ชมเกาะรัตนโกสินทร์ยามราตี
เรื่อง ภาพ โดย คุณอภินันท์ บัวหภักดี


เป็นดำริของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่จะให้พิธีเปิดปีท่องเที่ยวไทย 2541 AMAZING THAILAND ในวันที่ 27 ธันวาคม 2540 เวลา 16.00 น. เป็นความยิ่งใหญ่แบบประหยัด จึงให้ขบวนนำพิธีเปิดเป็นขบวน ECOTOURISM ที่แสดงออกด้วยขบวนจักรยานท่องเที่ยว ซึ่งเมื่อผ่านขั้นตอนการคิดค้นทั้งหลายเรียบร้อยแล้วก็แปรรูปออกมาเป็น ขบวนจักรยานขนาดใหญ่ที่จะมีจักรยานประเภทต่าง ๆ เข้าร่วมขบวนมากกว่า ๕๐๐ คัน จะเป็นการรวมพลังชาวจักรยานเป็นขบวนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเป็นครั้งแรก
และไม่เพียงจะมาขี่จักรยานเฉลิมฉลองกันเฉยๆ เท่านั้น หากจักรยานทุกคันจะมาช่วยกันทำหน้าที่รณรงค์ " กินอยู่ประหยัด รัดเข็มขัดประเทศไทย " ด้วย และเมื่อจบพิธีเปิดดังกล่าวแล้วในช่วงกลางคืน ขบวนจักรยานขบวนนี้จะพากันออกเดินทางไปรอบกาะรัตนโกสินทร์เพื่อ " ชมเกาะรัตนโกสินทร์ยามราตรี " โดยเฉพาะความสวยงามอลังการของโบราณสถานต่างๆในเกาะรัตนโกสินทร์ ที่ ททท.ทุ่มทุนมหาศาลจัดสร้างไฟฟ้าส่องสว่างไว้ในปีก่อนๆ เป็นการลองเชิงก่อนที่จะมีการเปิดรายการทัวร์นำร่อง " ทัวร์จักรยานชมเกาะรัตนโกสินทร์ยามราตรี " ทุกคืนตั้งแต่วันที่ ๒๙ ธันวาคม - ๔ มกราคม เสนอขายแก่สาธารณชน เป็นการจัดทัวร์จักรยานภาคกลางคืนอย่างเป็นกิจลักษณะเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

ปฐมบทแห่งขบวนจักรยาน
AMAZING THAILAND

และนั่นคือการสร้างประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งในเมืองไทย รายการขี่จักรยานท่องเที่ยวเกาะรัตนโกสินทร์ยามราตรี ที่ทีมจักรยาน อสท. จึงต้องเดินทางไปทำการสำรวจเส้นทางเกาะรัตนโกสินทร์กันเสียก่อนเพื่อที่เมื่อมีการเดินทางกันของขบวนใหญ่จริง ๆแล้วขบวนจะได้มีทิศทางไปที่แน่นอนไม่วุ่นวายสับสน และจะได้ชมสิ่งดี ๆ ของเกาะรัตนโกสินทร์กันให้ถ้วนทั่ว เราตั้งใจกันถึงขนาดที่ว่า หากเราได้เส้นทางท่องเที่ยวเกาะรัตนโกสินทร์ในยามราตรีที่เหมาะสมแล้ว เราจะจัดรายการทำทัวร์นำร่องขายแก่สาธารณชนที่สนใจในวันดังกล่าว หากประสบความสำเร็จบริษัททัวร์จักรยานอื่น ๆ ก็อาจจะจัดตามกันต่อไปก็ได้ หากไม่ประสบความสำเร็จเราก็เจ็บตัวไปก่อนคนเดียว ด้วยเหตุนี้ ทีมสำรวจจึงถูกจัดตั้งขึ้นด้วยความร่วมมือกันหลายฝ่าย โดยมี อสท.เป็นแกนหลัก และทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มต้นขึ้นจากแผนที่เกาะรัตนโกสินทร์แผ่นเล็ก ๆ ในมือของเราในเย็นวันหนึ่ง ด้วยการขี่จักรยานสำรวจขั้นแรกของทีมงานที่คุ้นเคยกัน แผนการเดินทางขั้นแรกถูกค้นคิดและวาดลงในกระดาษและแปรรูปออกเป็นการเดินทางของขบวนจักรยาน ๔ - ๕ คัน ที่ดันออกมาเริ่มขี่กันในตอนกลางคืนวันพุธ ตอนแรกนึกว่าการจราจรในวันนี้จะเบาบาง แต่ที่สะพานผ่านฟ้าจุดเริ่มต้นในการเดินทาง พอเริ่มออกก็เจออุปสรรคเสียแล้ว
สมาชิกในการเดินทางของเราคราวนี้ได้แก่ผมกับเจ้าชาเลนเจอร์สีฟ้าคันเก่ง พี่ตุ๋ย วิวัฒน์ สงสะเสน ตัวแทนจากชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย คุณติ๊ด สิทธิพร ขุทรานนท์ จากบริษัทโตชิบา คุณพิพัฒน์ เจ้าของบริษัทปุ๋ยที่กำลังจะเป็นปุ๋ยเพราะเงินบาทขาดสภาพคล่อง น้องต้นสาวน้อยเพิ่งจบมหาวิทยาลัย ทั้งนี้โดยมีคุณนพดล กันบัว และคุณเกรียงไกร ไวยกิจ สองใน ๕๐ ช่างภาพยอดเยี่ยมในหนังสือราชอาณาจักรไทยเป็นช่างภาพติดสอยห้อยตามไปด้วย

บนถนนราชดำเนินนอก ตั้งแต่หน้ากระทรวงคมนาคมรถราติดกันแน่นขนัด แต่คณะของเราผ่านไปได้สบาย ๆ ด้วยช่องว่างแคบๆระหว่างรถติดที่เหลืออยู่ ที่ตรงแยกมุมถนนนครสวรรค์รถมอเตอร์ไซด์จำนวนมากมายหลายสิบคันเข้าไปเรียงปึกกันแน่นขนัด หลายคันที่มองซ้ายขวาพอเห็นไม่มีตำรวจและไม่มีรถขวางทางก็แล่นฝ่าไฟแดงออกไปเฉย ๆ เล่นเอามอเตอร์ไซด์อีกหลายคันฝ่าไฟแดงตามติดกันออกไปเป็นพรวน นี่แหละนะ นิสัยคนไทย

