REPORT 3 ตำนานสามเทวภัณฑ์
สามเทวภัณฑ์ (SANSHU NO JINGI) โดย Konru
แฟน ๆ เกม KOF คงรู้กันดีว่า ในเนื้อเรื่องของเกม ถ้านำคุซานางิ เคียว, ยางามิ อิโอริ, คางุระ จิซึรุ มาจับกลุ่มเข้าทีมแล้ว จะกลายเป็น "ทีมสามเทวภัณฑ์" ซึ่งจะมีฉากจบแบบพิเศษให้ คุณทราบหรือไม่ว่า "สามเทวภัณฑ์" นั้นหมายถึงอะไรบ้าง
ตั้งแต่โบราณกาลมา
ญี่ปุ่นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 3
ชิ้นที่ยึดถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความถูกต้องแห่งพระราชอำนาจของพระจักรพรรดิ
และยังเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้า
เรียกว่า "สามเทวภัณฑ์"
อันได้แก่
มณีทรงหยดน้ำยะซากะนิ
กระจกยาตะ
และดาบคุซะนางิ
ซึ่งทั้งหมดมีที่มาจากตำนานโคจิกิ
อันเป็นหนังสือที่เก่าแก่ที่สุดของ
ญี่ปุ่น ดังนี้
มณียะซากะนิ (YASAKANI NO MAGATAMA)
และกระจกยาตะ (YATA NO KAGAMI)
ลักษณะของมณีแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่เรียกว่ามางะทามะนั้น
เป็นมณีรูปทรงโค้งคล้ายหยดน้ำหรือเหมือนเครื่องหมายจุลภาค
( , ) ทำด้วยหยก หินโมรา
หรือหินมีค่าชนิดอื่น ๆ
เริ่มมีในสมัยยาโยย (ประมาณ 300
ปีก่อน ค.ศ - ค.ศ 300)
คำ [ยะซากะนิ] สามารถแยกได้เป็น
[ยะ] , [ซากะ] และ [นิ] คำว่า [ยะ]
เป็นภาษาโบราณหมายถึง
'จำนวนนับไม่ถ้วน' , [ซากะ]
แปลตามตัวอักษร
หมายถึงหน่วยวัดความยาว
"ชะคุ" ซึ่ง 1
ชะคุเทียบได้ประมาณ 30.03
เซ็นติเมตร [นิ] แปลว่า 'มณี'
เมื่อทั้งสามคำมารวมกันก็จะหมายถึง
มณีชิ้นใหญ่ที่ร้อยด้วยกันเป็นสายยาว
มักใช้เป็นเครื่องประดับคอ
ทำด้วยหินมีค่า ทอง หรือ
ดินเหนียว
ส่วนกระจกยาตะนั้น
กระจกโบราณทำด้วยทองเหลือง
นิเกิล เหล็กหรือโลหะอื่น ๆ
บนผิวหน้าเป็นตะกั่วฉาบปรอท
ถือเป็นของมีค่ามาก
เพราะเป็นที่เคารพนับถือในฐานะสัญลักษณ์แห่งเทวีอามาเทราสุ
คำว่า [ยาตะ]
มาจากภาษาญี่ปุ่นโบราณ [ยะ-อาตะ]
ซึ่ง [ยะ] ก็แปลว่า
'จำนวนนับไม่ถ้วน' ส่วนคำ [อาตะ]
เป็นหน่วยวัดความยาวโบราณ
เทียบได้เท่ากับ "คืบ"
เมื่อรวมกันสองคำจะมีความหมายเชิงนัยว่า
"ใหญ่โต"
สำหรับที่มานั้น
ต้องกล่าวถึงตั้งแต่เริ่มต้นของตำนานโคจิกิ
คือ
เทพอิซานางิและเทวีอิซานามิผู้สร้างเกาะญี่ปุ่น
ได้ให้กำเนิดเทพมากมาย
แต่มีเพียง 3
องค์ที่มีอำนาจเหนือเทพองค์อื่น
ๆ คือ เทวีอามาเทราสุ
เป็นเทวีแห่งดวงอาทิตย์
เทพซึคุโยมิ
เป็นเทพแห่งดวงจันทร์
และเทพซุซาโนโอะ
