+
ใต้ร่มเย็น , เขาหนองที่ไปไม่ถึง โดย canman
ประสบการณ์
ที่ผมได้ไปเที่ยวอช.ใต้ร่มเย็น ช่วงวันที่ 5-8
พค44มีดังนี้
จะขึ้นไปเที่ยวเขาหนองหรือครับ
ดีจังเลย เพราะตั้งแต่เปิดเป็นเทรลท่องเที่ยวมายังไม่เคยมีนักท่องเที่ยวขึ้นไปเลย
นอกจากเจ้าหน้าที่ที่ขึ้นไปสำรวจเมื่อ 6 ปีก่อน
จนผมจะยกเลิกเทรลนี้แล้ว นี่คือประโยคแรกที่
ทางคุณ สมพล ผช.หัวหน้าอช.ใต้ร่มเย็นพูดกับผม
เมื่อผมติดต่อไปขอเที่ยวที่นี่ และเมื่อพวกเราเดินทางไปถึงที่ทำการอช.หน่วยถ้ำขมิ้น
ก็ได้พบคุณปรีชา จนท.พิทักษ์ป่าซึ่งปกติจะรับผิดชอบในการดูแลนักท่องเที่ยวที่แวะมาเยือนที่นี่
ในระหว่างที่รอ จนท. ทางคุณปรีชาได้บริ๊ฟ ข้อมูลคร่าวเกี่ยวกับเส้นทาง
และข้อควรระวังในการเดินป่าที่นี่ โดยวันแรกจะนำรถเข้าไปส่งให้ไกลที่สุดเท่าที่
จะไปได้ จากนั้นจะเดินเลียบลำห้วย ไต่ระดับความสูงไปเรื่อยๆ
จนถึงตีนเขาหนอง จากนั้นก็จะหยุดพักค้างคืนที่ตีนเขา
เช้าวันรุ่งขึ้น จะ เดินขึ้นเขาแต่เช้า ซึ่งคาดว่าน่าจะถึงยอดเขาในช่วงเที่ยง
ให้พวกเรา พักกินข้าวเที่ยง พักผ่อนถ่ายรูปให้พอใจแล้วจึงเดินตัดลงเขามาเพื่อพักค้างคืนที่แหล่งน้ำด้านล่างของอีกฟากเขา
และจะเดินกลับมา ถึงจุดที่รถมารับในช่วงบ่ายๆ
และข้อควรระวังที่นี่คือ สัตว์ป่าใหญ่ๆยังมีชุกชุมอยู่ในเส้นทาง
ที่เราจะไป ไม่ว่าช้าง เสือ หมี และทากเจ้าถิ่น
เราเริ่มออกเดินทางจาก
ถ้ำขมิ้นกัน ตอน 9 โมงเศษ โดยมีสมาชิกร่วมทางเป็นพวกเรา
7 คน มี ผม(แคนแมน), พี่สมจิตร, คุณปุ๊ย, ชาลี,
หั่ง,คุณศรีศักดิ์(ไม่ใช่ตี๋ศักดิ์) คุณยุพิน
และ จนท. 7 คน (มี พี่บรรจบ หัวหน้าทีม, พี่วิชัย,
เณรแอ, บ่าว, เสือ, บอย และอีกคนที่จำชื่อไม่ได้)
จากนั้น ก็แวะรับ คนนำทาง ชื่อ วิชิต ( พวกเราจะเรียกเขาว่า
หลวงชิต หรือ ทิดชิตในภาษากลาง) จากบ้านเหมืองทวด
ซึ่งทางหลวงชิตมีคนขอติดตามไปด้วยอีก 3 คน สรุปแล้ว
ทริปนี้เรามี คนร่วมทางไปทั้งหมด 18คน
จากเหมืองทวดเรานั่งรถไปผ่านสวนเงาะ,
สวนยาง ของชาวบ้าน ข้ามห้วยใหญ่ 2 แห่ง เล็ก
1 แห่ง เข้าไปได้ประมาณ 3-4 กม. ก็ เจอทางถล่ม
เนื่องจากเมื่อ2-3วันก่อนมีฝนตกหนัก เราเลยต้องตัดใจลงเดินกัน
เริ่มออกเดินกันตอน 10โมงครึ่ง เดินไปตามถนนได้สัก
15 นาที ก็เจอบ้านคน ซึ่งอยู่สุดถนน พอดี จากนั้นเราก็เดินเลียบลำห้วยไปเรี่อยๆ
