบด้วยองค์ประกอบ ๔ ตัวหรือ ๔ ลักษณะคือ

องค์ประกอบตัวที่ ๑. มีหมู่มีคณะที่พึงแตกกัน ถ้าใครมาพูดส่อเสียดโดยไม่มีหมู่คณะที่แตกกัน พูดกันแต่เรื่องเฉพาะ
ตัวและมันก็ไม่เกี่ยวข้องถึงใครด้วย ลักษณะนี้ก็ไม่เข้าในลักษณะของการส่อเสียด

องค์ประกอบตัวที่ ๒ นั่นก็คือ มีเจตนาหรือความปรารถนาจะให้หมู่คณะนั้นแตกแยกกัน นี่เป็นองค์ประกอบ
ซึ่งข้อเท็จจริงหรือเจตนาในขณะนี้ประเทศไทยเราได้รับอย่างหนาแน่น ถ้าเราจะสังเกตดูไม่ว่านักการเมือง ไม่ว่าหนังสือพิมพ์
ไม่ว่าพ่อค้า ไม่ว่าประชาชน รู้สึกว่าในปีนี้ทุกฝ่ายตกเป็นเครื่องมือของการส่อเสียด ที่จะทำให้แตกแยกกันระหว่างชนในชาติ
นั่นผลร้ายมันจะเกิดขึ้น แต่เราไม่จำเป็นที่จะไปต้องสนใจถึงเช่นนั้น เราเพียงแต่รู้ว่าลักษณะของการส่อเสียดนั้น มันมีเป็น
อย่างไร เราจะได้รู้จักรักษาตัวของเรา เพื่อไม่ต้องไปอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของท่านพญายม อย่างเช่นคนบางคนที่ตายไป
แล้วไม่มีโอกาสที่จะได้ไปสู่สุคติภูมิ มีแต่เร่งไปลึกๆ ยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะเขาไม่รู้ว่า ผลของการส่อเสียดนั้น มีเป็นประการใด

องค์ประกอบตัวที่ ๓ ก็คือ เพียรพยายามทำการส่อเสียดนั้น เพื่อให้มันแตกแยกกันให้ได้ นี่ถึงจะเรียกว่า เป็น
ปิสุณาวาท ต้องมีอีกต้องมีความเพียรอีก ถ้าไม่มีความเพียร ก็ยังไม่ครบองค์

ประการที่ ๔ ประการสุดท้าย องค์ประกอบประการที่สุดท้าย คือ หมู่คณะนั้นปักใจเชื่อคำพูดเช่นนั้น เมื่อปักใจเชื่อ
ก็แตกกัน

ส่วนในเรื่องวิบากที่จะได้รับผลจากปิสุณาวาทหรือการส่อเสียดนั้น ผู้ใดที่ทำไปแล้วย่อมจะได้รับผลวิบากทั้งใน
ปฏิสนธิกาลและปวัตติกาล สำหรับผลในปวัตติกาล คำว่าปวัตติกาลนี้ หมายถึงในปัจจุบันที่บุคคลผู้นั้นได้ดำรงชีวิตอยู่
อาจจะเป็นชาตินี้หรือชาติหน้าก็แล้วแต่ ผลมีอย่างไร

ประการที่ ๑ เป็นบุคคลที่แม้แต่ไม่มีใครเขาตำหนิติเตียนตัวเลย ตัวก็ต้องตำหนิตัวของตัวเอง อันนี้คือไม่มีความสุขใจ คอยจะตำหนิติตัวของตัวเองว่า มีความจุดอ่อนอยู่ที่ตรงไหน เป็นประการใด อยู่เสมอ คอยมีสิ่งที่จะกระตุ้นเตือนอยู่อย่าง
นั้นเสมอ

ประการที่ ๒ มักจะถูกลือโดยไม่มีความจริง เราจะเห็นบุคคลบางคนที่ถูกลือเป็นอย่างนั้นบ้างอย่างนี้บ้าง แล้วก็คนก็เชื่อ
ไปตามนั้น นั่นอะไร นั่นเป็นผลวิบากเขาของเขา แม้แต่เขาไม่ได้กระทำความผิดเช่นนั้น ข่าวลือเช่นนั้นมันก็เกิดขึ้น ซึ่งเป็น
ความไม่จริง แต่กว่าจะรู้ว่าเป็นความจริงหรือความเท็จประการใด เรื่องมันก็แซดไปหมดแล้วนี่ ประการที่ ๓ คือ
ถูกผู้รู้หรือบัณฑิตติเตียน ไม่มีการกล่าวสรรเสริญในหมู่ผู้รู้แต่ประการใด

