REPORT 3 ตำนานสามเทวภัณฑ์


สามเทวภัณฑ์ (SANSHU NO JINGI) โดย Konru

แฟน ๆ เกม KOF คงรู้กันดีว่า ในเนื้อเรื่องของเกม ถ้านำคุซานางิ  เคียว, ยางามิ  อิโอริ, คางุระ  จิซึรุ มาจับกลุ่มเข้าทีมแล้ว จะกลายเป็น "ทีมสามเทวภัณฑ์" ซึ่งจะมีฉากจบแบบพิเศษให้    คุณทราบหรือไม่ว่า "สามเทวภัณฑ์" นั้นหมายถึงอะไรบ้าง

k127.jpg (9732 bytes)

ตั้งแต่โบราณกาลมา  ญี่ปุ่นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์  3 ชิ้นที่ยึดถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความถูกต้องแห่งพระราชอำนาจของพระจักรพรรดิ และยังเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้า  เรียกว่า  "สามเทวภัณฑ์" sanshu.gif (265 bytes) อันได้แก่  มณีทรงหยดน้ำยะซากะนิ  yasakani.gif (268 bytes) กระจกยาตะ yata.gif (189 bytes) และดาบคุซะนางิ kusanagi.gif (199 bytes)  ซึ่งทั้งหมดมีที่มาจากตำนานโคจิกิ  อันเป็นหนังสือที่เก่าแก่ที่สุดของ ญี่ปุ่น  ดังนี้  


มณียะซากะนิ (YASAKANI NO MAGATAMA) และกระจกยาตะ (YATA NO KAGAMI)

 
   ลักษณะของมณีแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่เรียกว่ามางะทามะนั้น  เป็นมณีรูปทรงโค้งคล้ายหยดน้ำหรือเหมือนเครื่องหมายจุลภาค ( , ) ทำด้วยหยก หินโมรา หรือหินมีค่าชนิดอื่น ๆ    เริ่มมีในสมัยยาโยย (ประมาณ 300 ปีก่อน ค.ศ - ค.ศ 300)

  คำ [ยะซากะนิ] สามารถแยกได้เป็น [ยะ] , [ซากะ] และ [นิ]    คำว่า [ยะ] เป็นภาษาโบราณหมายถึง 'จำนวนนับไม่ถ้วน' , [ซากะ] แปลตามตัวอักษร
หมายถึงหน่วยวัดความยาว "ชะคุ" ซึ่ง 1 ชะคุเทียบได้ประมาณ 30.03 เซ็นติเมตร  [นิ] แปลว่า 'มณี'   เมื่อทั้งสามคำมารวมกันก็จะหมายถึง มณีชิ้นใหญ่ที่ร้อยด้วยกันเป็นสายยาว  มักใช้เป็นเครื่องประดับคอ ทำด้วยหินมีค่า ทอง หรือ ดินเหนียว

ส่วนกระจกยาตะนั้น  กระจกโบราณทำด้วยทองเหลือง นิเกิล เหล็กหรือโลหะอื่น ๆ  บนผิวหน้าเป็นตะกั่วฉาบปรอท  ถือเป็นของมีค่ามาก เพราะเป็นที่เคารพนับถือในฐานะสัญลักษณ์แห่งเทวีอามาเทราสุ   คำว่า [ยาตะ] มาจากภาษาญี่ปุ่นโบราณ [ยะ-อาตะ] ซึ่ง [ยะ] ก็แปลว่า 'จำนวนนับไม่ถ้วน'  ส่วนคำ [อาตะ] เป็นหน่วยวัดความยาวโบราณ เทียบได้เท่ากับ "คืบ"  เมื่อรวมกันสองคำจะมีความหมายเชิงนัยว่า "ใหญ่โต"

k45.jpg (7012 bytes)

 สำหรับที่มานั้น ต้องกล่าวถึงตั้งแต่เริ่มต้นของตำนานโคจิกิ  คือ เทพอิซานางิและเทวีอิซานามิผู้สร้างเกาะญี่ปุ่น ได้ให้กำเนิดเทพมากมาย แต่มีเพียง 3 องค์ที่มีอำนาจเหนือเทพองค์อื่น ๆ คือ  เทวีอามาเทราสุ เป็นเทวีแห่งดวงอาทิตย์   เทพซึคุโยมิ เป็นเทพแห่งดวงจันทร์  และเทพซุซาโนโอะ เป็นเทพแห่งท้องทะเล  เมื่อเทวีอิซานามิได้สิ้นชีวิตลงจากการให้กำเนิดเทพแห่งไฟ  เทพซุซาโนโอะก็ได้แต่เศร้าโศกจนไม่เป็นอันปกครองท้องทะเล เกิดเภทภัยและความเดือดร้อนมากมาย  เทพอิซานางิจึงพิโรธในความอ่อนแอและขับไล่เทพซุซาโนโอะออกจากเมืองที่ปกครองอยู่  เทพซุซาโนโอะคิดไปอำลาพระภคินี ณ สวรรค์ทากะมางะฮาระ

