ฆ่าตัวตาย  


มีข่าวทางสื่อมวลชนเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายอยู่หลายครั้ง และมีการวิเคราะห์วิจารณ์ไปยังสื่อมวลชนหลายแขนงในเชิงวิเคราะห์วิจารณ์ และให้ความรู้เพื่อให้มวลชน และครอบครัวตระหนักช่วยกันระมัดระวัง และป้องกันมิให้การฆ่าตัวตายระบาดเป็นแฟชั่น หรือมิให้เกิด การฆ่าตัวตายโดยไม่จำเป็น และไร้เหตุผล เพราะเบื้องหลังของการตายนั้น ย่อมก่อให้เกิดความเศร้าโศก สะเทือนใจต่อผู้อยู่เบื้องหลัง และส่วนใหญ่จะไร้ประโยชน์ ไร้ค่า และถูกลืมไปในที่สุด

แพทย์หญิงสุพัฒนา เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา แพทย์ที่ปรึกษา โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ได้รวบรวมการค้นคว้าด้านคลินิก และวัฒนธรรมทางสังคมของผู้ตั้งใจฆ่าตัวตายอย่างจริงจัง ในวัฒนธรรมตะวันตก

แสดงว่าผู้มีประวัติ และลักษณะต่อไปนี้ หลายประการร่วมกัน มีอันตรายสูงที่จะฆ่าตัวตายมากกว่าพวกที่มีลักษณะตรงข้าม