ประการที่ ๔ ผลที่ได้รับก็คือ ถ้าจะมีมิตรสหาย จะรักกันประการใด ก็ต้องมีการแตกแยกกันในหมู่มิตรหมู่สหาย

นี่เป็นผลของการกล่าววาจาส่อเสียดอันครบองค์นี่ ในลักษณะเช่นนี้อาจจะมีท่านทั้งหลายบางคนข้องใจว่า
ปัญหาว่าจะได้รับชาติไหนปัญหาที่ว่าผลวิบากนี้จะได้รับชาติไหนนั้น ย่อมขึ้นกับเจตนาสมบูรณ์หรือไม่ ถ้าเรามีเจตนา ๔
โดยสมบูรณ์แล้ว ปัญหามันก็ต้องได้รับในปัจจุบันชาติโดยไม่มีปัญหา แต่ถ้าเจตนามันไม่ครบองค์ ๔ มันก็อาจจะต้องไป
รับในชาติหน้าหรือชาติต่อไป แต่ผลวิบากอันนี้ต้องได้รับแน่เพราะไม่เช่นนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคงจะไม่กล่าว
เอาไว้เช่นนี้

เมื่อเราได้ทราบกันมาถึงวจีกรรมข้อที่ ๒ แล้ว เราก็มารู้กันถึงในเรื่องวจีกรรมในข้อที่ ๓ ต่อไปว่ามันมีอะไรบ้าง

วจีกรรมข้อที่ ๓ ก็คือ การกล่าวคำหยาบ หรือเรียกตามภาษาบาลีว่า ผรุสวาทะ ซึ่งมีองค์ประกอบ ๓ ประการ ฉะนั้นถ้าท่านผู้ใดได้ยินเขาด่ากันก็ดี ได้ยินเขาว่ากันจากเจ็บๆ แสบๆ ก็ดี อย่าเพิ่ง อย่าเพิ่งไปเข้าใจว่าเป็นคำหยาบเสมอไป และจะต้องผิดศีลหรือผิดธรรมในข้อนี้เสมอไป บางทีก็ไม่ผิด ประเดี๋ยวจะชี้ให้ดูว่ามันผิดหรือไม่ผิดที่ตรงไหน

องค์ประกอบของผรุสวาทะนี่ มีเป็น ๓ ประการคือ

องค์ประกอบตัวที่ ๑ มีผู้อื่นที่จะพึงด่า ต้องมีตัวให้ด่านะ นี่ ผู้อื่นที่จะพึงด่า

ตัวที่ ๒ มีจิตโกรธเคือง คือเจตนานั่นเอง

ตัวที่ ๓ กล่าวคำหยาบ คำบริภาษ

ถ้าผมพูดเพียงแค่นี้ ท่านผู้ใดได้ยินคำใครกล่าวคำหยาบหรืออะไรเข้าท่านก็บอกว่า เอ๊ะผิดศีลข้อนี้แน่ บางทีไม่ผิด
ทำไมที่ผมว่าไม่ผิด เพราะมันอยู่ที่ว่ามีจิตโกรธเคือง คำว่ามีจิตโกรธเคืองอันในที่นี้ หมายถึง เจตนา นั่นเอง ถ้าพ่อแม่ด่าว่า
ลูกเขามีจิตโกรธเคืองหรือเปล่า เขาด่าด้วยความปรารถนาดี ไม่ต้องการให้ลูกเขาไปประพฤติปฏิบัติชั่วเช่นนั้น เขาถึงได้ด่า
ว่า ครูบาอาจารย์ด่าว่าลูกศิษย์เพื่ออะไร เพื่อให้ลูกศิษย์นั้นมีการเรียนดี มีการเอาใจใส่ต่อการเล่าเรียน ไม่ใช่ด่าว่าเพื่อการ
ทำลาย ฉะนั้นขอให้เข้าใจเสียใหม่ว่า การที่มีการด่าว่าหรือว่ากล่าวกันอย่างรุนแรงนั้น มันเป็นบาปหรือไม่บาป ผิดศีลหรือ
ไม่ผิด ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้กล่าว มีเจตนาอย่างไร ถ้ามีเจตนาจะทำให้บุคคลผู้นั้นเขาเสียหาย โดยอาฆาตปองร้าย นี่ผิดแน่
แต่มีเจตนาปรารถนาที่จะให้เขาได้ดี ปรารถนาจะให้เขาพ้นทุกข์ ปรารถนาจะให้เขาหายเดือดร้อน อย่างนี้ไม่เป็นนะ มันอยู่ที่
เจตนา ไม่ยังงั้น พ่อแม่ทั้งหลายตกนรกหมดแล้ว ไปด่าลูกเข้า ครูบาอาจารย์ ก็ตกนรกหมดแล้วนี่ ผมเอง ผมยอมรับว่าผม
มีวาจาที่ไม่ดี แต่ผมในชีวิตผมจำได้ว่าไม่เคยไปด่าว่าใครด้วยจิตใจโหดร้ายหรืออาฆาต ไม่เคย แต่ทำไมต้องทำเช่นนั้น
เพราะการที่จะสั่งสอนคนหนึ่งนี่ บางคนเราก็พูดดี ๆ กันเข้าใจ บางคนเราก็ต้องว่ากันอย่างเหลวแหลก เขาถึงจะได้ผล
อยู่ที่จิตหรือเป้าหมายและเจตนาความปรารถนาอันนั้น

ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า คนบางคนที่เขามาหา พวกคุณก็คงจะแลเห็นว่าเขาเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทำไมผมพูด
กับเขาอย่างชนิดว่าเป็นพวกรากษสหรืออะไร ชนิดบอกว่าไม่อยากพูดด้วย ไม่ต้องการพูดด้วยคนอย่างคุณอย่างนี้ ทำไม
ผมต้องทำเช่นนั้น ถ้าผมไม่ทำเช่นนั้น ผมไม่สามารถทำลายทิฎฐิมานะซึ่งเขาจะต้องรับภัยอย่างร้ายแรงนี่ ผลสุดท้ายเขาก็
เข้าใจเราดี หรืออย่างวานนี้ เขามา เราก็ไปไล่ให้เขาออกไป ไม่ให้เขามานั่งรวมกลุ่มกับพวกเรา เราตั้งข้อรังเกียจเช่นนี้
ทำไมถึงทำเช่นนั้น ทำเช่นนั้นเพื่อทำลายทิฏฐิ คือ ความเป็นมิจฉาทิฏฐิของเขานี่ ให้เขาหาย เพราะถ้าเขาจะเจ็บใจอะไรสัก
หน่อยหนึ่ง แต่เราปรารถนาดีเช่นนี้ ดีกว่าจะต้องให้เขาไปติดคุกติดตะรางในทีหลัง ซึ่งถ้าเขาจะได้รับความเจ็บใจจากเรา
ก็สักครึ่งชั่วโมงหรือชั่วโมงมันก็หมดไป นี่ อย่างนี้ไม่เข้าในลักษณะของกรรมในข้อนี้

ทีนี้ ผลตอบแทนผู้ที่ปฏิบัติกรรมนี้นี่ จะมีอย่างไรกันบ้าง ที่เตือนเอาไว้ เผื่อพวกเราจะพลั้งเผลอไป ประเดี๋ยวจะเห็น
ว่าผมว่าคนโน้นด่าคนนี้ได้ แต่คุณอย่าลืมว่าเจตนาของผมคนละอย่าง ประเดี๋ยวคุณจะจำเอาไปอย่างนั่นละก็ เดี๋ยวจะไปยุ่ง
กันใหญ่ทีหลัง ปัญหาว่าที่เราจะพูดอะไรสติเรามีหรือไม่

ผลที่ได้รับตอบแทนหรือเรียกว่าอกุศลวิบากกรรมในเรื่องนี้ก็คือ

ประการที่ ๑ ความพินาศในทรัพย์สิน คุณจะเห็นหรอก คนบางคนนี่มั่งมีสีสุข แต่ถ้าถึงจุดจุดนั้น เขาจะต้องเกิดสูญเสีย จะเกินจุดนั้นไปไม่ได้ จะต้องมีเหตุแห่งการเสียทรัพย์สินในอันนั้น ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เป็นเจ้าของร้านวิทยุ ถ้าเขาจะกินเงิน
เกินกว่า ๕ แสน เขาจะต้องมีเรื่อง รับรองไม่ถูกต้ม ไม่ถูกตุ๋น ก็ต้องมีเรื่องมีราวร้อยแปดน่ะ ต้องให้ต่ำกว่านั้นเอาไว้นี่ ผลอันนี้

อันที่ ๒ ได้ยินเสียงได ๆ แล้วไม่พอใจ เสียงนั้นไม่ว่าจะเป็นเสียงดีหรือเสียงร้าย ถ้าเป็นเสียงบุคคลแล้วฉันไม่พอใจ