บางช่วงก็ต้องลงไปเดินในลำห้วย เดินข้ามไปข้ามมา
ผ่านไป 1 ชั่วโมง คุณศรีศักดิ์ ก็ ส่งเสียงขึ้นมาเป็นคนแรกว่าเจอเจ้าถิ่นแล้ว
พวกเราเลย หยุด เตรียมตัวสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอย่างเต็มที่
จากนั้นก็เดินต่อไป แล้วแวะพักกินข้าวเที่ยงกันที่
ลานหินดาด ทำการสำรวจดูเนื้อตัว ก็เจอเจ้าถิ่นติดมาคนละตัว
สองตัว พักกันอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็เริ่มเดินทางต่อ
ซึ่งในภาคบ่ายนี้เราได้เจอเจ้าถิ่น ชูคอสลอนไปทั่ว
มีทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ สีดำ สีแดง สีเขียว ตัวลาย
แถมที่ตัวใหญ่มากจะมีขนตามตัวด้วย เราเดินกันไปถึง
บริเวณที่มีลำห้วย 2 ห้วยมารวมกับ ก็ หยุดพักสำรวจเนื้อตัวกันอีกรอบ
คราวนี้ คุณศรีศักดิ์ เจอเข้าไปแล้วแถวต้นขาเลือดโชกเลย
เกือบโดนจุดสำคัญเพราะป้องกันช่วงล่างกันดีมาก
ทากเลยลุยเบื้องสูง ทำเอาทุกคนเริ่มเสียว ก็เลยสำรวจด้านในกางเกงกัน
ก็พบแถวเอวบ้าง หลังบ้าง แต่ยังไม่มีใครเสียเลือด
เราเดินกันจนถึง บ่าย 2 โมงทางคนนำทางก็ บอกว่าถึงจุดที่ตั้งแค้มป์
แล้ว แต่ทางพวกเราเห็นว่าเวลายังมีเหลืออีกมาก
ก็เลยให้คนนำทางพาไปต่อจนถึงจุดที่เป็นแหล่งน้ำสุดท้าย
ก่อนที่จะเดินขึ้นทางชัน |
ซึ่งช่วงนี้
พวกเราบางคนเริ่มล้ากันแล้ว เริ่มเดินทิ้งช่วงกันก็เกิดการหลงกัน
โดย คุณปุ๊ย กับ หั่ง เดินหลง ขึ้นเขาไป แต่เดินๆไปก็ไม่เจอรอย
เลยเดินกลับลงมา เจอกับผมและ บอย ซึ่งหลงทางตั้งแต่เริ่มเลย
โดยเหลือผมกับบอยอยู่ 2 คน ไม่ทันได้ดูว่าทุกคนข้ามน้ำกันไปหมดแล้ว
เลยงมหารอยกัน อยู่ตั้งนาน เราเดินต่อกันไปอีกประมาณ
1 ชั่วโมงก็ ถึงจุดตั้งแค้มป์ ซึ่งบริเวณนี้มีหินก้อนใหญ่
ขวางลำน้ำอยู่ เป็นลานกว้าง มากทีเดียว ลานหินนี้อยู่สูงกว่าผิวน้ำเกือบ
2 เมตร ทำให้เกิดน้ำตก เล็กๆ น้ำใสและเย็นชื่นใจมาก
ที่นี่เราทำการสำรวจครั้งใหญ่คราวนี้พบว่าเกือบทุกคนยกเว้นผมได้บริจาคเลือดคนละแผลสองแผล
คนที่น่ากลัวที่สุดคือคุณปุ๊ย โดนเข้าที่ท้ายทอย
และ ต้นคอ ที่นี่เราก็พักผ่อนเล่นน้ำซะ ชุ่มฉ่ำไปเลย
หลังจากนั้นก็ทำการผูกเปลนอนกันในป่าริมตลิ่ง
ซึ่งต้องไปผูกกับต้นไม้ ห่างจากริมน้ำพอสมควร
โอ้โหที่นี่ดงทากเลยครับ ผมผูกเปลไปแกะทากไปเลย
ทางชาลีไปตัดใบบอนมาปูใต้เปลยิ่งทำให้เห็นชัดมากๆ