เป็นเทพแห่งท้องทะเล
เมื่อเทวีอิซานามิได้สิ้นชีวิตลงจากการให้กำเนิดเทพแห่งไฟ
เทพซุซาโนโอะก็ได้แต่เศร้าโศกจนไม่เป็นอันปกครองท้องทะเล
เกิดเภทภัยและความเดือดร้อนมากมาย
เทพอิซานางิจึงพิโรธในความอ่อนแอและขับไล่เทพซุซาโนโอะออกจากเมืองที่ปกครองอยู่
เทพซุซาโนโอะคิดไปอำลาพระภคินี
ณ สวรรค์ทากะมางะฮาระ
แต่ด้วยความอัปลักษณ์และพละกำลังมหาศาลทำให้เป็นที่ตื่นกลัวจนสวรรค์อันเงียบสงบก็กลับวุ่นวาย
เทวีอามาเทราสุคิดว่าเทพซุซาโนโอะมา
เพื่อแย่งชิงอำนาจจึงหลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำที่เรียกว่า
ถ้ำหินแห่งสรวงสวรรค์
(อาเมะโนะอิวาโตะ)
โลกจึงไร้ซึ่งแสงอาทิตย์เกิดความเดือดร้อนไปทั่ว
ดังนั้นแล้วเทพทั้งหลายจึงมารวมตัวกัน
และวางแผนหาทางให้เทวีอามาเทราสุออกจากถ้ำ โดยใช้มณียะซากะนิซึ่งร้อยเป็นสาย
พร้อมด้วยกระจกยาตะร้อยอยู่ตรงกลาง
แขวนไว้ที่กิ่งบนของต้นซากะคิ
ให้กระจกนั้นอยู่ตรงกิ่งกลาง
แล้วยกต้นไม้มาตั้งไว้หน้าถ้ำที่พระนางซ่อนตัวอยู่
จากนั้นก็จัดให้มีการร้องรำเป็นที่สนุกสนานจนพระนางรู้สึกแปลกใจ
จึงแง้มประตูหินออกมาเล็กน้อย
เทพที่คอยอยู่หน้าถ้ำ
รอจังหวะหันกระจกส่องไปยังร่างอันส่องประกายงดงามของพระนาง
จนพระนางเข้าใจผิด
คิดว่ามีเทพองค์ใหม่ถือกำเนิดขึ้น
จึงผลักประตูหินออกเพื่อดูหน้าให้ชัด
ๆ
พอดีเทพแห่งพละกำลังก็รีบดึงข้อมือพระนางออกจากถ้ำอย่างรวดเร็ว
ส่วนเทพ องค์อื่น ๆ
ก็ช่วยกันปิดประตูหินและขึงเชือกไว้ที่ปากถ้ำ
เมื่อเทวีอามาเทราสุออกมาจากถ้ำหิน
โลกที่มืดมิดมานานก็สว่างไสวดังเดิม
เทพทั้งหลายมีความเห็นว่า
เทพซุซาโนโอะเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายครั้งนี้
จึงจับตัดผมและเล็บแล้วขับไล่พระองค์ลงจากสวรรค์ให้ไปยังโลกมนุษย์
ส่วนมณียะซากะนิและกระจกยาตะนั้น
เหล่าเทพก็ได้ถวายให้แก่เทวีอามาเทราสุในเวลาต่อมา
ดาบคุซะนางิ
(KUSANAGI NO TSURUGI) หรือ
ดาบอาเมะโนะมุราคุโมะ(AMENOMURAKUMO
NO TSURUGI)
อันคำว่าดาบหรือทสึรุงินั้น
หมายถึงดาบที่มี 2
คมหรือกระบี่แบบจีน
เรียกได้อีกอย่างว่า ตะจิ
ส่วนที่เรียกกันว่าดาบญี่ปุ่นนั้น
เป็นดาบรูปโค้ง มีคมด้านเดียว
เรียกว่า คะตะนะ
ข้อแตกต่างระหว่าง ตะจิ และ
คาตะนะ คือ ตะจิ
เป็นดาบยาวและมักมีที่ร้อยสายสะพายตรงฝักดาบ
นอกจากนี้เวลาสะพาย
คมดาบจะหันลงด้านล่าง
ต่างจากคาตะนะซึ่งจะหันขึ้นด้านบน
