เมื่อพระศรีกฤษณะได้พระราชสมภพในเรือนจำของกษัตริย์กัณสะ แล้วแสงก็ปรากฏขึ้นอย่างทันทีในห้องที่มึดทึบในเรือนจำ ณ ที่นั้นพระวาสุเทพและพระนางเทวกี ได้ถูกจองจำเอาไว้ เมื่อเห็นแสงสว่างนั้น ทั้งพระวาสุเทพและพระนางเทวกีได้เป็นอิสระจากความกลัวและความเศร้าโศก โซ่ตรวนทั้งหมดของทั้งสองพระองค์ได้หลุดจากพระหัตถ์และพระชงฆ์ที่ได้พันธนาการไว้โดยอัตโนมัติ ตามหลักการทำนาย เมื่อพระวาสุเทพอุ้มเด็กทารกคือพระกฤษณะข้ามแม่น้ำยมุนา น้ำในแม่น้ำลดลงทันที และน้ำในแม่น้ำลดลงเหลือแต่เพียงตาตุ่ม แม้ในเมืองปรินทวาร ไม่มีใครรู้ว่าลูกสาวของนางยโสธราได้แลกเปลี่ยนกับพระกฤษณะ
ครั้งหนึ่ง ในสมัยที่พระองค์ยังทรงเป็นพระกุมารน้อย ๆ มารดายโสธราของพระองค์ ทรงเบื่อกับด้วยกลอุบายและการรบกวนของพระองค์ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะเอาเชือกผูกพระองค์เอาไว้ แต่น่าแปลกมาก เชือกทั้งหมดกลับสั้น ซึ่งไม่สามารถผูกพระองค์ได้ ในที่สุดพระองค์เองก็สมัครใจผูกพระองค์เองไว้กับต้นไม้ชื่อยมาชและอรชุน หลังจากผูกมัดอยู่นั้น พระองค์ก็ดึงพระองค์เองและด้วยผลที่เกิดขึ้นมานั้น ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นก็หักโค่นลงมา และต้นไม้ยมาชและอรชุนก็ได้ไปเกิดใหม่ เพราะทั้งสองมีชีวิตเกิดเป็นไม้ต้นนั้นเป็นเวลาหลายพันปี และได้รับพรว่า เมื่อพระเป็นเจ้าจะอุบัติมาในโลก พวกเขาจะได้เกิดเป็นชีวิตใหม่
พระองค์ได้แสดงรูปร่างของพระองค์ของโลกทั้งมวลจากพระโอษฐ์ของพระองค์แก่มารดายโสธรา
ในสมัยที่พระองค์ทรงเยาว์วัยพระองค์ทรงฆ่าคนชั่วร้ายทั้งหมด เช่น ศักตาสุระ , พักสุระ, วฤศมสุระ และกัณสะ อันนี้เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าไฟฟ้าผ่านไปตามสายบางสาย สามารถที่จะทำให้เครื่องจักรที่หนักที่สุดทำงานได้ และกระแสไฟฟ้าสามารถจะฆ่าสัตว์ที่มีชีวิตใด ๆ ได้ ในทำนองเดียวกันนี้ พระเป็นเจ้า แม้พระองค์จะทรงอยู่ในรูปร่างที่เล็กที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ มีความแข็งแกร่งปฏิบัติกรรมที่สูงสุดได้ พระองค์สามารถที่จะอวตารลงมาในรูปใดรูปหนึ่งได้ และสามารถแสดงสิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ ได้ โดยกรรมอันสูงส่งมากมายหลากหลายของพระเป็นเจ้า มันเป็นการพิสูจน์ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า พระศรีกฤษณะนั้นไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป แต่พระองค์ทรงเป็นอวตารของพระเป็นเจ้าผู้สูงสุด