ประการที่ ๓ มีกายและวาจาหยาบ เราจะเห็นว่าคนบางคนนี่ ทำไมเขามีกายวาจาเรียบร้อย แต่บางคนมีลักษณะสวย
งามแต่มีกายวาจาหยาบ ถ้าจะให้ผมพูดภาษาสามัญเดี๋ยวนี้หรือก็เรียกว่า มารยาทหนึ่งละ รูปโฉมโนมพรรณสองละ ต้องได้
ประกอบกัน คนที่ทำอกุศลกรรมเช่นนี้แล้ว ผลมันออกมาอย่างนี้นี่ การแก้มีทางเดียวเท่านั้น นั่นคือ สติ ให้มีการระลึกรู้
ว่าอะไรมันเกิดขึ้นประการใด และ

ผลวิบากตัวที่ ๔ ก็คือ ตายด้วยอาการงงงวย หรือพูดกันอย่างภาษาชาวบ้านคือ ตายโดยไม่ได้สตินั่นเอง ถ้าใครยัง
ไม่เคยตายและไม่อยากตายด้วยไม่ได้สติ ก็ต้องแก้ไขกรรมอันนั้นด้วยการเจริญสติปัฎฐาน ๔ นี่ตายแล้วก็ได้สติแน่ นี่ เป็นเรื่องของการกล่าวคำหยาบ

ทีนี้ยังมีอีกตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวสุดท้าย และคนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ว่าเป็นความผิดหรือไม่ ไม่ว่าในส่วนสูงในส่วนต่ำของ
สังคมผมเห็นเขาทำกันโดยมาก เพราะว่าเขาคงจะไม่รู้ว่ามันเป็นการผิดศีล นั่นคือ การกล่าวคำเพ้อเจ้อ พูดทำไมมีล่ะ
ผมกล้าพูดได้ว่าพวกเรานี่ส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น จึงขอเตือนให้ระลึกรู้ไว้ในที่นี้ด้วยว่า สิ่งใดที่มันไม่ถูกต้อง เราควรจะได้ละ
เว้นเสีย การพูดเพ้อเจ้อหรือพูดเรียกอย่างภาษาชาวบ้านนี่ เรียกว่า พูดโดยไร้สาระนั้นน่ะ มันเป็นการผิดเหมือนกัน เรา
เรียกว่า สัมผัปปลาปวาจา หรือการพูดเพ้อเจ้อ ฉะนั้นมีคนบางคนในวงของเรานี่ พูดพล่ามหรือไร้สาระ ก็ถูกดุไปบ่อยๆ
แต่ไม่ได้สำนึก เมื่อเขาไม่สำนึกในชาตินี้แล้ว เขาจะไปสำนึกเอาเมื่อไหร่นี่

การพูดเพ้อเจ้อหรือสัมผัปปลาปวาจานี้ มีองค์ประกอบเป็นประการใด? องค์ประกอบในเกี่ยวการสัมผัปปลาปวาจานี้
มีเป็น ๒ ประการดังนี้คือ

ประการที่ ๑ เป็นการกล่าวคำพูดที่ไร้แก่นสารและไร้ประโยชน์ ส่วนใหญ่พวกเราชอบกันนักชอบกันหนา และสังคม
ทั้งหลายก็นิยมชมชื่นกันท่านชอบพูดเล่นกันโดยไม่มีแก่นไม่มีสาร ไม่มีประโยชน์นี่ เพราะอะไร เพราะว่าคนเหล่านี้ตก
อยู่ในความประมาท ไม่รู้หรอกว่าเราเกิดมานี่ชั่วอายุหนึ่ง อย่างมากก็ไม่เกิน ๑๐๐ ปี คำว่าไม่เกิน ๑๐๐ ปีนั้น ถ้าเรามา
เปรียบเทียบกับวัฏฏะที่เราต้องเวียนว่ายตายเกิดนั้น ระยะสั้นน้อยนักหนาเหลือเกิน แล้วเราใช้เวลาเหล่านั้นโดยเปล่า
ประโยชน์เช่นนี้ มันเป็นผลดีต่อตัวของเราหรือ นี่เป็นองค์ประกอบอันที่ ๑

ประการที่ ๒ คำกล่าวที่ไม่มีประโยชน์นั้น ก็มีลักษณะเช่นทำนองเดียวกันกับปิสุณาวาทะนั่นเอง หยอกล้อก้นหยาบ ๆ
คาย ๆ บ้าง อะไรบ้างนี่ เช่นนี้มันเป็นการผิด ไม่ใช่ถูก