แต่ด้วยความอัปลักษณ์และพละกำลังมหาศาลทำให้เป็นที่ตื่นกลัวจนสวรรค์อันเงียบสงบก็กลับวุ่นวาย  เทวีอามาเทราสุคิดว่าเทพซุซาโนโอะมา เพื่อแย่งชิงอำนาจจึงหลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำที่เรียกว่า  ถ้ำหินแห่งสรวงสวรรค์ (อาเมะโนะอิวาโตะ)  โลกจึงไร้ซึ่งแสงอาทิตย์เกิดความเดือดร้อนไปทั่ว ดังนั้นแล้วเทพทั้งหลายจึงมารวมตัวกัน  และวางแผนหาทางให้เทวีอามาเทราสุออกจากถ้ำ  โดยใช้มณียะซากะนิซึ่งร้อยเป็นสาย พร้อมด้วยกระจกยาตะร้อยอยู่ตรงกลาง แขวนไว้ที่กิ่งบนของต้นซากะคิ  ให้กระจกนั้นอยู่ตรงกิ่งกลาง แล้วยกต้นไม้มาตั้งไว้หน้าถ้ำที่พระนางซ่อนตัวอยู่  จากนั้นก็จัดให้มีการร้องรำเป็นที่สนุกสนานจนพระนางรู้สึกแปลกใจ  จึงแง้มประตูหินออกมาเล็กน้อย  เทพที่คอยอยู่หน้าถ้ำ รอจังหวะหันกระจกส่องไปยังร่างอันส่องประกายงดงามของพระนาง จนพระนางเข้าใจผิด  คิดว่ามีเทพองค์ใหม่ถือกำเนิดขึ้น จึงผลักประตูหินออกเพื่อดูหน้าให้ชัด ๆ  พอดีเทพแห่งพละกำลังก็รีบดึงข้อมือพระนางออกจากถ้ำอย่างรวดเร็ว

ส่วนเทพ องค์อื่น ๆ ก็ช่วยกันปิดประตูหินและขึงเชือกไว้ที่ปากถ้ำ เมื่อเทวีอามาเทราสุออกมาจากถ้ำหิน โลกที่มืดมิดมานานก็สว่างไสวดังเดิม  เทพทั้งหลายมีความเห็นว่า  เทพซุซาโนโอะเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายครั้งนี้  จึงจับตัดผมและเล็บแล้วขับไล่พระองค์ลงจากสวรรค์ให้ไปยังโลกมนุษย์  ส่วนมณียะซากะนิและกระจกยาตะนั้น เหล่าเทพก็ได้ถวายให้แก่เทวีอามาเทราสุในเวลาต่อมา

ดาบคุซะนางิ (KUSANAGI NO TSURUGI) หรือ
ดาบอาเมะโนะมุราคุโมะ(AMENOMURAKUMO NO TSURUGI)

อันคำว่าดาบหรือทสึรุงินั้น หมายถึงดาบที่มี 2 คมหรือกระบี่แบบจีน เรียกได้อีกอย่างว่า ตะจิ   ส่วนที่เรียกกันว่าดาบญี่ปุ่นนั้น เป็นดาบรูปโค้ง มีคมด้านเดียว เรียกว่า คะตะนะ   ข้อแตกต่างระหว่าง ตะจิ และ คาตะนะ คือ ตะจิ เป็นดาบยาวและมักมีที่ร้อยสายสะพายตรงฝักดาบ  นอกจากนี้เวลาสะพาย  คมดาบจะหันลงด้านล่าง ต่างจากคาตะนะซึ่งจะหันขึ้นด้านบน

