การดูแลรักษาไม่ให้ส้มปลอดโรคติดโรคอีก
จากที่กล่าวมาข้างต้นดูเหมือนว่าการทำสวนส้มในประเทศไทยจะอยู่ในสภาพสิ้นหวังถึงแม้จะใช้พันธุ์ปลอดโรคปลูก พันธุ์เหล่านี้ก็จะติดโรคอีกภายในเวลาไม่นานนัก อย่างไรก็ดีมีหลายระเทศที่ประสบปัญหาคล้ายคลึงกันกับประเทศไทย ได้แก้ไขปัญหาจนกล่าวได้ว่าประสบความสำเร็จลุล่วงไปแล้ว โดยสามารถลดความเสียหายอันเกิดจากโรคระบาดร้ายแรงเหล่านี้ให้อยู่ในระดับต่ำกว่าระดับเศรษฐกิจ ทำให้ผลผลิตส้มเพิ่มมากขึ้นทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ โดยขณะเดียวกันสามารถยืดอายุการผลิตของสวนส้มขึ้นได้อีกมาก มาตราการที่สำคัญที่ใช้กันทั่วไปได้แก่
1. เริ่มปลูกโดยใช้พันธุ์ปลอดโรคที่แท้จริง การใช้พันธุ์ปลอดโรคจะช่วยให้แน่ใจว่าอย่างน้อยที่สุดต้นพันธุ์จะสมบรูณ์แข็งแรงเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีแนวโน้มที่จะให้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงเป็นปริมาณมาก ทั้งนี้พันธุ์ปลอดโรคส่วนใหญ่จะขยายพันธุ์โดยการติดตาอยู่บนต้นตอส้มสามใบลูกผสมซึ่งมีความต้านทานต่อโรคโคนรากเน่า และมีระบบรากแข็งแรงทนดินกรดและน้ำขัง เช่น ทรอยเยอร์ และคาริซโซ่ หรือบางครั้งอาจจะใช้ต้นตอซึ่งไม่ทนต่อโรครากเน่ามากนัก แต่ทนต่อสภาพดินเหนียวจัดและเป็นด่าง เช่น คลีโอพัตรา ซึ่งการจะเลือกใช้ต้นตอชนิดใดนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของสวนส้มเป็นสำคัญ การใช้พันธุ์ปลอดโรคปลูกนี้มีข้อได้เปรียบกว่าการใช้กิ่งพันธุ์ซึ่งเป็นกิ่งตอนอยู่หลายด้าน ทั้งในด้านความสม่ำเสมอของกิ่งพันธุ์ ความแข็งแรงปลอดโรค การระบาดของโรคลดลง และการที่ต้นตอมีระบบรากที่แข็งแรงทนโรครากเน่า ช่วยให้เจ้าของสวนส้มเบาใจได้ว่า อย่างน้อยที่สุดปัญหาโรครากเน่าโคนเน่านั้นจะไม่มารบกวนอีกต่อไป
2. เลือกแปลงใหม่ที่ห่างไกลจากแหล่งปลูกส้มเดิม ถ้าเป็นไปได้เมื่อเริ่มแปลงปลูกส้มใหม่ ควรเลือกสถานที่ซึ่งห่างไกลจากแหล่งปลูกส้มเดิม ทั้งนี้เพื่อให้พ้นระยะของแมลงพาหะโรคกรีนนิ่งและโรคทริสเตซ่าจากแปลงเก่า ระยะที่ปลอดภัยประมาณ 5 กิโลเมตร และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นควรถอนทำลายต้นส้มและพืชตระกูลส้มอื่นๆ ซึ่งเป็นแหล่งแพร่เชื้อและแหล่งที่อยู่อาศัยขยายพันธุ์ของแมลงพาหะ เช่น แก้ว มะไฟจีน ฯลฯ ที่อยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตรของแลงใหม่ให้หมดสิ้น นอกจากนี้แล้วควรปลูกไม้โตเร็วเป็นแนวกันลมรอบๆ แปลงใหม่ด้วย เพื่อดูดซับแมลงพาหะที่อาจลอยตามลมมาในกรณีที่มีพายุลมแรง ไม้โตเร็วที่นิยมกันก็เป็นพวกที่มีใบใหญ่ทรงพุ่มหนา เช่น สะเดาช้าง กระถินเทพา เป็นต้น โดยอาจปลูก 4-5 แถวติดกัน
3. ควบคุมปริมาณแมลงพาหะ ไม่ว่าจะปลูกส้มปลอดโรคในแปลงใหม่ หรือในแปลงเก่าก็ตาม การควบคุมปริมาณแมลงพาหะนับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด ความสำเร็จในการควบคุมแมลงพาหะขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจในอุปนิสัยของแมลงพาหะทั้งสองชนิดอันได้แก่ เพลี้ยไก่แจ้ซึ่งเป็นพาหะของโรคกรีนนิ่ง และเพลี้ยอ่อนซึ่งเป็นพาหะของโรคทริสเตซ่า ซึ่งตามข้อมูลโดยสรุปเพลี้ยทั้งสองชนิดมีการระบาดมากในช่วงต้นส้มแตกใบอ่อน ดังนั้นก่อนที่ส้มจะแตกใบอ่อน จึงควรพ่นสารเคมีเพื่อกำจัดหรือลดปริมาณเพลี้ยทั้งสองชนิดนี้ลงและมีการติดตามดูการเพิ่มประชากรของเพลี้ยทั้งสองชนิดอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เพื่อจะได้ลงมือกำจัดได้ทันท่วงที การกำจัดเพลี้ยไก่แจ้และเพลี้ยอ่อนโดยใช้สารกำจัดแมลงได้ผลเป็นอย่างดี เพราะเพลี้ยทั้งสองชนิดค่อนข้างจะอ่อนแอต่อสารกำจัดแมลงหลายชนิด และหลายประเภท อย่างไรก็ดีปัญหาที่อาจเกิดขึ้นคือ การที่มีแปลงส้มขนาดเล็กหลายเจ้าของอยู่ติดต่อกันเป้นบริเวณกว้าง ถ้าพ่นสารเคมีกำจัดแมลงไม่ได้ทำพร้อมๆ กัน จะมีปัญหาการเคลื่อนย้ายของแมลงจากแปลงที่ไม่ได้รับการพ่นสารเคมีแล้วได้ทำให้ปัญหาของแมลงพาหะไม่สิ้นสุด ดังนั้นจึงควรอย่างยิ่งที่เกษตรกรจะรวมกลุ่มเพื่อปฎิบัติการพ่นสารเคมีกำจัดแมลงพาหะโดยพร้อมเพรียงกัน ส่วนจะเลือกใช้สารเคมีชนิดใดและพ่นเมื่อไรบ้างนั้น ควรใช้ข้อมูลที่ได้จากแปลง IPM ในแต่ละท้องที่ ทั้งนี้เพื่อให้การใช้สารเคมีเกิดประโยชน์สูงสุดตรงตามเป้าหมายไม่ทำลายแมลงศัตรูธรรมชาติของแมลงพาหะและไม่ใช้สารเคมีโดยไม่จำเป็น