  • มีประวัติเคยพยายามฆ่าตัวตายมาแล้ว
  • อายุ 40 ปีขึ้นไป และยิ่งอายุมากขึ้นแนวโน้มอันตรายก็ยิ่งสูง ขึ้น ในบรรดาผู้ป่วยจิตเวชทั้งหมด ผู้ป่วยซึมเศร้าชนิดต่างๆ และผู้ป่วยโรคจิตชนิดซึมเศร้าในวัยต่อ มีอัตาการฆ่าตัวตายสูงสุด
  • มีโรคประจำตัวร้ายแรง หรือ สุขภาพเสื่อมโทรมาก
  • เป็นโสด, หย่า, ร้าง, ม่าย หรือ สมรสแล้วแต่ไม่มีบุตรเลย
  • เกิดภาวะเศรษฐกิจคับขัน โดยที่ปกติเป็นผู้มีการครองชีพ ระดับสูง เช่น นักธุรกิจ, นักบริหาร เป็นต้น
  • อยู่ในเมืองใหญ่ที่มีพลเมืองหนาแน่น
  • เป็นคนไม่ใคร่มีเพื่อน หรือไม่สามารถทำตัวเป็นเพื่อนใครได้
  • มีประวัติติดสุราหรือยาเสพย์ติดอื่น
  • มีประวัติผิดปกติทางจิตเวช ยกเว้นพวกปัญญาอ่อน ซึ่งไม่ใคร่ฆ่าตัวตาย สเตงเกล กล่าวว่า 1 ใน 3 ของบรรดาผู้ฆ่าตัวตาย เป็นผู้ป่วยจิตเวช และ 2 ใน 3 เมื่อศึกษาย้อนหลังพบว่า มีอารมณ์ไม่คงที่เช่นปกติ
  • ในบรรดาคริสต์ศาสนิกชน พวกนิกายโปรเตสแตนต์ ฆ่าตัวตายมากกว่าพวกคาทอลิก ยกเว้นชาวออสเตรีย ซึ่งเป็นคาทอลิกที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงมาก และนอรเวกับเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นโปรเตสแตนต์ที่มีอัตราการฆ่าตัวตายต่ำ
  • มีประวัติการฆ่าตัวตายในครอบครัว การฆ่าตัวตายตามที่มีบุคคล ที่มีความสำคัญต่อชีวิตของผู้ป่วยเกิดจากกลไกการเลียนแบบ มิใช่พันธุกรรม
  • พวกวิกลจริตที่มีความขัดแย้งภายในมีแนวโน้มอันตรายสูง กว่าพวกที่มีความขัดแย้งใจระหว่างบุคคลอย่างปัจจุบัน
  • มีประวัติบ้านแตก หรือครอบครัวแตกแยก ก่อนอายุ 15 ปี สหรัฐศึกษาเด็กหญิงวัยรุ่นที่พยายามฆ่าตัวตาย พบว่า 2 ใน 3 ชีวิตครอบครัวที่ยุ่งเหยิงและแตกแยก พ่อแม่หย่าร้าง หรือแยกกันอยู่ มีเฆอร์และจาคอบส พบว่า เด็กวัยรุ่นที่พยายามฆ่าตัวตาย ขาดพ่อแม่ ต้องอยู่ในความอุปการะของญาติ หรือผู้ใจบุญ หรือ พ่อแม่ชอบย้ายบ้าน, ย้ายโรงเรียนให้ลูก และพ่อแม่ทะเลาะกันหรือทะเลาะกับลูก เด็กเหล่านั้น จึงรู้สึกว่าตนถูกชิงชังมาแต่เด็ก พ่อหรือแม่มักเคยพูดกับลูกว่า "ถ้าแกไม่เกิดมาชีวิตฉันก็จะดีกว่านี้" หรือ "รู้ยังงี้ปล่อยให้รถทับตายเสียก็ดี" ชีวิตครอบครัวรูปนี้ทำให้โครงสร้างของผู้ป่วยไม่เข้าร่องเข้ารอย ทำให้ทนความผิดหวังไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะการถูกปฏิเสธจากผู้อื่น เช่น เมื่อคู่รักทิ้งไป ปฏิกิริยาที่แสดงออกคือ การแยกตัว หรือ ฆ่าตัวตาย
  • ภายหลังการสูญเสียที่มีความสำคัญต่อชีวิตในระยะเวลา ไม่เกิน 6 เดือน
  • ญาติแสดงท่าทีไร้ความเห็นใจ
  • อาการบอกเล่า หรืออาการแสดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ ป่วยจิตเวช
         -อาการเศร้าร่วมกับความรู้สึกผิด และดูถูกตนเอง
         -หมกหมุนคิดว่าตนป่วยทางกายอย่างรุนแรง หรือบ่น แต่อาการทางกายซ้ำซาก บางคนไม่แสดงอาการเศร้าเลย บ่นแต่อาการฝ่ายกายอย่างเดียว หรือในเด็กวัยรุ่น ความเศร้า อาจแสดงออกมาในรูปตรงข้าม คือ มีพฤติกรรมก้าวร้าวทำลาย ทำให้จิตแพทย์วินิจฉัยพลาดไป อาการเศร้าที่แฝงเร้นอยู่ในรูปอาการอื่น นี้เรียกว่า ครีทแมน และคณะรายงานว่า ในผู้ป่วย 120 ราย รายที่มีความเศร้าซ่อนอยู่ จิตแพทย์สามารถวินิจฉัยได้ว่า มีอาการเศร้าเพียง 21 ราย เท่านั้น
         -นอนไม่หลับและกังวลเรื่องนี้มาก
         -กลัวว่าตนทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น
         -พูดถึงการฆ่าตัวตาย แสดงความสนใจข่าวการตายอย่างผิดปกติ, พูดทำนองสั่งเสีย หรือเขียนจดหมายร่ำลา 60-75% ของผู้ป่วยจิตเวชที่ฆ่าตัวตาย มักบอกให้ผู้หนึ่งผู้ใดทราบล่วงหน้า แต่มักไม่ค่อยบอกแพทย์ผู้รักษา 15% เขียนข้อความทิ้งไว้ก่อนฆ่าตัวตาย
         -มีประสาทหลอนชนิดน่าหวาดกลัวและร้ายแรง ซึ่งทรมานจิตใจ และขู่ขวัญผู้ป่วยจนทนไม่ได้จึงตัดสินใจ หนีให้พ้นความหวาดกลัวนั้นด้วยการฆ่าตัวตาย
         -ฝันร้ายและฝันอย่างเป็นพยาธิสภาพ ศาสตราจารย์ คีลโฮลท์ซ แห่งบราซิลเตือนว่า ผู้ป่วยซึมเศร้าที่มีเนื้อหาความในฝัน ในทางทำลายตนเอง พึงระวังการฆ่าตัวตายให้จงหนัก
         -รู้สึกหมดพลังชีวิต หรือไร้สมรรถภาพโดยสิ้นเชิง