คราวนี้ เราเลยทำการทดลองวิธีทรมาณทาก สารพัด
ตั้งแต่ โรยแป้งหอม โดยชาลี, เกลือโดยพี่สมจิตร
ยาฉุน,เหล้า, และ อื่น อีกหลายวิธี จากนั้นเราก็มาช่วยกัน
เตรียมอาหารเย็น กัน โดยทางคนนำทางได้ไปตัดไม้ไผ่มาหุงข้าวกัน
โดยห่อข้าวในใบเร็ด (ตอนแรกพวกเราฟังกัน เป็นใบแรด)
พอหุงสุกออกมาข้าวมีกลิ่นหอมมาก เสียแต่ข้าวจะนิ่มเกินไปสักนิด
กับข้าวมื้อนี้ส่วนใหญ่จะเหลือมาจากตอนเที่ยง
มีคั่วกลิ้งหมู, น้ำพรกมะขาม, ปลากระเบนผัดหวาน,
ไก่ทอด และแกงจืดวุ้นเส้นโปรตีนเกษตร โดยแม่ครัวปุ๊ย
หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว พี่สมจิตร,ปุ๊ย และ
ชาลี ก็ไปนอนกันเลยเพราะเหนื่อยจากการเดินทางโดยที่ทุกคนเอาเป้ส่วนตัวและ
เสื้อผ้าเปียก รวมทั้งรองเท้าติดตัวขึ้นไปด้วย
เพื่อไปตากบนราวในป่า ยกเว้นชาลีที่เอารองเท้าตากไว้บนลานหิน
รวมกับของเจ้าหน้าที่ ส่วนผมนั่งคุยกับ คนนำทางจนถึงประมาณทุ่มครึ่งก็จัดการเก็บข้าวของจัดใส่เป้
แล้วไปวางกองรวมกับ สัมภาระของเจ้าหน้าที่ และคนนำทาง
ซึ่งกลุ่มคนนำทางจะนอนกัน บนลานหินนี้ ด้วย
กลุ่มเจ้าหน้าที่เองก็แบ่งเป็นสองกลุ่ม โดยพี่บรรจบ
กับ พี่วิชัย แยกไปนอน ที่ปากทางด่าน เพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ป่าโดยเฉพาะหมีที่มีชุกชุมมากในบริเวณนี้
ส่วนพวกที่เหลือก็จับกลุ่มนอนกันใกล้พวกเรา
ผมเข้านอนประมาณ สองทุ่ม ตอนนั้น มีหั่ง, ศรีศักดิ์
, ยุพิน ยังนอนชมดาวอยู่บนลานหิน ผมหลับไปจนถึง
สี่ทุ่มก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะมีฝนตกลงมา
เลยนอน ส่องไฟหารอยรั่ว, รอยน้ำซึมของฟลายชีตอยู่เรื่อยๆ
นอนฟังเสียงฝนตกลงบน ฟลายชีต เพลินดีจังเลย
สักพักก็ได้ยินเสียงศรีศักดิ์บ่นเรื่องน้ำซึมมาทางสายเปลจนเปียกไปหมดทั้งเปลและถุงนอน
ฝนตกหนักมาก มาซาลงตอนเกือบเที่ยงคืน
หลังจากฝนซาลงสักพักมีเสียงน้ำไหลลงมาดังมากแต่ผมก็ยังนอนฟังเฉยๆ
จนได้ยินเสียงโวยวาย ของพวกเจ้าหน้าที่ จึงลุกขึ้นมาดู
ก็พบว่าน้ำป่าไหลลงมาเกือบท่วมโขดหินที่เราวางของไว้แล้ว
คนนำทาง ทั้ง 4 คนก็พยายามที่จะขนของ แต่ไม่ทัน
แค่ช่วง 2-3 นาที น้ำขึ้นสูงเกือบ เมตรต้องรีบกระโดดหนีไปอีกฝั่งเอาตัวรอดแทบไม่ทันเหมือนกันศรีศักดิ์ได้เอากล้องวีดีโอมาถ่ายภาพน้ำป่านี้เอาไว้
น้ำขึ้นสูงมาเรื่อยๆจนห่างจากที่พี่สมจิตรนอนอยู่