ที่มาของดาบคุซะนางินั้นคือหลังจากเทพซุซาโนโอะถูกขับไล่ออกจากสวรรค์ทากะมางะฮาระมายังโลกมนุษย์แล้วพระองค์ได้เดินทางผ่านสถานที่
ต่าง ๆ
อย่างไร้จุดหมายจนกระทั่งมาถึงฮิคาวะ
(ปัจจุบันคือแม่น้ำฮิอิ
จังหวัดชิมาเนะ)
ในแคว้นอิซุโมะ
เทพซุซาโนโอะเดินมาตามริมฝั่งแม่น้ำ
แลเห็นตะเกียบลอยมาตามน้ำจึงเดินทวนแม่น้ำขึ้นไปหวังจะหาที่พักแรมก็ได้พบกับบ้านใหญ่โตงดงาม เมื่อพระองค์เปิดประตูเข้าไปก็เห็นหญิงงาม
กับพ่อแม่ที่แก่ชรากำลัง
นั่งร้องไห้อยู่ภายในบ้าน
จึงเข้าไปสอบถามได้ความว่า ทุก ๆ
ปีจะมีสัตว์ประหลาดชื่อ ยามาตะ
โนะ โอโรจิ
มาก่อความเดือดร้อนทั้งชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้าน
คนทรงบอกว่ามีวิธีที่ทำให้โอโรจิไม่มาก่อความวุ่นวายอีก
คือ
ในปีนี้จะต้องส่งเจ้าหญิงคุชินาดะ
ซึ่งเป็นลูกสาวเป็นเหยื่อสังเวยแก่โอโรจิ
ทั้งสามจึงเศร้าโศกเสียใจ
เทพซุซาโนโอะนึกชอบเจ้าหญิงจึงอาสาปราบยามาตะ
โนะ โอโรจิ
ซึ่งกล่าวกันว่ามีรูปร่างเป็นงูใหญ่มีตาสีแดงเหมือนผลโฮโอซุคิ
(ผลไม้คล้ายผลเชอรี่แต่กินไม่ได้)
มีหนี่งร่างแต่มีแปดหัวและแปดหาง
บนลำตัวมีตะไคร่ ต้นสน
ต้นซีดาร์และอื่น ๆ
ขึ้นอยู่เต็ม
มีความยาวแทบจะโอบล้อมภูเขาและหุบเขาได้
8 ลูก
เริ่มแรกเทพซุซาโนโอะใช้อำนาจแปลงตัวเจ้าหญิงคุชินาดะให้กลายเป็นหวีเล็ก
ๆ เสียบไว้กับผมของตน
แล้วสั่งให้พ่อแม่ของเจ้าหญิงกลั่นเหล้าแรง
ๆ ไว้
พร้อมกับทำรั้วยาวที่มีช่อง 8
ช่อง
และให้ตั้งภาชนะใส่เหล้าไว้หน้าช่องที่รั้วนั้นจนครบ
เมื่อโอโรจิปรากฎตัวและได้กลิ่นเหล้าก็มุ่งไปยังรั้ว
แล้วสอดหัวทั้งแปดเข้าไปดื่มเหล้าที่แต่ละช่อง
สุดท้ายก็เมามายจนค่อย ๆ
ฟุบหลับไปทีละหัวจนครบทั้งแปดหัว
หลังจากนั้นเทพซุซาโนโอะก็ใช้ดาบฟันหัวทั้งแปดของโอโรจิได้อย่างง่ายดาย
แต่แม้ว่าหัวทั้งแปดนั้นขาดไปแล้วก็ตาม
หางทั้งแปดก็ยังขยับได้อยู่
เทพซุซาโนโอะจึงฟันหางโอโรจิทีละหาง
จนเมื่อถึงหางสุดท้ายก็ฟันไม่เข้า
และรู้สึกว่ามีบางอย่างอยู่ภายในจึงแหวะหางออกดู
ก็พบดาบงดงามเล่มหนี่ง
ให้ชื่อว่า
ดาบอาเมะโนะมุราคุโมะ
ซึ่งภายหลังก็นำไปถวายแก่เทวีอามาเทราสุ
เมื่อฆ่าโอโรจิได้แล้ว
เทพซุซาโนโอะก็อภิเศกกับเจ้าหญิงคุชินาดะและกลายเป็นบรรพบุรุษของเหล่าเทพในอิซุโมะในเวลาต่อมา
ดาบอาเมะโนะมุราคุโมะนี้
ได้ชื่อมาเพราะสถานที่ที่ยามาตะ
โนะ โอโรจิปรากฎตัว
จะมีหมอกปกคลุมอยู่เสมอ
(มุราคุโมะ=หมอกหนา)
ต่อมาได้ชื่อว่าดาบคุซะนางิ
เมื่อเจ้าชายยามาโตะทาเครุใช้ดาบนี้ปราบหญ้าเป็นทาง