    แพทย์หญิงสุพัฒนา เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา ได้สรุปกลไกของจิตใจ และความสัมพันธ์ของความคิดฆ่าตัวตายไว้ว่า

    ความคิดอยาก ฆ่าตัวตาย ชั่วขณะหรือชั่วอารมณ์วูบหนึ่ง อาจเกิดขึ้นได้ในคนปกติ แต่ถ้าคิดซ้ำซากก็เป็นพยาธิสภาพ หลายคนเชื่อว่าผู้ฆ่าตัวตายทุกคน ในขณะฆ่าตัวตายจะต้องมีความผิดปกติ ทางจิตเวช แต่สเตงเกลเองเห็นว่า คนฆ่าตัวตายไม่จำเป็นต้องมีจิตใจ ผิดปกติเสมอไป การฆ่าตัวตายเป็นพฤติกรรมผิดปกติ เพราะคนส่วนมาก จะไม่ฆ่าตัวตาย แม้จะตกอยู่ในภาวะเช่นเดียวกันนั้น

    ทั้งการพยายามฆ่าตัวตาย และการฆ่าตัวตาย อย่างจริงจังไม่ ผูกพันกับพยาธิสภาพอย่างใดอย่างดียว แต่มักพบได้บ่อยในผู้ที่มีอาการซึมเศร้า ผู้คิดฆ่าตัวตายทุกคนมีความรู้สึกตรงกันข้ามทั้งสองฝ่ายปนกันอยู่ คือ ทั้งอยากตาย และอยากมีชีวิตอยู่ในขณะเดียวกัน เพียงแต่มีความรู้สึก ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากกว่าเท่านั้น

    การฆ่าตัวตายอาจเป็นการลงโทษตนเอง, เป็นการแก้แค้นผู้อื่น, หรือเนื่องมาจากความเชื่อเรื่องเกิดใหม่ในชาติหน้าร่วมกับคนที่ตนรักก็ได้ ทุกคนที่คิดฆ่าตัวตายจะมีความรู้สึกอย่างหนึ่งคล้ายกัน คือ รู้สึกว่าตน "ขาดความรัก" การฆ่าตัวตายจึงอาจเป็นการยังความสำนึกผิด ให้บังเกิดแก่บุคคลสำคัญในชีวิตของเขา ซึงได้ละเลยหรือทอดทิ้งเขา ถือเป็นการแก้แค้นวิธีหนึ่ง

    แม่ชาวสวีเดนเลี้ยงลูกอย่างปล่อยให้พึงตนเองโดยเร็ว แม่จะแสดงให้ลูกรู้ว่าแม่พอใจและภูมิใจมากถ้าลูกมีความสามารถ ทั้งยังอบรมลูกให้เก็บความรู้สึกและไม่ก้าวร้าวเมื่อโกรธ ชาวสวีเดน ผู้ไม่มีทางระบายความโกรธ, ซ้ำยังได้รับการปลูกฝังว่าความสำเร็จ และความสามารถเป็นความสำคัญของชีวิต, จึงเกลียดชังตัวเองมาก ถ้าชีวิตในด้านการงานล้มเหลว, วิธีลงโทษตนเองคือ การฆ่าตัวตาย อัตราการฆ่าตัวตายในสวีเดนจึงสูงมาก

    ความรู้จากแพทย์หญิงสุพัฒนา เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา ทั้งหมดนี้น่าจะทำให้ประชาชนในยุคปัจจุบันที่ถูกกระทบ จากความเปลี่ยนแปลงรอบด้าน ทั้งภายในประเทศและจากนอกประเทศ ในทุกๆ ด้าน เช่น ด้านสังคม เศรษฐกิจ การศึกษา การเมือง ทำให้สถาบันครอบครัวไม่มั่นคง หรือทำให้สถาบันครอบครัวล่มสลาย เพิ่มมากขึ้น ปัญหาการฆ่าตัวตาย จึงตามหลังมาอย่างกระชันชิด และจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น การมีความรู้ที่เพียงพอ การปรับตัวที่เหมาะสม และความสามารถในการเกื้อกูลช่วยเหลือ เมตตากรุณา และอภัยให้กันเท่านั้นที่จะช่วยลดภาวะฆ่าตัวตายลงได้บ้าง

    นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์


  • Back