ที่มาของดาบคุซะนางินั้นคือหลังจากเทพซุซาโนโอะถูกขับไล่ออกจากสวรรค์ทากะมางะฮาระมายังโลกมนุษย์แล้วพระองค์ได้เดินทางผ่านสถานที่
ต่าง ๆ  อย่างไร้จุดหมายจนกระทั่งมาถึงฮิคาวะ (ปัจจุบันคือแม่น้ำฮิอิ จังหวัดชิมาเนะ) ในแคว้นอิซุโมะ  เทพซุซาโนโอะเดินมาตามริมฝั่งแม่น้ำ 
แลเห็นตะเกียบลอยมาตามน้ำจึงเดินทวนแม่น้ำขึ้นไปหวังจะหาที่พักแรมก็ได้พบกับบ้านใหญ่โตงดงาม เมื่อพระองค์เปิดประตูเข้าไปก็เห็นหญิงงาม
กับพ่อแม่ที่แก่ชรากำลัง นั่งร้องไห้อยู่ภายในบ้าน  จึงเข้าไปสอบถามได้ความว่า ทุก ๆ ปีจะมีสัตว์ประหลาดชื่อ ยามาตะ โนะ โอโรจิ orochi.gif (233 bytes)
มาก่อความเดือดร้อนทั้งชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้าน  คนทรงบอกว่ามีวิธีที่ทำให้โอโรจิไม่มาก่อความวุ่นวายอีก คือ ในปีนี้จะต้องส่งเจ้าหญิงคุชินาดะ
ซึ่งเป็นลูกสาวเป็นเหยื่อสังเวยแก่โอโรจิ  ทั้งสามจึงเศร้าโศกเสียใจ

win28.gif (5887 bytes)

เทพซุซาโนโอะนึกชอบเจ้าหญิงจึงอาสาปราบยามาตะ โนะ โอโรจิ   ซึ่งกล่าวกันว่ามีรูปร่างเป็นงูใหญ่มีตาสีแดงเหมือนผลโฮโอซุคิ (ผลไม้คล้ายผลเชอรี่แต่กินไม่ได้)  มีหนี่งร่างแต่มีแปดหัวและแปดหาง  บนลำตัวมีตะไคร่ ต้นสน ต้นซีดาร์และอื่น ๆ ขึ้นอยู่เต็ม  มีความยาวแทบจะโอบล้อมภูเขาและหุบเขาได้ 8 ลูก เริ่มแรกเทพซุซาโนโอะใช้อำนาจแปลงตัวเจ้าหญิงคุชินาดะให้กลายเป็นหวีเล็ก ๆ เสียบไว้กับผมของตน  แล้วสั่งให้พ่อแม่ของเจ้าหญิงกลั่นเหล้าแรง ๆ ไว้ พร้อมกับทำรั้วยาวที่มีช่อง 8 ช่อง และให้ตั้งภาชนะใส่เหล้าไว้หน้าช่องที่รั้วนั้นจนครบ  เมื่อโอโรจิปรากฎตัวและได้กลิ่นเหล้าก็มุ่งไปยังรั้ว แล้วสอดหัวทั้งแปดเข้าไปดื่มเหล้าที่แต่ละช่อง  สุดท้ายก็เมามายจนค่อย ๆ ฟุบหลับไปทีละหัวจนครบทั้งแปดหัว   หลังจากนั้นเทพซุซาโนโอะก็ใช้ดาบฟันหัวทั้งแปดของโอโรจิได้อย่างง่ายดาย

แต่แม้ว่าหัวทั้งแปดนั้นขาดไปแล้วก็ตาม  หางทั้งแปดก็ยังขยับได้อยู่  เทพซุซาโนโอะจึงฟันหางโอโรจิทีละหาง จนเมื่อถึงหางสุดท้ายก็ฟันไม่เข้า และรู้สึกว่ามีบางอย่างอยู่ภายในจึงแหวะหางออกดู ก็พบดาบงดงามเล่มหนี่ง ให้ชื่อว่า ดาบอาเมะโนะมุราคุโมะ ameno.gif (223 bytes) ซึ่งภายหลังก็นำไปถวายแก่เทวีอามาเทราสุ

เมื่อฆ่าโอโรจิได้แล้ว  เทพซุซาโนโอะก็อภิเศกกับเจ้าหญิงคุชินาดะและกลายเป็นบรรพบุรุษของเหล่าเทพในอิซุโมะในเวลาต่อมา
ดาบอาเมะโนะมุราคุโมะนี้ ได้ชื่อมาเพราะสถานที่ที่ยามาตะ โนะ โอโรจิปรากฎตัว จะมีหมอกปกคลุมอยู่เสมอ (มุราคุโมะ=หมอกหนา)  ต่อมาได้ชื่อว่าดาบคุซะนางิ  เมื่อเจ้าชายยามาโตะทาเครุใช้ดาบนี้ปราบหญ้าเป็นทาง เพื่อหลบหนีจากวงล้อมเพลิงของศัตรู   (คุซะนางิ=ปราบหญ้า,ดายหญ้า)  เป็นชื่อที่นิยมเรียกกันมากกว่าชื่อแรก

