อุทยานการศึกษา "สุขบท"

โรงเรียนชลบุรี "สุขบท" ปัจจุบัน ตั้งอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เป็นแหล่งวิทยาการซึ่งมีมาแต่ดั้งเดิม
สมัยกรุงศรีอยุธยา ประกอบด้วยโบราณสถานโบราณวัตถุศิลปะวัตถุ มีค่าควรศึกษาด้านประวัติศาสตร์
และโบราณคดีเป็นอย่างยิ่ง จึงได้จัดทำโครงการอุทยานการศึกษาขึ้นเพื่อเป็นการให้ความรู้แก่นักเรียน
นอกห้องเรียน โดยไม่ต้องอธิบายหรือสอนเรียกว่า "ครูพูดไม่ได้" นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
ตลอดเวลา นอกจากนี้เป็นการเผยแผ่ความรู้สู่ชุมชน และผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี อาจารย์ นักเรียน
ตระหนักในคุณค่า ของโบราณสถาน โบราณวัตถุที่อยู่ใกล้ตัว เริ่มโครงการในสมัยนายประเสริฐ มงคล
เป็นผู้อำนวยการ ได้มอบหมายให้อาจารย์คณะหนึ่งศึกษาความเป็นมาของโบราณสถานและโบราณวัตถุ
จัดทำป้ายชื่อพร้อมประวัติย่อ ๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ทำแผนผังอุทยานการศึกษาแนะนำ
การเดินทางขึ้นชมให้แก่ผู้สนใจ ได้จัดทำแผ่นพับสไลด์ เพื่อเผยแผ่และประชาสัมพันธ์ให้นักเรียนของ
โรงเรียนชลบุรี "สุขบท" และคณะอาจารย์ที่มาเยี่ยมชมโรงเรียนได้รู้จัก ได้มีพิธีเปิดอุทยานการศึกษา
เป็นทางการ เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ เวลา ๙.๐๙ นาฬิกา ซึ่งตรงกับวันสถาปนาโรงเรียน
เมื่อโรงเรียนมีอายุครบ ๘๖ ปี สมัยนายมณี จันทรศรี ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ โดยประธานเปิดป้าย
อุทยานการศึกษา คือนายสมศักดิ์ ศรีสุวรรณ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยสามัญศึกษาจังหวัดชลบุรี


บริเวณอุทยานการศึกษา เริ่มตั้งแต่ทางขึ้นเขาพระบาท
หรือเขาสุพรรณิการ์ด้านทิศเหนือ เดินขึ้นไปทางบันไดแก้ว
(ประมาณ 300 ขั้น)สุดทางบันไดแก้วที่มณฑป ต่อจากนั้น
มีทางเดินเท้า สามารถเดินลัดลงมาด้านวัดเขาบางทรายได้
ในปัจจุบัน บันไดแก้วทางขึ้นเขาสุพรรณิการ์มีทั้งหมด 3 ชั้น
เขาสุพรรณิการ์ เป็นภูเขาเตี้ย ๆ ตั้งชื่อตามต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ทั่วไป
คือต้นสุพรรณิการ์ ปลายเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน
จะทิ้งใบ ออกดอกสีเหลืองสดเต็มต้นทั่วเขาบนภูเขาแห่งนี้




ชั้นแรกเป็นที่ตั้ง วิหารพระงาม เป็นวิหารทีก่อสร้างอย่างปราณีต
ภายในมีพระประธานที่งดงาม และภาพพระพุทธประวัติที่หาดู
ได้ยากเป็นบริเวณที่สงบใช้ปฏิบัติธรรม และเป็นบริเวณที่ใช้
ตักบาตรเทโวในวันออกพรรษาของพุทธศาสนิกชนจังหวัดชลบุรี



พระเจดีย์ศรีมหาโพธิ์ องค์เจดีย์ภายในบรรจุท่อนพระศรีมหาโพธิ์
พระลังกาทูลถวายสมเด็จพระสังฆราช วัดราชประดิษฐ์
ท่านเจ้าพระคุณพรหมมุนี (แย้ม อุปวิกาโส) วัดราชประดิษฐ์
สร้างเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๔๔๙