สักพักเดียวพอไฟเขียวขึ้น รถมอเตอร์ไซด์ทั้งปึกเร่งเครื่องกันดังกระหึ่ม ควันขาวตลบจนเราต้องจอดจักรยานรอให้ควันจาง แล้วค่อยออกจักรยานไปท่ามกลางกลิ่นเหม็นแปลก ๆ นี่แหละครับ กรุงเทพเมืองฟ้าอมร ใน พ.ศ.นี้ของเรา ที่ ณ วันนี้ได้ขึ้นอันดับหนึ่งเมืองที่มีควันพิษผสมอยู่ในอากาศมากที่สุดในโลกไปแล้ว ถ้าขืน กทม.ของเรายังเป็นอยู่อย่างนี้ ไม่ว่า ททท.จะเร่งรณรงค์กันอย่างเข้มแข็งปานใด ก็อย่าหวังหรือฝันหวานว่าจะได้ผลลัพธ์ผลที่น่าพอใจ ยิ่งชาวต่างประเทศมาเที่ยวเมืองไทยกันมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีพยานมายืนยันว่าบ้านเรานั้นมีควันพิษหนาแน่นมากขึ้นเท่านั้น

จากสะพานผ่านฟ้าฯ จักรยานของเราผ่านเข้าไปที่ถนนราชดำเนินกลาง ตรงลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ที่ตรงนั้นประดับไฟฟ้าไว้อย่างสวยงาม มีผู้คนมานั่งพักผ่อนกันมากหน้าหลายตา ฟากตรงข้ามด้านหนึ่งคือภูเขาทองและป้อมมหากาฬประดับไฟสวยงาม อีกฟากหนึ่งคือโลหะปราสาทสัญญลักษณ์อันสวยงามของประเทศไทยอีกอย่างหนึ่ง เราตกลงกันว่าที่ตรงนี้จะเป็นจุดพักแรกของขบวนจักรยานอันยิ่งใหญ่ของเรา

ทุกสิ่งทุกอย่างดูงดงามยิ่งจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อแหงนมองขึ้นไปให้คอตั้งบ่า ทั้งภูเขาทอง ป้อมมหากาฬ โลหะปราสาท และโดยเฉพาะในช่วงสิ้นปีที่ไฟประดับจากวันเฉลิมพระชนมพรรษายังไม่รื้อถอนไปเช่นนี้ แต่ถ้ามองตรงออกไปในระดับสายตาภาพที่เห็นก็จะให้ความรู้สึกที่เป็นตรงกันข้าม เพราะภาพนั้นก็คือภาพรถติดแน่นขนัด ภาพคนที่ยืนเบื่อหน่ายบนรถเมล์ และภาพคนที่นั่งเซ็งอยู่ในรถติด ไม่เพียงแค่นั้นอากาศที่ตรงนี้ยังย่ำแย่มากด้วย จมูกของเราสูดได้กลิ่นเปรี้ยวที่อึดอัดของควันรถ ฝุ่นละอองในอากาศ จมูกเริ่มคันเต็มทีจนต้องหาที่หลบ

คณะของเราหลบรถยนต์ขึ้นไปขี่ดูรถติดบนบาทวิถี บนนี้รถไม่ติดแล้ว แต่ผู้คนมากมายที่รอรถเมล์อยู่ที่ป้ายก็ดูหน้าตาเหนื่อยหน่าย นี่ดีนะที่ กรุงเทพมหานคร มีบริการเรือในคลองแสนแสบช่วยแบ่งเบาปัญหาการขนส่งผู้คนไปได้บ้าง เราเคยใช้บริการเรือนี้หลายครั้งรวดเร็วดีมากแถมยังเจริญหูเจริญตา เพราะคนที่มาลงเรือจำนวนมากเป็นสาวออฟฟิศที่นุ่งกระโปรงสั้น เวลาก้าวขึ้นเรือหรือลงเรือ กระโปรงสั้นๆเหล่านั้นก็ยิ่งสั้นเข้าไปอีก ทำให้คนแก่อย่างผมกระชุ่มกระชวยขึ้นอีกเป็นกอง
คณะของเราหลายคนเพิ่งกลับจากไปขี่จักรยานที่ประเทศเยอรมันมาครับ ที่โน่น ผู้คนนอกจากใช้รถใต้ดินแล้วเขาก็ใช้รถจักรยานในชีวิตประจำวันกันมาก เมืองใหญ่ๆกว่า กทม.อย่างเมือง
แฟรงค์เฟิร์ต ในเมืองไม่มีรถติดเลย ไปไหนก็มีรถจักรยานแล่นกันขวักไขว่ จักรยานสมัยนี้ก็ไม่ได้วิ่งช้า ยิ่งถ้ารถติดแบบกรุงเทพฯจักรยานไปได้เร็วกว่ารถยนต์เสียอีก ผมเคยขี่จักรยานแข่งกับรถยนต์มาแล้วจาก ททท.ราชดำเนินไปบางกะปิ จักรยานไปถึงก่อนนานตั้งชั่วโมงทีเดียว ( ห้ามรถขึ้นทางด่วน )
เดี๋ยวนี้ในโลกที่เจริญแล้ว เขาพยายามลดการใช้รถยนต์กันทุกรูปแบบ วิศวกรญี่ปุ่นคนหนึ่ง ได้คำณวนว่า ในสงครามนิวเคลียร์คราวต่อไป สงครามจะผลิตก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ หรือ NOX ออกมาถึง ๓๒ ล้านตัน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็คำณวนว่ารถยนต์ที่วิ่งไปมาบนพื้นโลกทุกวันนี้ได้ผลิต NOX ออกมาถึงปีละ๗.๔ ล้านตัน ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ถ้ารถยนต์เหล่านี้ปล่อยควันพิษรวมกันได้สัก ๔ ปี รถยนต์ก็จะปล่อยก๊าซออกมาเท่ากับสงครามนิวเคลีย์ล้างโลกเลยทีเดียว