 ตำนานโคจิกิและนิฮอนโชคิกล่าวว่า  เทวีอามาเทราสุ ผู้ปกครองสูงสุดแห่งสวรรค์ทากะมางะฮาระได้มอบ  มณียะซากะนิ กระจกยาตะ และดาบคุซะนางิ แก่เจ้าชายนินิงิซึ่งจะเสด็จจากสรวงสวรรค์ลงไปปกครองยามาโตะ (ญี่ปุ่น)  เรียกกันว่า  "การจุติแห่งพระราชนัดดา (หลาน)"  เทวภัณฑ์ทั้งสามชิ้นนี้ถูกส่งมอบแก่พระจักรพรรดิต่อ ๆ กันมา  จนถึงรัชสมัยของจักรพรรดิองค์ที่ 10 คือ จักรพรรดิซุยนิน  มีการทำดาบและกระจกจำลองให้เป็นของพระจักรพรรดิ  ส่วนของจริงให้นำไปบูชาที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำอิซุซุในแคว้นอิเสะ  (ปัจจุบันคือ ศาลเจ้าอิเสะในเทศบาลนครอิเสะ จังหวัดมิเอะ)  ต่อมาดาบจริงก็ถูกย้ายไปบูชาที่ศาลเจ้าเน็ทสึดะที่แคว้นโอวาริ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตอัทสึตะ เทศบาลนครนาโงยะ   จังหวัดไอจิ  สำหรับมณีของจริงนั้น  ถูกเก็บรักษาไว้ในพระราชวังหลวง เคียงคู่กับดาบและกระจกจำลอง

ในปีบุนจิที่หนี่ง  (ค.ศ. 1185)  ดาบจำลองได้หายสาบสูญไป  กล่าวกันว่าได้จมลงก้นทะเลพร้อมกับจักรพรรดิอันโทคุ เมื่อพระองค์ทรงปลงพระชนม์ที่อ่าวดันโนะอุระ (ปัจจุบันคือตำบลโตโยอุระ จังหวัดยามางุจิ) ซึ่งเป็นสมรภูมิสงครามทางทะเลครั้งสุดท้ายของศึกเก็นเป ระหว่างตระกูลไทระและมินาโมโตะ  และได้มีการทำดาบจำลองอันที่สองขึ้นในเวลาต่อมา

ปัจจุบัน  กระจกจำลองซึ่งถูกไฟไหม้มาถึง 3 ครั้ง ถูกนำไปตั้งไว้ที่  "สถานแห่งความเกรงขาม" (KA SHIKODOKORO) ซึ่งเป็นหนึ่งในศาลเจ้าหลวง  ส่วนมณีของจริงกับดาบจำลองอันที่สองได้ตั้งไว้ที่ห้องพิเศษ ของวัง เรียกว่า "ห้องแห่งพระมณีและพระแสงดาบ" (KENJI NO MA)   นอกจากนี้ยังยึดถือกันว่า การเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระจักรพรรดิองค์ใหม่จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อทรงเข้าร่วมพระราชพิธีสืบทอดพระมณีและ
พระแสงดาบจำลอง เรียกว่า "KENJI TOGYO NO GI" ซึ่งเป็นพระราชพิธีแบบชินโตที่สำคัญที่สุดในพระราชพิธีราชาภิเศก

k155.gif (10889 bytes)

ใน KOF  ตระกูลคุซานางิ เป็นผู้รักษาดาบคุซานางิ  ตระกูลยางามิ เป็นผู้รักษามณียาซากะนิ  และตระกูลคางุระ เป็นผู้รักษากระจกยาตะ  ส่วนที่ว่ากลุ่มโอโรจิทั้งแปดซึ่งได้แก่ ริวจิ ยามาซากิ, เกนิซ ,ไวซ์, มาชัว, คริส, เชลมี่, ยาชิโร่ และรวมถึงเลโอน่าด้วย นั้นรับบทเป็นศัตรูของทั้งสาม


back1_b.gif (9867 bytes)