เป็นความเสียใจแทบแตกสลายของผู้ปกครอง เป็นความเศร้า สะเทือนใจ อย่างยิ่งของ ครูอาจารย์และเพื่อน ๆ ที่รู้ข่าวและรับทราบการจากไปที่ไม่ธรรมดาของคนเหล่านี้ เรื่องราวของการฆ่าตัวตาย เกิดขึ้นครั้งแรกในเมืองไทย เมื่อไหร่ เป็นวิธีที่ได้รับการสั่งสอน สั่งสม หรือ ระบาดมาอย่างไร เป็นเรื่องยากที่จะหาคำตอบ แต่ในอดีตที่ผ่านมารู้แต่ว่า สาเหตุของการฆ่าตัวตายที่มักกล่าวอ้างกันเสมอ คือฆ่าตัวตายเพราะหนีโรคร้าย
แต่นั่นเป็นสภาพที่เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีก่อน ซึ่งสภาพสังคมยังไม่สลับซับซ้อน ยุ่งยากเหมือน ปัจจุบัน และคนที่คิดฆ่าตัวตาย หรือ ลงมือกระทำอัตวินิบาตกรรมก็เป็นผู้ที่อยู่ในวัยกลางคน หรือ ช่วงอายุ 35-51 ปี มาถึงปัจจุบันที่สภาพสังคมซับซ้อนมากขึ้น และการเดินทางรอบโลก สามารถกระทำได้เพียงลัดนิ้วมือเดียว การฆ่าตัวตายของคนไทยจึงมีสภาพที่เปลี่ยนแปลง ไปจากอดีต อันดับแรกคือช่วงอายุจากเดิม 35-51 ปี เปลี่ยนมาเป็น 15-24 ปี ถัดมาเป็นเรื่อง กลุ่มคนเสี่ยงที่มีแนวโน้มเป็นนักเรียน-นักศึกษา มากขึ้น เนื่องมาจากสภาพสังคม ที่เปลี่ยนแปลงจากสังคมสงบ อยู่กันอย่างเครือญาติถ้อยที่ถ้อยอาศัย กลายเป็นสังคม ที่มีการแข่งขันสูง แข่งขันกันตั้งแต่ลืมตาดูโลกทีเดียว
นายนิติกร มีทรัพย์ รองผู้อำนวยการผ่ายวิชาการสำนักพัฒนาสุขภาพจิต กล่าวถึงสถานการณ์ อันตรายนี้ว่า สภาพสังคมปัจจุบันมีการแข่ขันสูงมาก แม้แต่ในระบบการศึกษาก็แข่งขันกัน สอบเข้าเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลทำให้คนเกิดความเครียดตั้งแต่เด็ก เดิมกลุ่มคนที่มักฆ่าตัวตายจะเป็นผู้สูงอายุที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ที่รูสึกผิดหวังล้มเหลวในชีวิต แต่ในวันนี้กลับเป็นกลุ่มรุ่นหนุ่มสาวที่ยังไม่เข้าวัยเบญจเพส
นายกิติกร กล่าวถึงคนฆ่าตัวตายมี 2 แบบ คือ กลุ่มจงใจฆ่าตัวตาย พวกนี้สังเกตยาก และ กลุ่มที่มีความเครียดแล้วไม่มีทางออก จึงพยายามฆ่าตัวตาย มักเกิดขึ้นในกลุ่มนักศึกษา นักเรียน เพราะพวกนี้มีการแข่งขันกันสูงมาก ต้องตื่นตัวตลอดเวลา ความเครียดจึงสะสม เรื้อรัง เด็กสมัยนี้ อายุแค่ 20 ปี ก็เริ่มเครียดกันแล้ว เมื่อเครียดแล้วไม่มีทางออก ก็เกิดอารมณ์เศร้า รู้สึกชีวิตตีบตัน สิ้นหวัง ไม่มีใครช่วยเหลือ รู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวในโลกในที่สุด ต้องตัดสินใจฆ่าตัวตายเป็นทางออก ลักษณะนี้เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นสูงมาก เพราะมีการ แข่งขันสูง รวมทั้งประเทศนิวซีแลนด์ เพราะนิวซีแลนด์ประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับประเทศไทย
"มูลเหตุของการฆ่าตัวตายในเด็กวัยนี้มีอยู่ 2 เรื่องใหญ่คือ เรื่องความรัก และปัญหาเรื่องเรียน วิตกกังวลกลัวเรียนไม่จบ หรือไม่มีงานทำ ไม่รู้อนาคต ซึ่งปัญหานี้เกิดกับเด็กวัยนี้แทบทุกคน แต่ทุกคนมิได้เลือกฆ่าตัวตาย เพราะแต่ละคนมีบุคลิกภาพไม่เหมือนกัน บางคนปรับตัวเก่ง แต่สำหรับคนที่เปราะบางมาก ไม่สามารถทนต่อสภาพกดดันได้ จึงต้องเลือกฆ่าตัวตาย กลุ่มนี้นับวันจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น ส่วนสาเหตุอื่น ๆ ที่พบ อาทิ เกิดความน้อยใจเมื่อถูกตำหนิ หรือสอบตก นี่เป็นเพียงสาเหตุเสริม คาดว่าน่าจะมีปัญหาหรือความกดดันในจิตใจ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเจอเหตุการณ์เพียงเล็กน้อยก็เหมือนถูกซ้ำเติมอย่างรุนแรงจึงคิดสั้น"