เรือนพักอุบาสิกา และมีศาลาโรงทาน อยู่รายรอบ
สถาปัตยกรรมทางตะวันตกสร้างในปี พ.ศ.๒๔๗๕
ส่วนใหญ่จะสร้างด้วยปูนเพื่อกันไฟป่าซึ่งจะเกิดขึ้น
บ่อยครั้ง ในหน้าแล้ง

ศาลาเก้าห้อง เป็นศาลาราย ลักกษณะสถาปัตยกรรมเป็นศาลาแบบโถง
ทรงคอนข้างเตี้ย เป็นศาลาแบบทรงจีนปนไทย เสาหนาเป็นคันโค้ง
ต่อกัน ระหว่างช่วงเสาทำเป็นแบบซุ้มโค้งโดยตลอด ศาลารายหลังนี้
ได้มีการปฏิสังขรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่รูปทรงยังเป็นแบบเดิมตาม
ลักษณะ ของสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 3 นั่นเอง เชื่อกันต่อ ๆ มาว่า
ผู้มีสติปัญญาหรือผู้มีบุญเท่านั้น จึงจะสามารถนับห้องได้เก้าห้อง

หอระฆังเป็นสถาปัตยกรมมศิลปะแบบจีน ลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม
ก่ออิฐถือปูน ทำเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างทำเป็นระเบียงล้อมรอบบันไดทางขึ้น
ไปยังชั้นที่ 2 ซึ่งเป็นที่ตั้งของตัวหอที่แขวนระฆัง ที่ระเบียงชั้นล่าง
และบนของหอระฆังกรุด้วยกระเบื้องปรุลวดลายแบบจีนทั้งหมด
ตามคตินิยมของสถาปัตยกรรมไทยแบบพระราชนิยมสมัยรัชกาลที่ 3
เดิมใช้สำหรับตีให้สัญญาณเรียกประชุมทำวัตรสวดมนต์ ปัจจุบันใช้ตี
ในเทศกาลงานบุญ บนเขาสุพรรณ์การ์ เพื่อบอกความดีให้สวรรค์รับรู้

พระมณฑป สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง
เป็นสถาปัตยกรรมทรงสี่เหลี่ยม มียอดแหลมสร้างในสมัย
กรุงศรีอยุธยา องค์มณฑปได้รับการปฏิสังขรณ์ใน สมัยรัชการ
ที่ 5 และ 6 เมื่อขึ้นไปสู่มณฑป ซึ่งมีบันไดแก้วเริ่มจากเชิงเขา
ทอดขึ้นไปบนไหล่เขาผ่านอาคารต่าง ๆ ที่มีอยู่เป็นระยะ ๆ
ขึ้นไปจนถึงลานมณฑป


รอยพระพุทธบาท ประดิษฐานภายใต้มณฑปมี 2 องค์
องค์แรกเป็นรอยพระพุทธบาทแบบลังกานิยม เป็นรอย
ทรงเหยียบ ขนาดกว้าง 45 ซ.ม. ยาว 90 ซ.ม.
อีกองค์หนึ่งค้นพบใต้ฐานมณฑปในคราวซ่อมแซม
มณฑปเมื่อปี พ.ศ. 2502มีขนาดกว้าง 60 ซ.ม.
ยาว 120 ซ.ม. เป็นหินเปลือกหอยหรือหินตุ๊กต่ำ
ลักษณะเป็นแบบอมราวดีนิยม

พระโภคีไสยา พระพุทธรูปนอนที่สร้างขึ้นแปลกกว่าพระนอนทั่วไป
คือนอนตะแคงซ้ายแบบผู้ครองเรือนแบบโภคีไสยา สันนิษฐานว่า
การสร้างแบบนี้เป็นการแสดงภูมิปัญญาท้องถิ่น
ต้องการอธิบายอะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งยังค้นไม่พบ