ผลที่ได้รับมีประการใด ผลที่ได้รับนั้น ในปวัตติกาล จะได้รับเมื่อในชาติที่ตัวต้องใช้วาจานั้น มี ๔ ประการ ดังนี้คือ

ผลตัวที่ ๑ เป็นอธัมมวาทบุคคล คำว่าอธัมมวาทบุคคลนี้ ต้องเข้าใจว่า อธัมมะนี่หมายความว่า ไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่
สัจธรรม วาทะ เป็นการกล่าว บุคคล คือเป็นคนที่ไม่สามารถที่จะเข้าหรือรู้หรือเข้าใจ หรือที่จะพูดเกี่ยวกับธรรมะได้ในชีวิต
ของเขา อย่างเช่นศีลมี๕ข้อ มีปาณาติบาต เป็นต้น เขาก็เข้าไม่ถึง เขาก็กล่าวไม่ได้ ว่ามีความหมายเป็นประการใด นี่ผล
ตัวที่ ๑

ผลตัวที่ ๒ แม้บุคคลผู้นั้นจะพูดจริงอย่างไร ก็ไม่มีคนเลื่อมใสหรือเชื่อถือในคำพูดของตนนี่ เราจะเห็นคนบางคน
แม้จะเป็นผู้ใหญ่ผู้โตสักปานใดก็ตาม ทำไมกล่าววาจาอะไรไม่มีคนเชื่อถือ เราอย่ามาเอาคนในลักษณะของพวกเราตัวเล็ก ๆ
น้อย ๆ อยู่อย่างนี้เลย ก็บางคนทำไม แม้แต่เป็นตัวเล็กตัวน้อย พูดอะไรก็มีคนเชื่อถือ ทำไมถึงได้เป็นอย่างนั้น ทั้งนี้ เพราะ
ว่าผลแห่งวิบากที่เขารับ เนื่องจากการกล่าววาจาเพ้อเจ้อหรือไร้สาระในอดีตชาติได้มาสนองเขาแล้ว

ประการที่ ๓ เป็นผู้ที่ไม่มีอำนาจ แม้แต่ผู้นั้นจะดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจวาสนาอย่างไร ก็ไม่สามารถจะใช้อำนาจนั้นๆ
ได้โดยสมบูรณ์ ซึ่งเป็นตรงกันข้ามกับผู้ที่เขาไม่ได้ทำกรรมเช่นนี้ แต่เมื่อเขามีอำนาจเขาก็มีอำนาจโดยสมบูรณ์ พูดทำไม
มีน่ะมีอำนาจเพียงแต่เป็นฉากบังตาเท่านั้น แต่ความเป็นจริง ๆ แล้วอำนาจนั้นหามีไม่ เพราะผลกรรมของเขานั่นเอง

ประการที่ ๔ ก็คือ เป็นผู้มีจิตไม่เที่ยง คำว่า จิตไม่เที่ยง คือวิกลจริตนั่นเอง

นี่เป็นผลของอกุศล ที่เกิดจากวจีกรรม ๔

เราได้พูดกันแล้วว่า การทำอกุศลกรรมบถนั้น เราทำได้จากทางกาย ๓ วจีกรรม ๔ และมโนกรรม ๓ ส่วนมโนกรรม ๓
นั้น มีอะไรบ้าง เราจะได้พิจารณากันต่อไป

อกุศลทางมโนกรรม ๓ นั้น มันเกิดขึ้น

๑. เรียกว่า อภิชฌา หรือโลภะที่อยากได้ของของเขา ซึ่งมีองค์ประกอบเป็น ๒ ประการ ดังนี้คือ

องค์ประกอบตัวที่ ๑ ทรัพย์ที่เราอยากได้นั้นเป็นทรัพย์ของผู้อื่น ที่เราไม่มีสิทธิที่จะได้มาซึ่งทรัพย์นั้น

องค์ประกอบตัวที่ ๒ ก็คือ มีความเพ่งเล็งที่จะให้ได้มาเป็นของของตนซึ่งทรัพย์นั้น

อันนี้เราจะเห็นได้ว่า ถ้าเราพูดกันในศีล ๕ มันก็ได้แก่ อทินนาทาน แต่เรื่องของศีลนั้น มันเป็นการควบคุมทางกายและ
วาจา แต่ถ้ามาพูดกันถึงอกุศลกรรมบถแล้ว เพียงแต่เราคิดเพ่งเล็ง นึกคิดเท่านี้ มันก็ต้องเป็นบาปกรรมแล้ว ถ้ามันหนักเข้า
หนักเข้าในการเพ่งเล็งอันนี้ มันก็ต้องออกทางกาย นั่นคืออทินนาทานนั่นเอง นี่เข้าไปในลักษณะของกายกรรม ๓ ดังกล่าว
ข้างต้น