แม้แต่ธนาคารโลกซึ่งในอดีตเป็นตัวตั้งตัวตีในการให้กู้เงินไปสร้างถนนหนทาง สร้างทางด่วนลอยฟ้า ทางใต้ดิน ปัจจุบันก็มีนโยบายหันมาส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า NMT หรือ NON MOTORIZE TRANSPORTATION อันหมายถึงการเดิน การใช้จักรยาน หรือล้อเลื่อนลากด้วยสัตว์ ไม่ใช้เครื่องยนต์ บางคนอาจจะนึกว่าทำไมโลกจึงถอยหลังเข้าคลองไปอีก ซึ่งผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์เศรษฐกิจของธนาคารโลกได้วิเคราะห์อย่างครบวัฏจักรชีวิต ( LIFE CYCLE ANALYSIS ) แล้วพบว่าการคมนาคมขนส่ง เมื่อมีการนำเอาเรื่องสิ่งแวดล้อมมาคิดเป็นต้นทุนด้วยแล้ว ผลก็คือการขนส่งแบบ NMT นี้คุ้มทุนกว่าแบบใช้เครื่องยนต์เยอะ และปัจจุบันธนาคารโลกก็ปล่อยกู้ในเรื่อง NMT นี้ไปแล้วหลายโครงการ
อย่างนี้แล้วท่านผู้ว่า กทม. ก็น่าจะไปลองใช้บริการนี้จากธนาคารโลกดูบ้าง สร้างทางจักรยานสู้เขาสักหน่อย รับรองครับว่าประชาชนไทยจะเป็นหนี้เขาอีกไม่กี่สตางค์หรอก
ถ้าผู้คนในกรุงเทพ ฯ เปลี่ยนมาใช้จักรยานกันให้มากๆปัญหารถติดก็จะน้อยลง และปัญหาเรื่องควันพิษก็จะน้อยลงตามไปด้วย ยิ่งตอนนี้น้ำมันราคาแพงเงินไทยออกนอกประเทศก็จะได้น้อยลง และการท่องเที่ยวเมืองไทยก็คงจะดีขึ้นกว่านี้เป็นแน่ ปัญหาสองสามอย่างของการใช้จักรยานใน กรุงเทพมหานคร ฯ ก็คือ กทม.เราเป็นเมืองร้อนชื้น เมื่อมีการออกกำลังเหงื่อจะออกมาก ทำให้ขึ้นไปทำงานไม่ค่อยสะดวก ปัญหานี้คนที่ขี่จักรยานไปกลับที่ทำงานหลายคนแก้ด้วยการไปอาบน้ำที่ที่ทำงานอีกครั้งก่อนทำงาน และเข้าทำงานด้วยความสดชื่นดีกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ความจริงเดี๋ยวนี้คนออฟฟิศก็ต้องออกแต่เช้ามืดมาเสียเวลานอนหลับกันในที่จอดรถใต้ที่ทำงานกันอยู่แล้ว จะเสียเวลาอาบน้ำให้สดชื่นสักหน่อยคงไม่เสียหายละมัง และถ้าบริษัทห้างร้านจะลงทุนสร้างที่อาบน้ำให้พนักงานเสียหน่อยก็คงไม่มีปัญหาอะไร ที่ทำงานหลายๆที่ก็มีที่อาบน้ำอยู่แล้วเสียด้วยซ้ำ
ปัญหาอีกสองอย่างก็คือปัญหาเรื่องอันตรายจากรถยนต์ แต่ตามสถิติก็มีคนที่ขี่จักรยานแล้วประสบอุบัติเหตุน้อยมาก ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะจักรยานไม่ได้ไปหาเรื่องใคร คนที่ขับรถมาพอเห็นจักรยานก็ประเมินไว้ก่อนแล้วว่ารถช้าก็เบาเครื่องมาแต่ไกล เคยมีคนถามผมว่า ขี่จักรยานอยู่กลางถนนไม่กลัวหรือ ผมตอบว่า รถยนต์ใน กทม.ก็วิ่งไม่เร็วนัก เมื่อความเร็วขึ้นมาพอๆกันก็กลัวน้อยกว่า เพราะไม่ต้องกังวลคอยหลบ อย่างคนขี่มอเตอร์ไซด์ก็ไม่เห็นมีใครกลัวรถยนต์ ส่วนปัญหาอีกอย่างหนึ่งเป็นปัญหาโลกแตกคือปัญหาเรื่องควันพิษ ที่ใครบางคนบอกว่า อย่าว่าแต่ไปขี่จักรยานบนถนนเลย แม้แต่เดินอยู่ที่ทางเท้าก็ต้องเดินเอาผ้าปิดจมูกกันอยู่แล้ว เพราะฉนั้นจะอยู่ในถนน หรืออยู่ที่ฟุตบาทก็ต้องเจอควันพิษเท่าๆกันนั่นแหละ
ด้วยเหตุดังกล่าวเหล่านี้เอง ผมจึงเห็นหลายๆประเทศในโลกรณรงค์กันอย่างจริงจังในการหันมาใช้ระบบ NMT การแข่งขันจักรยานเป็นกีฬาระดับชาติที่ผู้คนในโลกให้ความสนใจกันมาก การร่วมกันขี่จักรยานรณรงค์เป็นคณะใหญ่ๆถูกจัดขึ้นเรื่อยๆบ่อยครั้งมากขึ้น
และกรุงเทพฯ เมืองที่กำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤติเรื่องจราจร ถึงขนาดรถเสียที่สี่แยกคันเดียว อำมพาตกินกันทั้งเมือง หรือมีปัญหาควันพิษติดอันดับหนึ่งของโลกในวันนี้ จึงสมควรจะมา
รณรงค์ครั้งใหญ่ๆกันได้แล้ว ยิ่งเดี๋ยวนี้ที่ภาวะเงินบาทอ่อนตัว ขาดสภาพคล่อง สินค้าทุกอย่างราคาแพงขึ้น รายได้ลดลง น้ำมันขึ้นราคาเพราะเป็นสินค้านำเข้าแท้ๆ และเป็นตัวนำเงินไทยออกนอกประเทศเดือนละละหลายร้อยล้านบาท ชัดเจนแจ่มแจ้งกว่าสินค้าอื่นๆเสียอีก เรายังจะเฉยกันอยุ่ได้อย่างไร

บนเส้นทางสำรวจ
จากราชดำเนินถึงถนนข้าวสาร

จากบนบาทวิถีถนนราชดำเนิน คณะสำรวจพากันขี่จักรยานดูรถติดไปเรื่อยๆ เราอยากจะรุ้จังว่าคนที่รถติดอยู่บนถนน เมื่อเห็นจักรยานของเราขี่ไปสบายๆเขาจะคิดอย่างไรกัน จากราชดำเนินเมื่อมาถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เราเลี้ยวซ้ายเข้าถนนบ้านดินสอ ซึ่งทางเป็นวันเวย์รถวิ่งได้ทางเดียว ที่ตรงนี้จักรยานของเราจึงลงไปวิ่งสวนวันเวย์ได้สะดวก นับว่าเลี่ยงพ้นการจราจรที่พลุกพล่านไปได้หน่อยหนึ่ง