เพื่อหลบหนีจากวงล้อมเพลิงของศัตรู
(คุซะนางิ=ปราบหญ้า,ดายหญ้า)
เป็นชื่อที่นิยมเรียกกันมากกว่าชื่อแรก
ตำนานโคจิกิและนิฮอนโชคิกล่าวว่า
เทวีอามาเทราสุ
ผู้ปกครองสูงสุดแห่งสวรรค์ทากะมางะฮาระได้มอบ
มณียะซากะนิ กระจกยาตะ
และดาบคุซะนางิ
แก่เจ้าชายนินิงิซึ่งจะเสด็จจากสรวงสวรรค์ลงไปปกครองยามาโตะ
(ญี่ปุ่น) เรียกกันว่า
"การจุติแห่งพระราชนัดดา
(หลาน)"
เทวภัณฑ์ทั้งสามชิ้นนี้ถูกส่งมอบแก่พระจักรพรรดิต่อ
ๆ กันมา
จนถึงรัชสมัยของจักรพรรดิองค์ที่
10 คือ จักรพรรดิซุยนิน
มีการทำดาบและกระจกจำลองให้เป็นของพระจักรพรรดิ
ส่วนของจริงให้นำไปบูชาที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำอิซุซุในแคว้นอิเสะ
(ปัจจุบันคือ
ศาลเจ้าอิเสะในเทศบาลนครอิเสะ
จังหวัดมิเอะ)
ต่อมาดาบจริงก็ถูกย้ายไปบูชาที่ศาลเจ้าเน็ทสึดะที่แคว้นโอวาริ
ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตอัทสึตะ
เทศบาลนครนาโงยะ
จังหวัดไอจิ
สำหรับมณีของจริงนั้น
ถูกเก็บรักษาไว้ในพระราชวังหลวง
เคียงคู่กับดาบและกระจกจำลอง
ในปีบุนจิที่หนี่ง (ค.ศ. 1185)
ดาบจำลองได้หายสาบสูญไป
กล่าวกันว่าได้จมลงก้นทะเลพร้อมกับจักรพรรดิอันโทคุ
เมื่อพระองค์ทรงปลงพระชนม์ที่อ่าวดันโนะอุระ
(ปัจจุบันคือตำบลโตโยอุระ
จังหวัดยามางุจิ)
ซึ่งเป็นสมรภูมิสงครามทางทะเลครั้งสุดท้ายของศึกเก็นเป
ระหว่างตระกูลไทระและมินาโมโตะ
และได้มีการทำดาบจำลองอันที่สองขึ้นในเวลาต่อมา
ปัจจุบัน
กระจกจำลองซึ่งถูกไฟไหม้มาถึง 3
ครั้ง ถูกนำไปตั้งไว้ที่
"สถานแห่งความเกรงขาม" (KA SHIKODOKORO)
ซึ่งเป็นหนึ่งในศาลเจ้าหลวง
ส่วนมณีของจริงกับดาบจำลองอันที่สองได้ตั้งไว้ที่ห้องพิเศษ
ของวัง เรียกว่า
"ห้องแห่งพระมณีและพระแสงดาบ"
(KENJI NO MA)
นอกจากนี้ยังยึดถือกันว่า การเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระจักรพรรดิองค์ใหม่จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อทรงเข้าร่วมพระราชพิธีสืบทอดพระมณีและ
พระแสงดาบจำลอง เรียกว่า "KENJI TOGYO NO
GI"
ซึ่งเป็นพระราชพิธีแบบชินโตที่สำคัญที่สุดในพระราชพิธีราชาภิเศก
ใน KOF ตระกูลคุซานางิ เป็นผู้รักษาดาบคุซานางิ ตระกูลยางามิ เป็นผู้รักษามณียาซากะนิ และตระกูลคางุระ เป็นผู้รักษากระจกยาตะ ส่วนที่ว่ากลุ่มโอโรจิทั้งแปดซึ่งได้แก่ ริวจิ ยามาซากิ, เกนิซ ,ไวซ์, มาชัว, คริส, เชลมี่, ยาชิโร่ และรวมถึงเลโอน่าด้วย นั้นรับบทเป็นศัตรูของทั้งสาม