บุคคลไม่ควรลืมว่าพระศรีกฤษณะนั้นทรงอยู่ทุกหนทุกแห่ง และพระองค์ทรงจ้องมองดูการกระทำของทุก ๆ คน พระองค์ทรงเกลียดชังผู้หลอกลวง เมื่อแม่มดชื่อปุตนะ แปลงกายเธอเองเป็นโคปิกะ และพยายามจะฆ่าพระศรีกฤษณะ โดยเอายาพิษปนลงในอาหารที่พระองค์จะรงเสวย โดยคิดว่าเป็นเด็กทารกคนหนึ่ง ทันทีนั้นพระศรีกฤษณะทรงตรวจพบ อารมณ์อันชั่วร้ายของเธอได้ และดูดนมเธออย่างแรงซึ่งเธอก็ตาย
ยักษ์ชื่อวฤศภาสุระ ซึ่งกษัตริย์กัณสะเป็นผู้ส่งไปหาพระศรีกฤษณะ เป็นคนฉลาดแกมโกงคนหนึ่ง คิดว่าพระศรีกฤษณะกราบไหว้บูชาโค เขาแปลงกายตัวเองเป็นโคตัวผู้ตัวหนึ่ง โดยเชื่อว่าเมื่อเป็นโคตัวผู้ พระศรีกฤษณะจะไม่ฆ่าเขา และว่าเขาสามารถจะสังหารพระศรีกฤษณะ สำเร็จได้ แต่ทันทีนั้นพระศรีกฤษณะตรวจพบว่าเขาเป็นยักษ์ และทรงสังหารเขาทันที ความตายของยักษ์วฤศภาสุระ สอนให้เรารู้ว่า ถ้าบุคคลปลอมตัวเขาเองเป็นสิ่ง ๆ หนึ่ง เหมือนอย่างพระเป็นเจ้า บุคคลคนนั้นไม่สามารถจะได้ชนะจากความพอพระทัย จากพระเป็นเจ้าได้เท่านั้น โดยการกระทำเช่นนั้น บุคคลควรจะมีความรู้สึกในทางที่ดี และมีความคิดอันบริสุทธิ์จริง ๆ และแล้วพระองค์ ไม่สนพระทัยเกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกของท่าน พระองค์ต้องการความรักและความภักดีที่แท้จริงอย่างเดียวเท่านั้น
พระศรีกฤษณะทรงปฏิรูปสังคมด้วยเหมือนกัน การกระทำกรรมบางอย่างของพระองค์ที่มีต่อการปฏิรูปสังคม ดังต่อไปนี้
คนเลี้ยงแกะ ผู้ซึ่งกษัตริย์กัณสะ ผู้โหดร้าย เกลียดชังมาก แต่พระศรีกฤษณะให้ความยกย่องต้อนรับพวกเขา และกลับเป็นมิตรที่ดีที่สุดของพระองค์ คนเลี้ยงแกะนี้ยากจนผู้เคยคิดพิจารณาตนเองว่าเป็นผู้ที่สังคมรังเกียจ และถูกประณามในสังคมว่าต่ำต้อย พระศรีกฤษณะให้ความยกย่อง ความนับถือพวกเขา และกำจัดปมด้อยของพวกเขา และยกย่องให้พวกเขามีความเชื่อมั่นในตนเอง นี่คือบทเรียนที่พระศรีกฤษณะทรงมอบให้แก่สังคมโลกทั้งมวลว่า บุคคลควรให้ความเคารพยกย่องแก่คนยากจน และพยายามยกพวกเขาให้สูงขึ้น
การกระทำของพระศรีกฤษณะ ที่ทรงยกภูเขานามว่า โควรธาน เพื่อที่จะสอนความหยิ่งยโสของพระอินทร์ เป็นการแสดงให้เห็นว่า ความเป็นพระเจ้าแผ่นดินควรจะได้รับความร่วมมือจากประชาชน ถ้าผู้มีอำนาจอย่างเช่นพระอินทร์ พยายามที่จะทำให้ประชาชนได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน แล้วผู้นำสังคมที่แท้หรือพระเจ้าแผ่นดิน จำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือประชาชนให้ปลอดภัย และไม่ควรหลีกเลี่ยง แม้ในการกระทำที่ยุ่งยากลำบากที่สุด