เราขี่จักรยานต่อไปสักประเดี๋ยวผ่านเทวสถานโบสถ์พราหมณ์แล้วก็ถึงเสาชิงช้าหน้าวัดสุทัศน์เทพวราราม ที่ตรงนี้เป็นที่ที่มีการประดับไฟไว้อย่างสวยงาม ยามเย็นที่โพล้เพล้อย่างนี้ ฉากหลังของเสาชิงช้าจึงเป็นสีส้มแดงที่สวยงามมาก เราคุยกันอีกครั้งตกลงให้ที่นี่เป็นจุดพักขบวนจักรยานเป็นจุดที่สอง
วัดสุทัศน์เทพวราราม เป็นวัดใหญ่กลางกรุงที่สวยงามมากที่สุดวัดหนึ่ง สร้างขึ้นในสมัย ร. ๑ และได้รับการบูรณะโดยพระมหากษัตริย์มาทุกสมัย สิ่งสำคัญในวัดมีมากมายหลายสิ่ง เช่น พระศรีศากยมุนี พระประธานที่ ร.๑ ทรงโปรดให้อัญเชิญมาจากกรุงสุโขทัย จิตรกรรมฝาผนังในวัด และบานประตูวัดสุทัศน์ฝีมือจำหลักโดยรัชกาลที่ ๒
ที่ได้ชื่อว่าเป็นบานประตูที่สวยงามที่สุดในประเทศไทยบานหนึ่งทีเดียว

แต่สิ่งที่โดดเด่นเป็นสง่าที่สุดจนดุเหมือนเป็นสัญญลักษณ์ของประเทศไทยอีกอย่างหนึ่งตรงนี้ก็คือ เสาชิงช้า สีแดงสดตั้งตระหง่านจนแหงนคอตั้งบ่า เสาชิงช้า หน้าตาคล้ายๆประตูโอโดริของญี่ปุ่น ฝรั่งที่ไม่เข้าใจหลายรายจึงนึกว่าเป็นสัญญลักษณ์ของชาวเอเซีย อันที่จริงเสาชิงช้าก็เป็นเสาชิงช้าจริงๆนั่นแหละ แต่ไม่ได้มีไว้ให้โหนกันเล่นๆ เพราะเป็นเสาชิงช้าในพิธีตรียัมปวาย หรือพิธีโล้ชิงช้าของหลวงซึ่งเป็นพิธีพราหมณ์จัดขึ้นเพื่อบูชาและขอพรเทพเจ้าในลัทธิพราหมณ์หรือฮินดู ซึ่งได้แก่เทพสูงสุดทั้งสาม คือพระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม พิธีตรียัมปวายนี้ เป็นพระราชพิธีสำคัญของหลวงในเดือนยี่หรือเดือนมกราคม แสดงให้เห็นถึงการเข้ามามีอิทธิพลในราชวงศ์ไทยของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูอย่างชัดเจน
จากเสาชิงช้า เราเลี้ยวขวาไปผ่านโรงเรียนเบญจมราชาลัย ผ่านสวนรมณีย์เห็นคนมาออกกำลังกายเต้นแอโรบิคกันเป็นกลุ่มๆมากมายทีเดียว

จากตรงนี้เราเลี้ยวกลับแล้ววกเข้าซอยเล็กๆไปออกถนนตีทองที่มาจากเสาชิงช้า แล้วตัดซ้ายเข้าถนนราชบพิธ ย่านเก่าของกรุงเทพฯเหล่านี้ รถยนต์มีวิ่งกันไม่มากนักสามารถขี่จักรยานผ่านไปได้สบายๆ อากาศเริ่มมืดครึ้ม เราผ่านข้างวัดราชบพิธ ไปออกริมคลองหลอด ขี่ผ่านหน้ากระทรวงมหาดไทย สะพานมอญ ที่แต่ก่อนมีเรือชาวมอญมาค้าขายมากจนกลายเป็นชื่อสะพาน
คลองหลอด หรือคลองคูเมืองเดิม ขุดขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี เป็นแนวเขตของกรุงธนบุรีที่กินพื้นที่ฝั่งพระนครเข้ามาส่วนหนึ่ง เพิ่งมีการขุดค้นพบแนวกำแพงเมืองธนบุรีเมื่อเร็วๆนี้ พอถึงสมัยรัตนโกสินทร์ คลองนี้ก็เลยกลายเป็นแนวคลองป้องกันเมืองชั้นแรกที่เริ่มตั้งแต่เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า ( เดี๋ยวนี้มองไม่เห็นปากคลองแล้ว เพราะสะพานปิดทับ ) ไปออกอีกด้านหนึ่งที่ปากคลองตลาด ภาพเก่าในอดีตบอกให้เราทราบว่าในสมัยก่อนคลองนี้เป็นคลองที่มากมายด้วยเรือค้าขาย ที่เข้ามาค้าขายในพระนคร ด้วยเหตุนี้ในงานเปิดปีท่องเที่ยวไทย ททท.จึงจะจัดให้มีตลาดน้ำขึ้นในคลองหลอดอีกครั้ง ใครที่มาขี่จักรยานกับทัวร์ของเราก็คงจะได้ไปชื่นชมกันอย่างแน่นอน

คณะเราถีบเจ้าเสือภูเขาไปเกือบสุดคลองหลอด ตรงหัวมุมวัดบูรณศิริก็ข้ามสะพานไปที่หัวมุม อุทกทาน หรือแม่พระธรณีบีบมวยผม ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างเก่าแก่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินี โดยมีพระประสงค์ให้น้ำเป็นทานแด่ประชาชน ลักษณะศิลปกรรมการก่อสร้างของพระธรณีบีบมวยผมแห่งนี้สวยงามมาก แต่มักไม่ค่อยมีใครสนใจ สมัยหนึ่งในอดีตที่ตรงนี้เคยกลายเป็นแหล่งสกปรก พ่อค้าแม่ค้ามักง่ายใช้เป็นที่ล้างถ้วยล้างชาม แต่ในวันนี้ กทม.เอาจริงจัดแจงตกแต่งสถานที่เสียสวยงาม ถ้าใครเคยไปเที่ยวต่างประเทศอย่างกรุงโรม หรือออสเตรีย ก็จะเห็นว่าสิ่งที่ชาติผู้เจริญเหล่านั้นนิยมสร้างกันตามมุมตามแยกก็คือน้ำพุอันสวยงามลักษณะคล้ายกันนี้แต่เป็นศิลปฝรั่งแบบของเขา ถ้าเศรษฐีมีเงินทั้งหลายในเมืองไทยจะมาช่วยกันสร้างอะไรๆลักษณะนี้ด้วยศิลปไทยตามแยกตามมุมถนนก็จะเป็นสิ่งที่ดีไม่น้อย เพราะในวันนี้กรุงเทพฯของเราไม่ได้มีอะไรสวยๆใหม่ๆแบบไทยๆเกิดขึ้นเป็นสาธารณะอีกเลยตั้งนานมาแล้ว