ประมาณ 1 เมตร ก็ ค่อยๆ ลดลง ผมก็เลยเข้าไปนอนอีกครั้ง
จนประมาณ ตี5 ตื่นขึ้นมา ได้ยินเสียงเหมือนหมาเห่าอยู่
ใกล้ๆที่พวกเรานอน ก็นอนฟังไปเรื่อยๆ จนฟ้าเริ่มสว่างก็เดินออกไปที่ห้วย
น้ำลดลงเกือบเป็นปกติแล้ว แต่ของเกือบทุกอย่างลอยไปกับสายน้ำเหลือแต่ข้าวสารอยู่
1 ถุง กับ หม้อสนาม 2 ใบ และ เป้ของ จนท. 1ใบ
พวกเราเลยปรึกษากัน ตกลงว่าจะต้องกลับกับแล้ว
เพราะเสบียงกับ ของใช้ ถูกน้ำป่าพัดไปหมดแล้ว
ข้าวสารที่เหลือก็พอหุงกินเป็นข้าวเช้ากับเที่ยงตอนเดินกลับเท่านั้น
ส่วนกับข้าว พวกเราก็มีอาหารกระป๋องติดตัวอยู่คนละกระป๋องสองกระป๋องพอปะทังไปได้ผมนั่งคุยกันสารพัดเรื่อง
จึงได้รู้ว่าเสียงหมาเห่าตอนใกล้รุ่งที่แท้เป็นเสียงเก้งร้อง |
เรารอจนฟ้าสว่างเห็นชัดเจนดีแล้ว
ทางคนนำทางก็เริ่มออกเดินตามหาของที่ลอยน้ำไป
จนประมาณ 1 ชั่วโมงต่อมาเราก็มีข่าวดี ได้พบ
เป้ใหญ่ของผม ซึ่งใส่อุปกรณ์ ทำอาหารเอาไว้ทั้งเตาแก้ส,
หม้อชุด, จานชาม, เครื่องปรุง, ไข่ไก่, ผักสด,
ไข่เค็ม และอาหารกระป๋องบางส่วน ซึ่งของส่วนใหญ่อยู่ในสภาพเกือบสมบูรณ์
ของที่เสียหายมีไข่ไก่แตกไป 4 ฟอง, เตาแก๊ซขาบิด,
หม้อบุบเล็กน้อย วันนี้เราเลยรอดตัวไม่ต้องอดมื้อนี้ผมลงมือทำกับข้าวเองเพราะแม่ครัวลุกไม่ขึ้นเนื่องจากโดนน้ำฝนรั่วใส่นอนเปียกๆทั้งคืน
โดยมีพี่สมจิตรกับยุพินเป็นมือหั่น อาหารมื้อนี้ของเราจึงสมบูรณ์มาก
มี ไข่เจียว, ไข่เค็มดาว, ผัดมะเขือยาว,ผัดกะหล่ำปลี,
ผัดผักรวมมิตร ส่วนอาหารกระป๋องเราเก็บไว้สำหรับมื้อเที่ยง
หลังกินข้าวเสร็จ คนนำทางและจนท. ก็ช่วยกันเดินหาของ
ในที่สุดก็ได้ของส่วนใหญ่คืนมา ทั้งเป้, เสื้อ
กางเกง รองเท้า รวมทั้งรองเท้าของชาลีด้วย ของที่หาไม่เจอก็มีกระเป๋าเสบียงและเสบียงส่วนใหญ่,
กระทะ, หม้อสนาม 3 ใบ, หม้อแกง 1 ใบ, เขียง,
กาต้มน้ำ, เป้ 1 ใบของจนท., กะสอบใส่ของของคนนำทาง,เสื้อผ้าของ
จนท. เราเก็บข้าวเก็บของเริ่มออกเดินทางกลับ
ตอนประมาณ 10โมง โดยแบ่งเป็น2กลุ่ม กลุ่มแรกจะล่องไปตามห้วยเพื่อหาของ
อีกกลุ่มก็เดินมากับพวกเรา ขากลับเราก็เดินอย่างสบายๆ
เดินไปหาทากไป แวะเล่นน้ำไป จนก่อนเที่ยงเล็กน้อยเราก็แวะ
พักกินข้าวกัน พอดีฝนเริ่มตกลงมา ทางคนนำทางจึงเร่งให้พวกเราเดินกลับอย่างเร็ว
เดินทำเวลาแบบแทบจะไม่มีการพัก เพราะถ้าน้ำป่ามาอีกจะทำให้เราติดอยู่ในป่าเนื่องจากในทางกลับเราต้องข้ามน้ำอีกหลายครั้ง