ทีนี้ตอนนี้เราอย่าเข้าใจผิด เพียงแต่ว่าเราไปชมศูนย์การค้า เห็นสินค้าบางสิ่งบางอย่าง เราชอบใจ เราอยากได้ นี่ไม่เป็นอภิชฌานะ อภิชฌานั้นหมายทรัพย์เขามีเจ้าของเขาแล้ว เราอยากจะได้ของของเขานั้นมา แต่ได้มาอย่างไร ได้มา
โดยไม่สุจริต มีความอยากได้นักหนา ถ้ามีโอกาส ทำอย่างไรฉันจะต้องได้มา ไม่ว่าจะใช้อิทธิพล จะใช้อำนาจ จะใช้เล่ห์
กระเท่ห์อะไร ฉันมีโอกาสฉันจะต้องทำ การอยากได้ในลักษณะนี้เท่านั้นที่เป็นอภิชฌา ไม่ใช่เห็นว่าของเขาวางขาย เรา
อยากได้ แต่เรายังไม่มีสตางค์ซื้อ ลักษณะนี้ยังไม่เข้าองค์ประกอบอันนี้ ฉะนั้นเราต้องทำความเข้าใจกันเสีย

ส่วนในเรื่องของผลของอภิชฌานี้มีเป็นประการใด ? อภิชฌานี้มันก็มีผลออกมาเป็น ๔ ประการ คือ

๑. เสื่อมในทรัพย์และคุณงามความดีของบุคคลผู้นั้นในปวัตติกาลเอาเถอะคนเช่นนื้ให้หากินโดยตลอดชีวิต และจะทำ
คุณงามความดีเท่าไหร่ ไม่มีใครมองเห็น ผลไม่บังเกิดขึ้น ลงทุนพันหนึ่งค้าขาย แทนที่จะได้กำไร ขาดทุนไปอีก ไม่มีทาง
มีแต่ทางเสื่อม ถ้ากรรมนั้นยังไม่สิ้น ก็เป็นอยู่อย่างนี้ ที่จะหวังร่ำรวย หวังจะได้เกียรติยศชื่อเสียง ไม่มีโอกาส

อกุศลวิบากประการที่ ๒ นั่นก็คือ ปฏิสนธิในตระกูลต่ำ คำว่าในตระกูลต่ำในที่นี้ อาจจะเป็นตระกูลที่ยากจนอาจจะ
เป็นคนที่ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ อาจจะเป็นคนที่อยู่ในตระกูลที่สังคมตั้งข้อรังเกียจ นี่ วิบากกรรมอันนี้มันจะส่งผลอย่างนี้ขึ้นมา

ประการที่ ๓ แม้ตัวจะไม่ได้ทำผิดประการใดก็แล้วแต่ จะต้องถูกตำหนิติเตียนอยู่เสมอ ไม่ว่าพรรคพวก พี่น้อง บริวาร
เป็นผู้ใหญ่ก็ถูกผู้น้อยตำหนิ เป็นผู้น้อยก็ถูกผู้ใหญ่ตำหนิ ผลอะไรหรือ ผลของอภิชฌา ซึ่งมันมาแสดงผลให้เราได้รับเป็น
วิบากกรรมในที่นี้

ประการที่ ๔ นั่นก็คือขัดสนในลาภสักการะ เราจะเห็นคนบางคนมีตำแหน่งหน้าที่เช่นนั้น ของกำนัลขึ้นทั้ง
หน้าบ้านหลังบ้าน แต่บุคคลผู้มีกรรมเช่นนี้จะไม่ปรากฏ ไม่มีลาภ ไม่มีสักการะแต่ประการใดเลย

นี่เป็นผลของอภิชฌา ถ้าพูดมาเช่นนี้ ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาและไม่ปฏิบัติธรรมแล้วจะเห็นได้ว่า เอ๊ะ ไม่เห็นผิดอะไรสักหน่อย
เพียงแต่นึกอยู่ในใจเท่านั้นก็บาปหรือ ? ใช่ เพราะพระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วว่า กรรมทั้งหลายย่อมมีใจเป็นหัวหน้า
การทำกรรมนั้นประกอบขึ้นด้วยเจตนาเราทำได้ทั้ง ๓ ทาง คือ ทางกายเรียกว่า กายกรรม ทางวาจา เรียกว่า วจีกรรม
และทางใจเรียกว่า มโนกรรม