ขบวนจักรยานเลี้ยวซ้ายผ่านเข้าถนนหน้าพระลาน น่าแปลกที่รถยนต์ตั้งมากมายไม่ค่อยผ่านมาที่นี่ รถส่วนใหญ่ที่มาจากราชดำเนินก็ขึ้นสะพานพระปิ่นเกล้าไปหมด มิน่าล่ะ ในหลวงเราจึงทรงเร่งรัดโครงการพระราชดำริถนนลอยฟ้าสายบรมราชชนนีให้เสร็จโดยเร็ว เพราะถ้าเสร็จแล้วรถก็คงจะคล่องขึ้นไม่มาออกันในถนนราชดำเนินให้เสียภาพลักษณ์ถนนที่สวยที่สุดในประเทศไทยอย่างทุกวันนี้
นี่เป็นข้อเสียมากๆของสะพานพระปิ่นเกล้าฯ ที่คนสร้างมองการณ์ไม่ไกล ดันเอาสะพานข้ามแม่น้ำมาสร้างไว้ตรงเมืองเก่า พอมีสะพานอยู่ตรงนี้ขบวนรถยนต์ก็เลยต้องเข้ามาเกือบจะชนเมืองเก่า อันเป็นทั้งสัญญลักษณ์อันยิ่งใหญ่ และเป็นความสวยงามของประเทศไทย เมืองเก่าของไทยเราจึงแทบไม่มีวันสุขสงบ ไม่เหมือนกับเมืองเก่าอื่นๆทั้งหลายในโลก ทุกๆชาติเขาคิดได้ถึงข้อนี้เขาจึงจำกัดการจราจรออกไปเสียจากเมืองเก่า แต่ของประเทศไทยเราดันเอาสะพานมาติดเมืองเก่าเลย หลายคนบอกผมว่า เพราะข้าราชการไทยพากันเป็นเสียอย่างนี้ ในหลวงของเราจึงต้องทรงเหน็ดเหนื่อยปฎิบัติพระราชกรณียกิจมากมาย ด่วนบรมราชชนนีนี้ก็เป็นโครงการในพระราชดำริโครงการหนึ่ง น่าจับคนออกแบบสร้างสะพานพระปิ่นเกล้าฯ กับคนอนุมัติให้สร้างมาเขกหัวเสียจริงๆ

เรานั่งเสือภูเขาไปสบายๆผ่านหน้ากระทรวงยุติธรรมไปจอดชมความงามของวัดพระแก้ว ตรงพื้นที่ว่างหน้าศาลหลักเมือง ชมความงามของการประดับไฟวัดพระแก้วอย่างไม่ค่อยจุใจนักเพราะอยู่ในพื้นที่ต่ำกำแพงวัดบังการประดับไฟอันสวยงามไปหมด
กระซิบไว้ค่อยๆตรงนี้เลยนะครับว่า มุมชมวัดพระแก้วที่สวยที่สุดถ้าคุณมากลางวันและส่วนราชการเปิดก็คือมุมบนร้านอาหารชั้น ๔ เนติบัณฑิตสภา เพราะเป็นมุมสูงมองไปก็เห็นวัดพระแก้วพอดี แต่มุมนี้ขึ้นไปก็ชมได้เฉพาะในเวลากลางวันเท่านั้นเพราะที่นั่นเป็นสถานที่ราชการปิดตอนกลางคืน ถ้าไปกลางคืนก็จะได้มองเห็นจากถนนแบบมีกำแพงบังอย่างที่เราเห็นอยู่ตอนนี้นั่นแหละ
จากที่ตรงนี้ เราขี่จักรยานคันเก่งขึ้นบาทวิถีด้วยทางลาดสำหรับจักรยานที่ กทม.มาทำไว้ให้คนขี่จักรยานอย่างดี เราผ่านหน้ากระทรวงกลาโหม แวะดูปืนใหญ่โบราณกระบอกที่ได้รูปสวยงามที่สุดคือปืน นางพระยาตานี ที่ ร. ๑ ทรงยึดมาจากเมืองปัตตานี ขึ้นมาบนบาทวิถีแล้วพอถึงทางแยกก็ต้องลงไปที่ถนน แล้วขึ้นบาทวิถีใหม่ด้วยทางขึ้นพิเศษของ กทม.นั่นเอง
ทำไมบ้านเราจึงไม่มีทางลาดสำหรับจักรยานเช่นนี้ในทั่วทุกถนน จักรยานจะได้ไม่ต้องลงไปเสี่ยงกับรถยนต์ โดยเฉพาะนักจักรยานมือใหม่ที่ยังเอวอ่อนขี่คดไปคดมาอยู่ การลงไปบนถนนนั้น แม้เราจะบอกแล้วว่าไม่เชิงอันตรายสักเท่าไหร แต่นั่นหมายถึงคนที่เก่งแล้วขี่ได้ตรงทาง ไม่เลี้ยวไปเลี้ยวมา สำหรับมือใหม่หากลงไปบนถนน โอกาศที่จะถูกเบียดถูกปาดโดยนักขับรถไร้มารยาทก็มีเหมือนกัน มือใหม่บางคนไม่ต้องถูกเบียดถุกปาดหรอก บางทีเห็นเสาไฟฟ้าตั้งอยู่ข้าง ๆ ยังแถเข้าไปเบียดเสาไฟฟ้าซะเองก็มี
แล้วเราก็ขี่จักรยานไปจนถึงวัดโพธิ์ ที่ประตูหมอนวดแผนโบราณ หรือประตูตรงข้ามกรม รด. เราเห็นรถยนต์วิ่งเข้าไปในนั้นเฉย เราเลยขี่จักรยานตามเข้าไป พอเข้าไปแล้วก็ต้องตะลึงเลยทีเดียว
ภาพภายในวัดโพธิ์ที่ประดับไฟตอนกลางคืนนั้นสวยงามมาก เจดีย์รายองค์เล็ก ๆ ที่ประดับด้วยกระเบื้องถ้วยเบญจรงค์นั้นยามเมื่อต้องแสงสปอร์ตไลท์สีส้มก็เปล่งประกายแสงสวยเสียจนเราต้องตกตะลึง ยิ่งบางที่บางตอนที่มียักษ์จีนยืนเฝ้าประตูอยู่ก็ยิ่งเพิ่มความสวยงามแบบลึกลับเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะในความเงียบสงัดยามราตรีเช่นนี้
ภายในลานวัดโพธิ์ เราเห็นรถมอเตอร์ไซด์วิ่งเข้าออก คงเป็นรถของคนงานหรือเด็กวัด แต่เราไม่กล้าทำเช่นนั้น เราเอาจักรยานไปจอดคุยกัน แอ็คท่าให้ ๕๐ ช่างภาพถ่ายภาพสวยๆ แล้วก็เดินชมความงามไปเรื่อย ๆ จุดที่สวยงามที่สุดจุดหนึ่งของวัดโพธิ์นี้ก็คือที่องค์พระมหาเจดีย์ 4 องค์ 4 รัชกาลที่ประดับไฟสว่างไสว สีสันขององค์พระเจดีย์สีขาว เขียว เหลือง และน้ำเงิน อันหมายถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์และองค์พระมหากษัตริย์งดงามยิ่งเมื่อต้องแสงไฟสาดส่องในยามราตรี