เช่น อย่างการยกภูเขา ในทำนองเดียวกัน ประชาชนควรมีความสามัคคีรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เช่นอย่างคนเลี้ยงแกะทั้งหมดช่วยกันยกภูเขา โดยการยึดมั่นรวมกันของแต่ละคนภายใต้ภูเขานั้น แต่ทั้งหมดต้องร่วมใจกันแน่น อันนี้แสดงให้เห็นว่า ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้นเป็นพลังอันแข็งแกร่ง
โดยการทำการฉลองประเพณี อันนา กูต พระองค์ทรงสอนประชาชนว่า ควรจะรับประทานอาหารอย่างไร โดยการแบ่งปันกันในระหว่างคนอื่น ๆ ประเพณี อันนา กูต เป็นการฉลองที่ได้กระทำกันหลังจากประเพณี ทีปวลี และหากปราศจากประเพณี อันนา กูต เสียแล้ว ประเพณี ทีปวลี ก็ย่อมสมบูรณ์ไม่ได้ เราอาจจะจุดประทีปหรือจุดเทียนเป็นพัน ๆ ดวง แต่พระแม่เจ้าลักษมีจะทรงพอพระทัย ก็ต่อเมื่อเราพยายามที่จะจำกัดความหิว โหยของคนอื่น ๆ และพยายามที่จะทำให้คนอื่น ๆ ทั้งหมดมีความสุขสบายด้วยอาหารและทรัพย์สมบัติ
ประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ที่นิยมชมชอบกันเป็นอันมาก ได้เริ่มต้นโดยพระศรีกฤษณะ ประเพณีนี้สอนให้เรารู้ว่า เราควรฝังความเห็นแก่ตัวของเราและอารมณ์ที่เคียดแค้นผูกอาฆาตพยาบาทของเราลงในดินให้หมดสิ้นไป และเผยแพร่สีแห่งความรัก ความเสน่หาและความบริสุทธิ์ใจแก่คนอื่น ๆ เพื่อว่าสังคมทั้งมวลเต็มไปด้วยความรักและความเสน่หา
หลังจากที่พระศรีกฤษณะทรงฆ่ากษัตริย์กัณสะแล้ว พระองค์ไม่ทรงยอมรับที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ตรงกันข้ามกับคำอ้อนวอนเชิงขอร้องครั้งแล้วครั้งเล่าของพระเจ้าปู่ของพระองค์ คือพระเจ้าอุครเสน พระศรีกฤษณะทรงมอบราชบัลลังก์ให้แก่พระเจ้าปู่ของพระองค์ คือ อุครเสน ในการที่พระองค์ฆ่ากษัตริย์กัณสะ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ตัวที่จะยึดบัลลังก์ แต่เพื่อฆ่าคนชั่วร้ายและทารุณเพียงอย่างเดียว เพื่อหาบุคคลผู้ให้เกียรติแก่มนุษยชาติ ศาสนาและช่วยเหลือประชาชนขึ้นมาแทนเท่านั้น
พระศรีกฤษณะนอกจากจะเป็นผู้ปฏิรูปสังคมแล้ว พระองค์ทรงเป็นโยคีและอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ด้วยเหมือนกัน โดยผ่านสื่อกลางคือพระอรชุน พระองค์ทรงประทานความรู้อันประเสริฐยิ่งแก่โลกทั้งมวล ซึ่งได้จารึกไว้ในคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า ศรีมาท ภควัทคีตา ซึ่งได้แปลเป็นภาษาต่าง ๆ ของโลก ขั้นพื้นฐานแล้ว คัมภีร์นี้สอนให้เรารู้ว่าอย่าได้กลัวความตาย และต้องคิดนึกถึงหน้าที่ของเราอยู่เสมอ คัมภีร์เล่มนี้สอนถึง วิธีการว่าจะเข้าถึงความสงบสุขได้อย่างไร