นอกจากนี้แล้ว การทำกรรมทางใจอีกประการหนึ่งเรียกว่า พยาปาทะ คือ ความพยาบาทผูกอาฆาต เกิดขึ้นในใจ
เท่านั้นนะ ยังไม่ได้ถึงลงมือกระทำ ถ้าลงมือกระทำ ตัวนี้มันก็ส่งผล นั้นคือปาณาติบาต แต่นี่ยังไม่ถึงขั้นปาณาติบาท
เป็นแต่เพียงพยาปาทะเท่านั้น โดยมีองค์ประกอบเป็น ๒ คือ

๑. มีสัตว์อื่นเพื่อทำลาย คำว่า สัตว์อื่น ในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นสัตว์เดรัจฉานนะ มนุษย์เราก็เรียกว่าสัตว์ ตามภาษา
ธรรมะเราก็เรียกว่าสัตว์เหมือนกัน คือผู้ที่อยู่ในภพภูมิทั้ง ๓๑ ภพภูมินั่นเอง คือ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน และมนุษย์
เทวดา พรหม รูปพรหมและอรูปพรหม นี่เรียกว่าสัตว์ทั้งนั้นตามภาษาของธรรมะ คือมีสัตว์เพื่อทำลาย ทำลายทำไม ?
เพราะว่าเรามีจิตพยาบาท คืออาฆาตจองเวรนั่นแหละ ถึงได้ผูกเวรกันน่ะ นี่เป็นประการที่ ๑

ประการที่ ๒ มีจิตคิดทำลายเพื่อให้สัตว์นั้นประสบความพินาศ มาถึงองค์ประกอบประการที่ ๒ ในข้อนี้ เราจะได้ยิน
กันบ่อย ๆ ถ้าโกรธแค้น ทำอะไรใครไม่ได้ละ แช่งชักหักกระดูกเลย ตัวนี้แหละเป็นองค์ประกอบครบสมบูรณ์ละ แต่เขาไม่รู้
หรอกว่ามันเข้าตัวเขา ที่เขาแช่งชักหักกระดูกใครเขาน่ะ มันเข้าตัวผู้แช่งชักหักกระดูกเอง ไม่ใช่ออกจากตัว

นี่เป็นองค์ประกอบทั้ง ๒ ตัว

ส่วนผลที่ได้รับมีอะไรล่ะ?

ประการที่ ๑ ถ้าเป็นผู้หญิงก็รูปขี้เหร่ ถ้าเป็นผู้ชายก็ไม่ได้ความ คือเรียกว่ามีรูปอันทราม ใช้ไม่ได้หรอก ในเรื่องรูปนี่

ประการที่ ๒ มีโรคภัยเบียดเบียนเป็นประจำตัว ไม่ต้องกลัว รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย มีสตางค์ซื้อยาก็กินเข้าไป
ก็ช่วยประทังไปได้ชั่วขณะเท่านั้น

ประการที่ ๓ อายุสั้น คำว่า อายุสั้น ในที่นี้เราบางคนอาจจะเข้าใจว่า เรื่องการตายนี่มันไม่แน่ บางคนก็ตายช้า บางคน
ก็ตายเร็ว แล้วแต่กรรมของเขาที่ทำมา ใช่ แต่คำว่าอายุสั้นในที่นี้ ถ้าเรามาเทียบกับวงศ์ตระกูลของเขา ผู้นั้นมันผิดแผกแตก
ต่างกัน หรือเราจะเรียกว่าเขาตายในระยะเวลาอายุอันยังไม่สมควรนั่นแหละ คือตายเมื่อยังเป็นหนุ่มเป็นสาว หรือตายยังไม่
หมดอายุอย่างนี้ แต่ไม่ใช่เป็นตายกันโดยอุปฆาตกกรรมมาตัดรอนเมื่อไหร่ ไม่ใช่อย่างงั้น เขาอาจจะตายกันด้วยอะไรก็ได้
ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บที่มันเบียดเบียนธรรมดาก็ได้ มันต้องถึงตายละ หรือตายจะถูกตีหัวตาย ถูกยิงตาย อะไรก็ได้