สิ่งที่น่าสังเกตุอีกอย่างหนึ่งตรงนี้ก็คือ ภายในวัดไม่มีฝุ่นละอองที่ลอยอยู่ในอากาศเลยทำให้การเดินชมเป็นไปด้วยความสดชื่น ถ้าใครยังไม่เคยเข้ามาชมวัดโพธิ์ในตอนกลางคืน ในตอนที่ไฟฟ้าติดส่องสว่าง ลองเข้ามาดูเถิดครับ รับรองว่าจะยิ่งซาบซึ้งประทับใจกว่าเข้ามาเดินในตอนกลางวันมากมาย
จากวัดโพธิ์ เราขี่จักรยานออกมาตามถนนหน้าพระธาตุ ขี่ไปถึงท่าสุพรรณ ที่ตรงนั้นยังคงเป็นตลาดร้างรกรุงรัง แต่ภายในตลาดร้างรกรุงรังนี่เองที่ภาพอันงดงามที่สุดของวัดอรุณ สัญญลักษณ์หนึ่งของประเทศไทยปรากฎประจักษ์ชัดและสวยงามยิ่ง ครับ เป็นที่รู้กันในหมู่ช่างภาพหลายคนว่า มุมที่สวยงามที่สุดของวัดอรุณนั้นถ่ายได้จากที่ตรงนี้นี่เอง น่าประหลาดใจครับภาพที่สวยงามจนเป็นสัญญลักษณ์ที่เผยแพร่ออกไปทั่วโลกของประเทศไทยกลับถ่ายออกไปได้จากกองขยะกองใหญ่ ยิ่งถ้าใครที่ต้องการมุมสูงหน่อย ก็ยิ่งจะย่ำแย่ไปกว่านั้นอีก เพราะต้องเดินผ่าส้วมของชาวตลาด ปีนหลังคาส้วมขึ้นไปบนหลังคาท่าสุพรรณทุลักทุเลจริงๆ

แล้วเราก็พากันขี่จักรยานกันต่อไป จากท่าสุพรรณ เส้นทางสำรวจของเราก็ลากต่อไปที่ท่าราชวรดิษฐ์ขนานไปกับกำแพงพระบรมมหาราชวัง ไปจนถึงท่าช้างผ่านต่อไปหลังวัดมหาธาตุตรงที่เป็นวิทยาลัยสงฆ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ท่าพระจันทร์ และเนื่องจากยังไม่ดึกมากนักประตูมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ยังเปิดกว้างอยู่ เราเลยแอบดอดเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตแหล่งศึกษาร่มเย็นเด่นริมสายชลของผมและของใครอีกหลายๆคน

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์วันนี้ แม่โดมยังดูเด่นเป็นสง่า สวยงามอยุ่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา นักศึกษาชายหญิงเดินไปมากันขวักไขว่เพราะยังหัวค่ำอยู่ มาดูมาเห็นนักศึกษาในตอนนี้โดยเฉพาะนักศึกษาสาวขาวๆสวยๆแล้วก็เสียดายวัยหนุ่มที่ล่วงเลยไป นึกถึงภาพเก่า ๆ ในอดีตสมัยยังเรียนอยู่ที่นี่ สมัยนั้นกิจกรรมนักศึกษาประเภทเพื่อสังคมดูคึกคัก แต่นักศึกษาเดี๋ยวนี้ดูจะไม่ค่อยสนใจกันสักเท่าไร การเรียนก็ไม่ได้โดดเด่นกว่าเมื่อก่อนนักไม่รู้เอาเวลาไปทำอะไรกันหมด

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หรือวังหน้า เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีการประดับไฟอย่างสวยงาม โดยเฉพาะลวดลายหน้าบันแบบวังหน้าที่ไม่ซ้ำกับวังหลวงหรือที่อื่น ๆ มองเห็นเด่นเป็นสง่าอยู่นั้น ยามต้องแสงไฟดูงดงามเกินจะกล่าววาจาจริง ๆ ที่ลานสนามหญ้าวังหน้าแห่งนี้แหละที่ในอดีตคือสังคีตศาลา สถานที่จัดการแสดงนาฏศิลปไทยให้ประชาชนชมในราคาย่อมเยา ที่นี่สมัยเด็ก ๆ พ่อมักพาผมมาดูการแสดงบ่อย ๆ ยังจำได้สมัยนั้นเราตื่นตาตื่นใจกับการแสดงโขนมาก เวลาที่โขนเหล่านี้แสดงหลุดจากหน้าโรงมาจนถึงสนามหญ้าที่ผู้ชมนั่งดูอยุ่ เราอยากจะกระโดดลงไปเล่นด้วยคนเสียด้วยซ้ำ