สำหรับการฆ่าตัวตายนั้นในแต่ละวินาทีของแต่ละวัน มีแนวโน้มอัตราการฆ่าตัวตายของ ประชากรสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน่ากลัว ข้อมูลเดิมจากสำนักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข อัตราการฆ่าตัวตายคิดเป็น 1.9 ต่อ แสนประชากร และเพิ่มขึ้นเป็น 3.11 ต่อแสนประชากร ใน พ.ศ. 2538 และปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 7 ต่อประชากร 1 แสนคน แต่ในความเป็นจริงอาจจะมากกว่านี้ เพราะมีจำนวนมากที่เป็นคดีเพราะอับอาย
ส่วนข้อมูลจากกรมตำรวจ และสถานบริการสาธารณสุขทั่วไประบุว่า ปีพ.ศ. 2536 มีอัตราการคิดฆ่าตัวตาย 25.85 ต่อแสนประชากร และ พ.ศ. 2537 เพิ่มขึ้นเป็น 45.05 ต่อแสนประชากร ในขณะที่กลุ่มงานระบาดวิทยากรมสุขภาพจิต รวบรวมข่าวสาร การฆ่าตัวตาย พบว่า ระยะเวลาระหว่างวันที่ 6 กรกฎาคม -31 ธันวาคม 2540 เกิดเหตุการณ์ ฆ่าตัวตายถึง 269 ข่าว ตายสมใจ 289 คน บาดเจ็บ 37 คน ในจำนวนนี้มาจากปัญหาเศรษฐกิจ 81 คน ใช่ปืนยิงตัวตาย 92 ราย แขวนคอตาย 81 ราย กินยาฆ่าแมลง 26 ราย โดดตึก 25 ราย และวิธีอื่น ๆ อีก 35 ราย มิหนำซ้ำยังพาผู้อื่น อาทิ ลูก คนรักและผู้อยู่ใกล้เคียงลาโลกไปด้วยถึง 33 ราย
หากโฟหัสมาที่นักเรียน-นักศึกษา วิธีการฆ่าตัวตายที่ฮิตมาก คือ การกระโดดตึก นั้น นายกิติกรแสดงทัศนะต่อเรื่องนี้ว่า เป็นเพราะนักเรียน-นักศึกษานอกจากจะคับข้องใจ และทนความกดดันในสภาพสังคมอันเปราะบางเช่นทุกวันนี้แล้ว คนที่เลือกการกระโดดตึก ฆ่าตัวตาย ก็เพื่อประจานสังคม ประจานคนใกล้เคียง รวมถึงครอบครัว อยู่ลึก ๆ แต่จริง ๆ แล้ววิธีการฆ่าตัวตายขึ้นอยู่กับบุคลิกของผู้ที่จะฆ่าตัวตายมากกว่า โดยคนที่มีความก้าวร้าว รุนแรง มักเลือกวิธีค่อนข้างเจ็บปวด เช่น ยิงตัวตาย แต่ถ้าเป็นคนเปราะบาง จะเลือกวิธี ที่ไม่ทำให้รู้สึกทรมานหรือเจ็บปวด เช่น กินยาตาย กระโดดน้ำตาย เป็นต้น แต่วิธีที่นิยมใช้ มากที่สุดสำหรับผู้ผิดหวังในรัก มักใช้วิธีผูกคอตาย รองลงมายิงตัวตาย และกินยาฆ่าแมลง
ดังนั้นเมื่อเกิดมีคนใกล้ชิด หรือเพื่อน จะฆ่าตัวตาย มักมีสัญญาณบอกเหตุ เช่น บ่นอยากตาย เบื่อหน่าย ไม่มีคนเข้าใจ อยากอยู่คนเดียว หากได้ยินเสียงบ่นลักษณะนี้แล้วอย่านิ่งนอนใจ ต้องให้ความเอาใจใส่ และถามไถ่พูดคุย ทั้งนี้เพื่อช่วยลดความกดดันภายในจิตใจ นักเรียน -นักศึกษาที่คิดฆ่าตัวตาย ต้องมีเหตุที่สั่งสม ไม่ใช่เรื่องเพียงเรื่องเดียว และเมื่อถึงเวลา หาทางออกไม่ได้ การฆ่าตัวตายจึงเป็นทางเลือกที่สำคัญ โดยไม่คิดว่าคนที่อยู่ข้างหลัง จะเศร้าโศก อาดูร เพียงใด ดังนั้ก่อนที่จะทำให้เด็กตัดสินใจถึงจุดดังกล่าว พ่อแม่ผู้ปกครอง ครู อาจารย์ นั่นแหละ คือ รั้วที่ล้อมคอกความคิดอันตรายนี้เป็นอย่างดี ส่วนตีวนักเรียน-นักศึกษา เองนั้นความสำเร็จในเรื่องการเรียน การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต การรู้จักปรับตัวปรับใจเมื่อไม่สมหวัง และยอมรับกับความจริง ที่เกิดขึ้น จะเป็นแนวทางไปสู่ความสำเร็จตามที่หวังได้ในที่สุด