ประการที่ ๔ ตายโดยถูกประทุษร้าย นี่เป็นเป้าหมายของวิบากกรรมอันนี้ แล้วเราดูซิ พวกนักแข่งชักหักกระดูกทั้ง
หลายนี่ บางคนก็ถึงกับทำพิธีตีกรรม แช่งชักหักกระดูก ผลเป็นอย่างไร เข้าตัว หรือออกจากตัว ฉะนั้น พวกเราทั้งหลาย
อย่าไปผูกพยาบาทอาฆาตจองเวรใครเขา เราพึงรู้ว่าที่เราประสบเหตุการณ์เช่นนั้น มันเป็นผลวิบากของเรา ทางที่ดีที่สุด
กุศลผลบุญเรามี เราได้สร้างสรรค์อบรมมา เราแบ่งความดีของเราให้แก่เขา แบ่งความสุขของเราให้แก่เขา มันจะได้หมด
เวรหมดกรรมไปเสีย เช่นนี้เป็นการถูกต้องและสมบูรณ์ และไม่เข้าตัวของเรา

ทีนี้เราได้พูดกันถึงมโนกรรมมา ๒ ตัวแล้ว เราก็มาพูดกัน มโนกรรมตัวที่ ๓ นั่นคือเรื่องของ มิจฉาทิฏฐิ สำหรับ
เรื่องมิจฉาทิฏฐินี้ ผมจะพูดให้ฟังเพียงย่อ ๆ เพราะว่าเรื่องมิจฉาทิฏฐินี่ เป็นเรื่องใหญ่ ผมจะพูดให้ฟังถึงเรื่องว่า
องค์ประกอบของมิจฉาทิฏฐินั้นมันมีเป็นประการใด คือ

ประการที่ ๑ มีความตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ที่ผิด คำว่า อารมณ์ที่ผิดนี้ หมายความถึงอารมณ์ที่ผิดไปจากสัจธรรมหรือ
ความจริงที่ทุกคนควรจะได้รู้ ในเรื่องธรรมะข้อนั้น ๆ

ประการที่ ๒ องค์ประกอบประการที่ ๒ ก็คือ เชื่อและยินดีพอใจในอารมณ์นั้น ๆ

ความหมายของ คำว่า มิจฉาทิฏฐิ ในที่นี้สำหรับอกุศลกรรมบถ ๑๐ ก็ได้แก่

ประการที่ ๑ อเหตุกทิฏฐิ คือมีความเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายที่กำลังเป็นไปอยู่นั้น ไม่ได้อาศัยเนื่องมาจากเหตุแต่
ประการใด หมายความว่า เขาไม่เชื่อในเหตุ คือไม่ได้เชื่อในเหตุของการทำกรรมขึ้นนั่นเอง

ประการที่ ๒ นัตถิกทิฎฐิ คือ มีความเห็นว่าการทำอะไรก็ตาม ผลที่จะได้รับนั้นย่อมไม่มี คือเขาไม่เชื่อในผล
ผลอะไร ผลของการกระทำหรือกรรมนั้นอีกแหละ เขาไม่เชื่อ

ประการที่ ๓ อกริยทิฎฐิ มีความเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายกระทำกิจการต่างๆ นั้น ไม่สำเร็จเป็นบุญหรือเป็นบาปแต่
ประการใด อันนี้ไม่เชื่อ บุญก็ไม่เชื่อ บาปก็ไม่เชื่อ

นี่เป็นลักษณะของความเห็นที่จะต้องผิดอย่างมหันต์ ความผิดอันนี้ กรรมอันนี้ ผลที่ได้รับในปวัตติกาลก็คือ

๑. ห่างไกลรัศมีแห่งพระธรรม เราจะสังเกตดูว่า ผู้ที่อยู่ในมิจฉาทิฎฐิ อย่าไปประพฤติธรรมปฏิบัติธรรม ไม่ว่ายาก
หรือง่าย เขาไม่เอาหรอก ทำไม่ได้

๒. มีปัญญาทราม

๓. ปฏิสนธิในพวกที่ไม่รู้อะไรเลย คำว่าไม่รู้อะไรเลยนี้ ไม่ใช่ความเจริญวิวัฒนาการของบ้านเมืองนะ คำว่าไม่รู้อะไร
เลยคือ ไม่รู้ในสัจธรรม

๔. เป็นผู้มีฐานะไม่เทียมคน นี่เป็นผลวิบากที่เขาจะได้รับกรรมทางใจ เรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ

ตามที่กล่าวมานี้ ตั้งแต่ต้นตั้งแต่อาทิตย์ก่อน เราก็จบกันในเรื่องอกุศลกรรมบถ ๑๐ และวันนี้ก็เพียงพอกัน ขืนว่ากันมากต่อไปก็คงจะนั่งหลับ