ถนนพระอาทิตย์ เดี๋ยวนี้ดูเงียบเหงาเพราะสะพานพระปิ่นเกล้า ทำให้ความสำคัญของท่าเรือพระอาทิตย์ที่เคยคึกคักจ๋อยลงไป จำได้อีกเหมือนกันว่าถนนนี้เมื่อก่อนเป็นเหมือนต้นสายรถราง ตั๋วมีเบาะราคา ๕๐ สตางค์ ไม่มีเบาะ๒๕ สตางค์ พ่อเคยพาผมมาขึ้นรถรางที่นี่เสมอ นั่งไปเยาวราชตอนข้ามคลองหลอดน่าตื่นเต้นมากเพราะสะพานเป็นเหล็ก ล้อรถก็เป็นเหล็กเสียงล้อรถกระทบสะพานเหล็กดังกระหึ่มครืนครั่น พวกเราเด็ก ๆจอมซน บางทีก็เกาะรถรางมาถึงสะพานนี้ แล้วก็ทิ้งตัวตูมลงคลองหลอดซึ่งสมัยนั้นยังลึกอยู่เล่นน้ำกันได้อย่างสนุกสนาน เดี๋ยวนี้รถรางไม่มีและคลองหลอดก็ไม่มีแล้ว ถนนพระอาทิตย์มีแต่ร้านเหล้าที่ก็ทำให้ถนนเงียบๆดูแปลกหูแปลกตาไปอีกแบบ

ป้อมพระสุเมรุ หนึ่งในสองป้อมที่ยังเหลืออยู่ เมื่อสักปีกว่า ๆ มานี่ กรุงเทพมหานคร ศิลปากร และ ททท.มาช่วยกันทำเสียสวยสะอาด ได้ข่าวว่าจะมีโครงการมาทำให้ตรงนี้เป็นที่พักผ่อนและที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม แต่ในวันนี้ทั้งป้อมใหญ่และต้นหย้าริมแม่น้ำยังดูรกทึบ ไฟก้ไม่มีติดไว้มืดตึ๊ดตื๋อ ทีมเราจอดจักรยานลงไปเดินดูรอบๆป่ารก เดินไปถึงต้นลำพูสองต้นที่ยืนแช่น้ำอยู่พอเป้นสัญญลักษณ์ว่าที่นี่เรียกว่าบางลำพู เราคุยกันไปก็คบคิดกันไปว่า อีกหน่อยถ้าเราได้ทำทัวร์จักรยานมาจริงๆ เราจะช่วยเป้นตัวเร่งให้โครงการทำพื้นที่ตรงนี้ให้สวยงามให้เสร็จไวๆเลยทีเดียว

จากป้อมพระสุเมรุ ขบวนของเราก็เลี้ยววกกลับเข้าซอยวัดชนะสงคราม ผ่านไปในเส้นทางมืดตึ๊ดตื๋อจนมาโผล่อีกครั้งหนึ่งที่ถนน แล้วเลี้ยวขวาเลี้ยวซ้ายวกเข้าถนนข้าวสาร พอเข้าสู่ถนนสายนี้ ความมืดเมื่อครู่ก็กลับกระจ่างสว่างด้วยแสงไฟนีออนประดับถนน ก็จะอะไรเสียอีก แสงสีจากหลอดไฟประดับถนนฟลูออเรสเซ้นต์ ป้ายโฆษณารูปลักษณ์และสีสันต่าง ๆ นั่นเอง
ถนนสายนี้เป็นถนนฝรั่งซำเหมา มีเกสต์เฮ้าส์ราคาไม่แพง มีร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม ร้านเหล้ามากมายหลายแห่งทีเดียว ถนนข้าวสาร โดยทั่วไปเป็นถนนนอึกทึกครึกโครม ฝรั่งซำเหมาออกมานั่งดูดดื่ม ( ดูดบุหรี่ ดื่มสุรา ) กันอยู่ตามริมถนนมากมาย ถนนข้าวสารนี้ก็เป็นดัชนีชี้การท่องเที่ยวไทยได้อีกโสตหนึ่งถ้าถนนนี้เงียบเหงาก็พอจะแสดงได้ว่านักท่องเที่ยวน้อย แต่ถ้าถนนสายนี้คึกคักก็จะมีนักท่องเที่ยวมากอะไรทำนองนี้

จากถนนข้าวสารทีมของเราชักหมดแรงเลยพากันปั่นจักรยานไปทางบางลำภูเลี้ยวขวาเข้าถนนพระสุเมรุ แล้วทุกคนก็พร้อมใจกันจอดรถแวะเข้าไปเติมพลังกันในร้านข้าวต้มวัดบวรนิเวศ ภายในร้านข้าวต้มมองออกมาเห็นหน้าบันของวัดพระแก้วสวยงามมาก แต่ความสวยนั้นก็ถูกขัดจังหวะด้วยสายไฟฟ้าขยุ้มใหญ่ที่เกะกะลูกตาเต็มที นี่ถ้ากรุงเทพของเราสามารถเอาสายไฟฟ้าทั้งหมดลงใต้ดินได้เมื่อไรละก็ รับรองว่าวัดวาอารามของไทยนั้นจะสวยงามมากกว่านี้อีกหลายเท่าเลยจริง ๆ คงต้องรบกวนท่านผู้ว่า กทม.อีกที เอาแค่ในเกาะรัตนโกสินทร์เป็นรายการนำร่องก่อนก็ได้

จากถนนข้าวสาร ทัวร์ของเราก็เดินทางกลับที่ตั้งคือ ททท. โดยก่อนกลับเรายังแอบเถลไถลออกนอกเส้นทางขี่ต่อไปชมน้ำพุประกอบดนตรีของ กทม.ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์
เลยไปชมพระที่นั่งอนันตสมาคมและปิดท้ายด้วยการขี่วนรอบพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
ที่เราค้นพบว่าเนื่องจากมีต้นไม้มากในสวนจิตรลดาที่ตรงนั้นอากาศจึงค่อนข้างหนาวเย็นกว่าที่อื่น
นี่แหละอิทธิฤทธิ์ของต้นไม้ ที่นอกจากจะให้เนื้อไม้ ให้ดอก และให้ผลแก่มนุษย์เราแล้ว
ยังให้ความฉ่ำเย็นที่อะไรอย่างอื่น ๆก็ทำไม่ได้เสมอเหมือนด้วย

วัดเบญจมบพิตรเป็นวัดสุดท้ายที่ทีมเราเข้าไปเยี่ยมเยือน เข้าไปดูแล้วเพื่อนทุกคนต่างก็ซาบซึ้งในความสวยงามของศิลปไทย ขากลับทีมสำรวจพากันถีบจักรยานกลับ ททท.กันมาอย่างเงียบๆ ในใจแต่ละคนต่างมีความคิดหนักอึ้งกันหลายๆอย่าง ทำอย่างไร เราจึงจะจัดขบวนจักรยานท่องเที่ยวยามราตรีของเราได้อย่างสำเร็จสมบูรณ์ ทำอย่างไรคนจำนวนมากๆอย่างนั้นจะรู้สึกซาบซึ้งประทับใจในการเดินทางได้เหมือนกับพวกเรากลุ่มเล็กๆ