เราเร่งเดินกันมาจนถึงจุดที่รถมาส่งเมื่อวาน
ก็พบว่ารถไม่สามารถมาได้เนื่องจากน้ำในห้วยสูงขึ้นมากจนรถผ่านไม่ได้
จึงต้องเดินกับต่อไป เพื่อข้ามห้วยดังกล่าว
ที่ห้วยนี้กว้างประมาณ 50เมตร น้ำลึกถึงเอว
ไหลเชี่ยวมาก ต้องจับมือต่อกันเป็นแถว เดินข้ามไป
เมื่อข้ามห้วยมาเรียบร้อยแล้ว นั่งรอครู่ใหญก็มีรถของทาง
อช. มารับพาพวกเราไปส่งที่บ้านผม ซึ่งทุกคนที่บ้านแปลกใจมากที่กลับกันมาเร็วกว่ากำหนด
หลังจากได้พักผ่อน , ทำความสะอาดเสื้อผ้า และอุปกรญ์แล้วเราก็ปรึกษากันว่าจะไปไหนดี
เนื่องจากมีเวลาอีก 1 วัน ก็ตกลงไปอ่าวท้องหยี
ที่สุดหาดในเพลา อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช ในวันรุ่งขึ้น
ตามคำเสนอของคุณศรีศักดิ์
เช้าวันที่
8 พค. เราตื่นขึ้นมาด้วยความปวดเมื่อย พากันออกไปซื้อหาอาหารเช้ามากินกันแล้ว
ประมาณ 9โมง ก็ออกเดินทางไป โดยแวะรับคุณศรีศักดิ์และยุพินที่บ้านดอน
แล้วแวะซื้ออาหารที่ ปากทางเข้าอ.ดอนสัก จากนั้นก็ขับรถตรงไปที่อ่าวท้องหยีเลย
ทางเข้าหาดเป็นทางลูกรังชันมากและค่อนข้างลื่น
เวลาไปเที่ยวควรเป็นรถโฟร์วิลที่อ่าวท้องหยีเป็นหาดส่วนบุคคล
ปกติถ้าจะไปเที่ยวพักค้างคืนที่นี่จะมีบริการที่พักแบบกางเต้นท์
คิดราคาเป็นแพคเกจรวมอาหารด้วย คนละ 250บาทต่อคืน
(ราคานี้ไม่ยืนยัน) ที่นี่หาดสวยมาก , น้ำใส
แต่วันที่พวกเราไปที่หาดมีคราบน้ำมันสีดำติดอยู่บนพื้นทรายเป็นจำนวนมากเลยไม่ได้ลงเล่นน้ำทะเลกัน
คาดว่าคราบน้ำมันเหล่านั้นลอยมาจากท่าเรือน้ำลึกขนอม
น่าเสียดายจริงๆที่หาดสวยๆต้องมาหมอง เพราะเหตุนี้
เราอยู่ที่นี่กันจนถึงบ่าย3โมงก็เดินทางกลับ
โดยผมไปส่ง คุณศรีศักดิ์, ยุพิน,หั่งที่บ้านดอนเอขึ้นรถทัวร์กลับ
กทม ตอน 19.15น. ส่วนที่เหลือก็กลับมาที่นาสารและ
ขึ้นรถทัวร์กลับกทมตอนทุ่มตรง ส่วนตัวผมเองขับรถกลับ
ออกจากนาสาร 6โมงเช้า มาถึง กทม เที่ยงกว่าๆ
ของวันที่ 9 สำหรับทริปนี้แม้เราจะไม่สามารถพิชิตเขาหนองได้สำเร็จ
แต่ยังไงเราต้องพิชิตให้ได้ โดยผมตั้งเป้าไว้ว่าจะไปในช่วงหน้าแล้งประมาณเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าขอขอบคุณ
คุณสมพล ผช.หน.อช.ใต้ร่มเย็น , คุณปรีชา และคณะเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ดูแลเราเป็นอย่างดี
|
|
|
|
|