มีการโต้เถียงกันมากว่าการที่สื่อมวลชนประโคมข่าวหน้าหนึ่ง เรื่องคนฆ่าตัวตายบ่อย ๆ นี้จะเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งให้คนทำตามหรือไม่ ฝ่ายสื่อมวลชนก็เถียงเข้าข้างตัวเองว่า ไม่ใช่ แต่ชาวบ้านคิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุเสริมอย่างหนึ่ง ส่วนผมคิดว่า การประโคมข่าวอย่างนั้นมีผลให้คนที่มีความเครียดอยู่เป็นทุนอยู่แล้ว เอาอย่างได้อย่างแน่นอน ไม่ต้องดูอื่นไกล จะเห็นได้ว่าแต่ละคนต่าง ก็เลือกเอาวิธีกระโดดตึกสูง ซึ่งน่าเสียวไส้มากเป็นวิธีฆ่าตัวตายกันเป็นส่วนใหญ่ แทนที่จะใช้วิธีการอย่างอื่นที่ง่าย ๆ ไม่เสียวไส้ ไม่ต้องเกร็งสุดขีดก่อนตาย นี่แสดงว่าคนเขาเอาอย่างข่าวในหนังสือพิมพ์นั่นเอง ถ้าหนังสือพิมพ์ไม่ลงข่าวคนเหล่านั้นบางคนอาจจะไม่ฆ่าตัวตายก็ได้
การฆ่าตัวตายโดยการกระโดดตึกนี้ เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความเสียวได้มาก แม้แต่เพียงคิดก็เสียวไปถึงไหน ๆ เสียแล้ว บางคนที่ไม่มีความเครียดให้ความเห็นว่า ถ้าเขามีความกล้าหาญพอที่จะทนความเสียวไส้จากการกระโดดตึกได้ ก็คงจะมีความกล้าหาญมากพอทนกับความทุกข์ของชีวิตได้ การกระโดดตึกตายนี้จึงน่าเห็นใจ
การฆ่าตัวตายนี้ สำหรับคนที่มีความรู้เรื่องทางการแพทย์ มันเป็นเรื่องง่าย ทำได้ง่าย ๆ สบาย ๆ หลายวิธี บางวิธีไม่เจ็บ บางวิธีเจ็บเล็กน้อยแต่สามารถ ไปไม่กลับหลับไม่ตื่นได้ง่าย คนที่มีความรู้เรื่องนี้โดยเฉพาะหมอหลายคน มีความกรุณาต่อเพื่อนมนุษย์มาก จึงอยากช่วยให้เขาฆ่าตัวตายสะดวก ๆ ไม่ทนทุกข์ทรมาน จึงได้ลงมือเขียนหนังสือคู่มือขายบ้าง เช่นที่ ญี่ปุ่นเคยมีคนเขียนหนังสือแนะนำวิธีฆ่าตัวตายขาย ทำให้เกิดเป็นเรื่องฮือฮาขึ้นมาเมื่อหลายปีมาแล้ว ส่วนที่สหรัฐฯ เมื่อปี 1991 ก็มีหนังสือแนะนำวิธีฆ่าตัวตายเล่มหนึ่ง พิมพ์ออกมาขาย ชื่อว่า Final Exit ซึ่งเขียนโดย นายเดอเร็ค ฮัมฟรี ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง Hemlock Society ซึ่งมีปรัชญาว่า การฆ่าตัวตายเป็นทางออกอย่างหนึ่งของคนที่แก่หง่อม และเจ็บป่วยเรื้อรังมาก ๆ ตอนแรกหนังสือนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาก แต่ตอนหลังกลายเป็นหนังสือขายดีระดับเบสท์เซลเลอร์ของสหรัฐ |