เจดีย์ตัน เป็นเจดีย์ที่สร้างคู่กับเจดีย์โพรง อยู่ถัดไปจากมณฑป
สร้างในสมัยอยุธยาอิฐที่ก่อมีขนาดใหญ่มากแผ่นหนึ่งยาว 13 นิ้ว
กว้าง 7 นิ้ว หนา 2 นิ้วองค์เดิมชำรุดมากได้รับการบูรณะครั้งใหญ่
ในปี พ.ศ. 2526 ทำไม่เห็นอิฐของเดิมเจดีย์โพรง เจดีย์คู่กับ
เจดีย์ตัน มีโพรงสามารถเดินเข้าไปในองค์เจดีย์ได้ ภายในโพรง
มีรอยพระพุทธบาทอยู่ องค์เจดีย์ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์
เช่นเดียวกับเจดีย์ตัน

ลานมณฑป เป็นจุดที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ชายทะเลของชลบุรี
และตัวเมืองได้อย่างชัดเจน ได้รับการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่เป็น
ครั้งสุดท้ายแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ.2526

สระน้ำศักดิ์สิทธิ์ ตั้งอยู่ในบริเวณวัด ข้างศาลาดินใกล้ ๆ โบสถ์
เดิมผนังขอบสระเป็นคอนกรีตขนาดประมาณ 20 X 30 เมตร
เป็นแหล่งรวมน้ำในสมัย โบราณไหลมาจากใต้ดินเขาพระบาท
ผ่านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มารวมอยู่ในสระ น้ำในสระนี้เคยใช้ในพิธี
ีถือน้ำ พระพิพัฒน์สัตยาในสมัยรัชกาลที่ 5 และในคราวประกอบ
พระราชพิธีอภิเษกมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระชนมายุครบ 60 พรรษา



พระอุโบสถวัดเขาบางทรายมีจิตรกรรมฝาผนังลายเทพพนมและ
ลายดอกไม้จีน เป็นศิลปะที่งดงาม มีระเบียงรายรอบ เคยใช้ เป็น
สถานที่ประกอบพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาของข้าราชการ
ในจังหวัดชลบุรีสมัยรัชกาลที่ 5 ใบเสมาหน้าพระอุโบสถ
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์นำมาจากวัดในจังหวัดสุโขทัย
พระพุทธโสภณพระประธานในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปปูนปั้น
ลงรักปิดทอง ประทับนั่งปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๗๗ นิ้ว
ได้รับการยกย่องว่า เป็นพระพุทธรูปที่มีคุณค่าทางพุทธศิลป์งามที่สุด
ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีรัตนชาติล้ำค่าประดับอยู่คู่องค์พระปฏิมา
พระพักตร์ของพระพุทธรูปมีรอยยิ้ม นับเป็นฝีมือช่างศิลป์ชั้นสูง

พระเจดีย์หลังพระอุโบสถ เป็นพระเจดีย์ขนาดใหญ่
ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๓

อาคารที่พำนักของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์องค์ผู้สถาปนา
โรงเรียนชลบุรี "สุขบท"และพัฒนาวัดเขาบางทราย
ซึ่งศิษยานุศิษย์ ร่วมกันสร้างถวาย เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๗๖
เพื่อเป็นที่พำนักชั่วคราวขณะจำพรรษาที่วัดเขาบางทราย
ลักษณะเป็นอาคาร ๒ ชั้น ด้านหลังอาคารมีกระดิ่งแขวนอยู่
ขณะที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่นี่จะอยู่ลำพังเพียงรูปเดียว

นาฬิกาแดด นาฬิกาโบราณ ทำด้วยโลหะทองเหลืองตั้งอยู่บนฐานปูน
ขนาด ๕๔ x ๗๙ ซ.ม. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์นำมาจาก
วัดเทพสิรินทราวาส ปัจจุบันไม่ได้ใช้ดูเวลาแล้ว เพราะตั้งอยู่
ใต้ต้นไม้ใหญ่แสงแดดไม่สามารถส่องผ่านได้


ท่านผู้สนใจสามารถค้นคว้ารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่วัดเขาบางทราย และโรงเรียนชลบุรี"สุขบท"
อ.เสฐียร เขื่อนปัญญา เรียบเรียง และถ่ายภาพ