ข่าวคราวความเครียด
หยุดย่ำยี"เด็ก-เยาวชน"นรกในบ้าน พิษร้ายภาพหลอนที่น่ากลัว
วันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคมของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น "วันเด็กแห่งชาติ" ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ 13 ม.ค. ก็คือวันนี้นี่เอง ต้องยอมรับว่าทุกคนผ่านวัยเด็กมาด้วยกันทั้งสิ้น แต่ความหมายของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกันมากนัก เพราะทุกชีวิตมีหลากหลายอรรถรสให้ได้สัมผัส บางคนก็สุขล้นกับครอบครัวที่อบอุ่น บางคนก็ทุกข์ตามอัตภาพชีวิต !?!
เมื่อปีที่แล้ว ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีได้มอบคำขวัญวันเด็กไว้ว่า "มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย" ในปีนี้ยังไม่รู้ว่านายกรัฐมนตรีที่กำลังจะโบกมือลาหลังพ่ายแพ้การเลือกตั้ง จะให้คำขวัญใดออกมาอีก เป็นไปได้ว่า คงไม่มีคำขวัญที่แปลกไปจากนี้ หรืออาจจะยึดถือแนวเดิมก็เป็นไปได้เช่นกัน
แต่จะอย่างไรก็ตามที ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย บอกว่า คำขวัญวันเด็กปีนี้ขอเป็นว่า "เรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้ มุ่งสู่อนาคตที่ดี" เด็กก็ยังคงเป็นพลังอันมีค่า เป็นทรัพยากรบุคคลที่สำคัญของประเทศ ในการพัฒนาแผ่นดินนี้ให้เป็นแผ่นดินทองอยู่เช่นเดิม
ทว่า..ในมุมกลับกัน เขาเหล่านั้นก็ถูกทำลาย
ทั้งจากผู้ปกครองที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทั้งจากสังคมที่ลืมระมัดระวัง ทั้งจากปัญหายาเสพย์ติดทั้งหลายที่พรั่งพรูเข้ามาในสังคมไทยจนไม่สามารถที่จะต้านทานได้
วันนี้เราพยายามพูดกันว่า บ้านคือสวรรค์ของเรา บ้านคือวิมานของเรา บ้านคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด เป็นเพราะว่านอกบ้านนั้นจะเผชิญกับความเครียด พบปะคนแปลกหน้า หรือจากสภาวะสิ่งแวดล้อมรายรอบตัวก็ดี เมื่อกลับบ้านแล้วได้เห็น พูดคุยกับสมาชิกที่อยู่ในบ้านอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา คงจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
บัดนี้ บ้านลักษณะนี้เป็นแค่บ้านในอุดมคติ หลาย ๆ บ้านกลับมีภัยมืดที่ทุกคนมองไม่เห็น
ปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่าสภาพทางสังคมก็ดี สภาพทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ทำให้พฤติกรรมของมนุษย์ต้องเปลี่ยนแปรไปตามปัจจัยที่เกิดขึ้น จากคนที่เคยมีลักษณะโอบอ้อมอารี เมตตากรุณา อบอุ่น ใจเย็น เป็นพ่อที่ดีของลูก เป็นสามีที่ดีของภรรยา กลับต้องมีพฤติกรรมที่ชอบใช้ความรุนแรง ก้าวร้าว ทุบตีทำร้ายลูกเมีย เพื่อเป็นที่ระบายความเครียด ทำให้บ้านซึ่งเคยเป็นสวรรค์ของบางครอบครัว ต้องกลายเป็นน "นรก" ดี ๆ ไป
จากหนังสือสถิติคดีอาญาในประเทศไทย รวบรวมโดยศูนย์ข้อมูลข้อสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2532-2541 รับแจ้ง คดีทำร้ายร่างกาย ในปี 2532 จำนวน 12,000 คดี และมีจำนวนเพิ่มขึ้นจนปี 2541 มีคดีถึง 18,000 คดี ซึ่งผู้ต้องหาเป็นชายถึงร้อยละ 87 ใช้กำลังในการทำร้ายมากที่สุดถึงร้อยละ 37 โดยเคหะสถานเป็นที่ที่ถูกระบุว่าเป็นสถานที่เกิดเหตุมากที่สุด ถึงร้อยละ 36
รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล บอกว่า บางคนที่คิดว่าบ้านคือวิมานของเรา คงเป็นความหมายในอุดมคติมากเกินไป และบ้านคือสถานที่อบอุ่นปลอดภัยก็เป็นความเชื่อที่ผิดอีกเช่นกันเพราะว่าไม่ว่าจะเป็นการทำร้าย อนาจารก็มักจะเกิดขึ้นที่บ้าน กับคนรอบตัวเรานี่เอง เช่น พ่อ ครู ญาติ คนอื่นๆ
"บางครั้งเป็นความรุนแรงแอบแฝง เช่น ผู้ใหญ่นอนลงแล้วเอาเด็กผู้หญิงขึ้นมาทับบนตัวแล้วโยกไปโยกมา เด็กก็คิดว่าสนุก แต่จริงแล้วมันเป็นการบำบัดความใคร่อย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ปัญหาความรุนแรงในบ้านที่นับวันจะรุนแรงมากขึ้น เป็นเพราะว่าการที่ผู้หญิงซึ่งเป็นผู้ที่อ่อนแอนั้นยอมมากเกินไป เพราะว่าจะต้องไปพึ่งพาเขาอยู่ ซึ่งจริงแล้วอย่าไปยอมมาก ต้องต่อสู้บ้างมิฉะนั้นก็จะตกเป็นเหยื่อตลอดไป"
รศ.ดร.กฤตยา บอกทางแก้ปัญหาไว้ว่า ชุมชนไม่ควรจะเพิกเฉยหรือปกปิดกับปัญหา อย่าบอกว่าเป็นปัญหาครอบครัวปัญหาผัวเมีย ควรที่จะมีการต่อต้านโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียชื่อเสียง เช่น หากในชุมชนนั้นครูทำร้ายเด็กควรจะต่อต้านทันที อย่าไปเกรงว่าจะเสียชื่อเสียงของชุมชนของโรงเรียน ทุกวันนี้ที่ปัญหาบานปลายกันก็เพราะชุมชนอ่อนแอ
เช่นเดียวกับ วัลลภ ตังคณานุรักษ์ หรือ ครูหยุย เลขาธิการมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก และ ส.ว.กรุงเทพฯ บอกว่า บ้านที่ทุกคนคิดว่าปลอดภัยหรืออบอุ่นนั้น เป็นเพราะเมื่อก่อนสังคมไทยเป็นครอบครัวขยาย มีพ่อ แม่ พี่ น้อง ปู่ ย่า ตา ยาย คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แต่ปัจจุบันมันกลายเป็นครอบครัวเดี่ยว ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่ทุกคนเครียดกัน จึงเกิดความรุนแรงขึ้น
ดังนั้น ทางที่จะแก้ปัญหาที่ดีที่สุดนั้น เราจะต้องเตรียมครอบครัวใหม่ ที่พ่อ แม่จะต้องช่วยกันเลี้ยงลูกโดยเฉพาะลูกชายให้เป็นคนที่มีความเมตตากรุณา เป็นสุภาพบุรุษ ไม่รังแกผู้หญิง อีกอย่างต้องยอมรับว่าประสบการณ์เป็นอีกอย่างที่เป็นเหตุทำให้ผู้ชายชอบใช้ความรุนแรงกับลูกเมีย เพราะว่า เมื่อเขาเป็นเด็กเขาก็เคยเห็นพ่อทำร้ายแม่ แล้วแม่ก็ยอม สิ่งนี้ทำให้เขาคิดว่าถ้าเขาจะไปทำร้ายลูกเมีย ภรรยา ยามที่เขาโตขึ้น ก็คงไม่เป็นไร ซึ่งการสร้างครอบครัวใหม่ที่กล่าวไปนั้นคงเป็นทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดในตอนนี้
"ทางการเมืองก็ต้องเข้ามามีส่วนช่วยเหลืออย่างมากในเรื่องงบประมาณ เช่น สร้างสวนสาธารณะเพื่อที่จะให้ครอบครัวได้ใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ พูดคุย ซึ่งจะทำให้บรรเทาปัญหา แต่อย่างไรก็ตาม เราก็อย่าลืมครอบครัวเก่าด้วย เพื่อที่จะพัฒนาไปด้วยกัน นอกจากนี้ผู้หญิงควรจะมีส่วนร่วมทางการเมืองให้มากขึ้น เนื่องจากเรื่องแบบนี้ผู้หญิงจะมีความคิดที่ลึกซึ้งในการแก้ปัญหามากกว่าผู้ชาย"
มุมมองของแต่ละคนจะพุ่งเป้าประเด็นไปตรงที่ ความโหดร้ายในบ้าน ซึ่งหล่อหลอมให้เยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป สังคมไทยจึงเพิ่มพูนปัญหาไปเรื่อย ๆ ผู้ใหญ่ให้ความใส่ใจเด็กเพียงเฉพาะงานวันเด็ก อาจจะไม่ช่วยอะไรให้สังคมดีขึ้นได้ เพราะยังมีเด็กอีกจำนวนมากกว่าส่วนที่ได้รับความอบอุ่นในงานวันเด็ก ยังประสบชะตากรรมชีวิตที่แก้ไม่ตก
หยุดสร้างภาพหลอนเยาวชนไทยกันดีกว่า จริงจัง มุ่งมั่นพัฒนาเด็กไทยให้มากกว่านี้ ไม่ใช่แค่ "วันเด็ก" วันเดียว