ทำอย่างไรความสวยงามของศิลปไทยเหล่านั้นจะเข้าไปซาบซึ้งและประทับใจผู้ที่มาร่วมเดินทางกับเรา ทำอย่างไรเราจะฝ่าการจราจรหนาหนักของกรุงเทพ ฯได้สำเร็จ
และขณะนี้ที่คำตอบของคำถามต่างๆเหล่านั้นกำลังถูกค้นคิด เส้นการเดินทางชมเกาะรัตนโกสินทร์ยามราตรี กำลังถูกลากขึ้นพาลัดเลาะตัดเส้นทางใหม่ให้เหมาะสมที่สุด ปลอดภัยที่สุดและน่าประทับใจที่สุด เพื่อการเข้ามาร่วมกันของเพื่อนชาวจักรยาน กทม. ในวันที่ ๒๗ ธันวาคม และในการทำทัวร์เกาะรัตนโกสินทร์ยามราตรีในโอกาศต่อไป
และทั้งหมดนี้ก็คือการสำรวจเส้นทางเพื่อจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวเกาะรัตนโกสินทร์ยามราตรี อันเป็นทัวร์นำร่องสำหรับบริษัทท่องเที่ยวเอกชนที่อาจจะศึกษาและจัดติดตามต่อไปในอนาคต โดยการเดินทางครั้งแรกจะเป็นการเดินทางในพิธีเปิดปีท่องเที่ยวไทย ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๐ ด้วยรถจักรยานจำนวนกว่า ๕๐๐ คัน และในคราวต่อ ๆ ไปที่จะจัดเป็นรายการท่องเที่ยวคืนละประมาณ 3๐ คัน ทุกคืน เจ็ดคืนติดต่อกัน

หมายเหตุจากผู้เขียน

บทความเรื่องนี้คือบันทึกการสำรวจเกาะรัตนโกสินทร์ด้วยจักรยาน ก่อนการจัดทำขบวนจักรยานร่วมเฉลิมฉลองในพิธีเปิดปี AMAZING THAILAND และการจัดทำทัวร์จักรยานชมเกาะรัตนโกสินทร์ยามราตรี ซึ่งจัดทำขึ้นติดตามต่อมาอีก 7 วันด้วยกัน ขบวนจักรยานเฉลิมฉลองพิธีเปิดฯ ได้ผลเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือประเมินว่าน่าจะมีเพื่อนชาวจักรยานมาร่วมกันประมาณ 500 คัน แต่ในวันจริงมีมาร่วมกันนับพันคัน ตกภาคกลางคืนขบวนจักรยานแล่นชมเกาะรัตนโกสินทร์เป็นขบวนสวยงามยาวเหยียด นับเป็นการสร้างประวัติศาสตร์การมาร่วมกันของพี่น้องชาวจักรยานที่มีจำนวนจักรยานมากที่สุดเป็นครั้งแรก ทัวร์จักรยานชมเกาะรัตนโกสินทร์ยามราตรีที่จัดขึ้นติดต่อมาอีก 7 วันก็ประสพความสำเร็จเป็นอย่างสูง ทัวร์จักรยานเกาะรัตนดกสินทร์ยามราตรีได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างท่วมท้น จักรยานมีไม่พอบริการ จากที่ประเมินไว้ว่าทุกคืนจะมีทัวร์จักรยานออกคืนละ 30 คัน ปรากฏว่ามีออกจริงคืนละไม่ต่ำกว่า 50 คัน

ปี 2542 มีการขยายผลกิจกรรมท่องเที่ยวด้วยจักรยานในเกาะรัตนโกสินทร์ เป็นความร่วมมือ ระหว่าง กทม. และ ททท. โดยมูลนิธิพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ฯ โดยแบ่งหน้าที่รับผิดชอบออกเป็นสองส่วน คือททท. จัดทัวร์จักรยานชมเกาะรัตนโกสินทร์ยามราตรีในคืนวันเสาร์ ส่วน กทม. จัดขี่จักรยานรณรงค์ไปรอบเกาะรัตนโกสินทร์ทุกเช้ามืดวันอาทิตย์ ผลปรากฏว่าทัวร์คืนวันเสาร์ของ ททท. ขายดีมีผู้สนใจเข้าร่วมการขี่จักรยานชมเกาะรัตนโกสินทร์ทุกครั้งๆละเป็นจำนวนมาก และจัดกิจกรรมต่อเนื่องมาอีกหลายเดือนด้วยกัน ในที่สุด ททท. เตรียมขยายผลการทำงานนี้สู่ภาคเอกชน มีการปรับปรุงราคาค่าบริการใหม่ให้เอกชนมีกำไรในราคาประมาณ 450 บาท พร้อมคู่มือ และการบริการต่างๆ หากทว่าอยุ่ดีๆ กทม.ที่ไม่ประสบความสำเร็จจากการจัดกิจกรรมรณรงค์ได้จัดทัวร์จักรยานในเส้นทางเดียวกัน โดยศูนย์ท่องเที่ยว กทม. ในราคา 250 บาท ทำให้ภาคเอกชนที่จะรับช่วงต่อไปไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับ ภาคราชการอย่าง กทม. ได้ ในส่วน ททท. เมื่อ กทม. มารับช่วงต่อไปเช่นนี้จึงยุติการจัดกิจกรรมนี้ลงเพื่อมิให้เป็นการแข่งขันกันเองในระหว่างหน่วยราชการด้วยกันประกอบกับเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในมูลนิธิพิทักษ์สิ่งแวดล้อมฯอันเป็นหน่วยงานปฏิบัติงาน ทุกวันนี้จึงมีการจัดกิจกรรมจักรยานท่องเที่ยวเกาะรัตนโกสินทร์เพียงโดย ศูนย์ท่องเที่ยว กทม. เพียงหน่วยงานเดียว



บัตรเครดิต สินเชื่อ สินเชื่อเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคล เงินด่วน เงินกู้ สมัครบัตรเครดิต สินเชื่อ บัตรเครดิต
โปรแกรมบัญชี โต๊ะจีน-จัดเลี้ยง บ้านจัดสรร-บ้านใหม่-บ้านเดี่ยว ธนาคารกรุงไทย สกินhi5 วิเคราะห์บอล ราคาบอล