แพทย์หลายคนมีปรัชญาว่า การช่วยเหลือให้คนเจ็บป่วยมาก ๆ ฆ่าตัวตาย เป็นสิ่งที่ควรทำเป็นการแสดงความกรุณา จึงทำการช่วยเหลือให้คำแนะนำ ในการฆ่าตัวตายโดยส่วนตัวบ้าง การฆ่าคนไข้มีอยู่สองแบบคือ แบบที่หมอเป็นคนทำให้คนไข้ตาย เรียกว่า Eutanasia อีกแบบหนึ่งเป็น การช่วยให้คนไข้ฆ่าตัวเอง เรียกว่า Doctor Assisted Suicide
|
การฆ่าตัวตายโดยหมอช่วยนี้ เป็นเรื่องที่มีการโต้เถียงกันมาก ที่รัฐมิชิแกนเอง ก็มีคนไม่เห็นด้วยมาก หมอเควอร์เกียนถูกฟ้องร้องดำเนินคดี มาแล้ว 4 ครั้งและชนะทั้ง 4 ครั้ง แต่ความพยายามที่จะออกกฎหมาย ให้มีการช่วยคนไข้ฆ่าตัวตายนี้ ไม่ผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติของรัฐมิชิแกน มันจึงยังเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายในรัฐนั้น แต่ที่รัฐโอเรกอน มีกฎหมายนี้ใช้ เนื่องจากประชาชน ให้ฉันทานุมัติโดยการลงประชามติ
เมื่อไม่นานมานี้หมอเควอร์เกียน ได้ออกมาทำเรื่องให้ดังขึ้นอีกครั้ง โดยการก้าวล่วงจากการช่วยให้คนไข้ฆ่าตัวตาย เป็นการกรุณพิฆาตคนไข้ คือ แทนที่จะให้คนไข้เปิดก๊อกยาฆ่าตัวตายเอง แกก็ลงมือเปิดเสียเอง แค่นั้นยังไม่พอ หมอเควอร์เกียนยังทำการบันทึกวิดีโอ เอามาออกอากาศในรายการดัง 60 Minutes ของสหรัฐฯ เป็นการจงใจท้าทายให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองทำการจับกุมและดำเนินคดี เพื่อทำให้เรื่อง Eutanasia หรือกรุณพิฆาต เป็นเรื่องที่มีการวิพากวิจารณ์กันในสังคมจนเกิดการเปลี่ยนแปลงของสังคม ให้มีกฎหมายรับรองกรุณพิฆาตออกมาใช้สำหรับคนไข้ที่เป็นโรคเรื้อรังระยะสุดท้าย ทรมานทรกรรม ตอนนี้เรื่องกำลังดำเนินไปตามกฎหมาย หมอเควอร์เกียน มีจุดยืนที่แน่วแน่ว่าคนเรา ควรมีสิทธิจบชีวิตที่ไร้ค่าและทนทุกข์ทรมาน เนื่องจากโรคเรื้อรังของตัวเองได้ และถ้าเขาแพ้คดีแล้วติดคุก เขาก็จะอดอาหารตายในคุก ถ้าเขาชนะกรุณพิฆาตก็มีสิทธิ์เกิดขึ้นในสหรัฐฯ
เรื่องกรุณพิฆาตนี้มีคนไม่เห็นด้วยมาก ส่วนหนึ่งให้เหตุผลว่า คนที่คิดฆ่าตัวตายส่วนมากเกิดจากโรคจิตที่เรียกว่า โรคซึมเศร้า ซึ่งสามารถรักษาได้ การที่จะทำกรุณพิฆาตใครสักคน อาจจะเป็นการยากที่จะตัดสินว่าเขาคนนั้น กำลังเป็นโรคซึมเศร้าอยู่หรือเปล่า สำหรับเมืองไทยกรุณพิฆาตแบบนี้เห็นทีจะเกิดยาก เนื่องจากเมืองเรามีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลักที่ห้ามปาณาติบาต คือ ห้ามฆ่าสิ่งมีชีวิตไม่ว่าพืชหรือสัตว์ แม้แต่เรื่องทำแท้งก็ยังยากเลย
นพ.นริศ เจนวิริยะ