ขณะที่ทำอารตีของภัควันกฤษณะ จริง ๆ แล้วเราควรรับเอาคุณสมบัติอย่างมนุษย์มาไว้ในตัวเรา และรับเอาคำสอนของพระองค์ที่มีอยู่ในภควันคีตามาประพฤติปฏิบัติในชีวิตของเรา เราก็เหมือนกับท่านอรชุน ควรปฏิบัติหน้าที่ของเรา เราไม่ควรอ่านคำสอนในภควันคีตาเพียงอย่างเดียว แต่เราพร้อมที่จะรับใช้สังคม และมีความรักอันบริสุทธิ์เช่นเดียวกับพระนางราธาและพระกฤษณะ
ข้อสังเกต ในพระกรข้างซ้ายของรูปภาพของศรีราธา-กฤษณะนั้น มีภาพ ๆ หนึ่งในภาพนั้น พระศรีกฤษณะประทับอยู่บนบัลลังก์ที่สูง พระพิทูรนั่งอยู่ที่บาทาดอกบัวของศรีพระภควาน กฤษณะ ภรรยาของพระพิทูรหลงไหลบ้าคลั่งในความรักต่อศรีภควาน-กฤษณะ และกำลังวิ่งไปหาพระศรีภัควันกฤษณะ ขณะที่กำลังเอาผลกล้วยอันบริสุทธิ์ไปถวาย ผู้ช่วยกู้โลกนี้ให้พ้นภัยคือพระกฤษณะ ผู้ต้องการความรักอันบริสุทธิ์เพียงอย่างเดียว มีความประสงค์ที่จะเสวยผลกล้วยมากกว่าผลไม้อื่นๆ ที่นำมาถวายโดยทุรโยชน์ พระพิทูรคิดว่าตัวเขาเองได้รับเกียรติอย่างยิ่งใหญ่ และได้ประพันธ์บทกวีไว้ดังต่อไปนี้
ความหมายก็คือว่า ศาสนาเป็นสิ่งเที่ยงแท้แน่นอน และความสุข/ความเศร้าโศกเป็นสิ่งชั่วคราว กล่าวคือ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ชีวิตในความบริสุทธิ์ของมัน เป็นสิ่งที่ยั่งยืนถาวร แต่สิ่งทั้งหลาย เช่นร่างกายเป็นต้น เป็นสิ่งอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว ฉะนั้น บุคคลไม่ควรพยายามปักใจนิ่งอยู่ในสิ่งไม่เที่ยงแท้ และควรภักดีให้ดีที่สุดต่อสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน
ข้อสังเกต: ทางด้านขวามือของรูปภาพของพระศรีราธา-กฤษณะนั้น มีรูปภาพอีกรูปหนึ่ง ข้างบนภาพนั้นเขียนไว้ว่า สุชาต ก ขีร ปาน ณ สถานที่คยาอันบริสุทธิ์ ภายใต้ต้นมหาโพธิ์ มีสตรีที่มีเสน่ห์อันงดงามของตำบลนั้น กำลังถวายน้ำนม ขีร (ข้าวทิพย์คือข้าวผสมน้ำนม) อย่างภักดี หลังจากเสวยน้ำนมนั้นแล้ว พระพุทธเจ้าทรงเข้าถึงความเป็นพุทธะในวันพระจันทร์เต็มดวง หลังจากวันนั้นเท่านั้น พระพุทธเจ้าทรงได้นามว่าพุทธ ในเวลานั้นพระองค์ทรงตรัสว่า
ความหมายก็คือว่า เมื่อใดก็ตาม บุคคลเข้าถึงความสุขอันแท้จริง นั่นหมายถึงการควบคุมอารมณ์ได้แล้ว บุคคลผู้เข้าใจอาตมันนี้แล้ว เขาผู้เดียวเท่านั้นย่อมได้ความสุขที่แท้จริง
หมายความว่า ใจซึ่งได้ดื่มน้ำอมฤตของธรรมะแล้วเท่านั้น สามารถเข้าถึงความสุขที่แท้จริง บัณฑิตย่อมสอนธรรมะที่พระอริยะได้ประกาศแล้วเสมอ