สาระน่ารู้เกี่ยวกับสมุนไพร

ความเป็นมาและความสำคัญของน้ำสมุนไพร

                  สมุนไพรเป็นทรัพยากรธรรมชาติคนส่วนใหญ่จึงมักนึกถึงส่วนของพืชที่นำมา ใช้เป็นยารักษาโรคแต่ความเป็นจริงแล้วได้มาจากส่วนที่เป็นพืชสัตว์แร่ธาตุต่างๆที่นำมาใช้สำหรับทำเครื่องยานอกจากนั้นยังมีบางส่วนของสมุนไพร ที่รับประทานไม่ได้แต่นำมาทำเป็นยาทาภายนอกได้เช่น ทากันยุงกัดรักษาบาดแผลเป็นต้นดังนั้นน้ำสมุนไพรที่ได้จากส่วนประกอบข้งต้นนำมาแปรรูปให้เหมาะสมตาม ฤดูกาลการเตรียมน้ำสมุนไพรไว้ดื่มเองราคาจะย่อมเยาสะอาด ปราศจากสารพิษ ร่างกายของคนเรามีส่วนประกอบของน้ำประมาณร้อยละ 80 น้ำจึงมีความสำคัญ ต่อการดำรงชีวิตรองจากอากาศร่างกายต้องใช้น้ำไปช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ตามปกติน้ำในร่างกายจะมีการสูญเสียวันละประมาณ 2 - 3 ลิตร ถ้าไม่ดื่มน้ำเข้าไปชดเชยจะทำให้เกิดการกระหายน้ำ เราจึงต้องดื่มน้ำเข้าไปชดเชยเท่ากับที่เสียไปน้ำสมุนไพรเปรียบเสมือนยาที่ช่วยบำรุงปกป้องรักษาสภาวะร่างกาย ให้เกิดความสมดุลย์ ทำให้สุขภาพดีคุณค่าและประโยชน์ของน้ำสมุนไพรน้ำสมุนไพรมีรสชาติที่อร่อยตามธรรมชาติให้คุณค่าและประโยชน์ต่อร่างกายโดยตรงมีผลต่อ ระบบการย่อยอาหารการเจริญอาหารให้พลังงานทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งร่างกายกระชุ่มกระชวยและอุดมไปด้วยวิตตามินเกลือแร่นอกจากผิวพรรณแล้ว ยังช่วยบำรุงเส้นผมช่วยควบคุมไขมันส่วนที่เกิดจากการบริโภคเนื้อสัตว์ทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประประสิทธิภาพเนื่องจากสารอาหารในน้ำสมุนไพรช่วยควบคุม ระบบการทำงานของร่างกายข้อแนะนำในการเตรียมน้ำสมุนไพร 

1. การเลือกสมุนไพร 

    1.1สมุนไพรสดเลือกที่สดเก็บมาจากต้นใหม่ตามฤดูกาลสีสรรเป็นธรรมชาติตามชนิดของสมุนไพรไม่มีรอยช้ำเน่าเสียความสดทำให้มีรสชาติดี     และมีคุณค่ามากกว่า 

    1.2     สมุนไพรแห้งการแปรรูปสมุนไพรโดยวิธีทำให้แห้งเป็นการเก็บสมุนไพรวิธีหนึ่งเพื่อให้มีสมุนไพรไว้ใช้นอกฤดูกาลการเลือกซื้อควรดูที่ความสะอาด 

2.ความสะอาดของภาชนะและสมุนไพร 

    2.1ภาชนะที่ใช้เตรียมจะต้องสะอาดเลือกใช้ให้เหมาะสมกับชนิดของสมุนไพรเช่าของเปรี้ยวควรใช้ภาชนะเคลือบเนื่องจากกรดที่มีอยู่ในสมุนไพรจะทำปฏิกิริยากับภาชนะอลูมิเนียม ทองเหลืองทำให้รสชาติของน้ำสมุนไพรเปลี่ยนไปและได้โหะหนักปนไปด้วย 

    2.2ภาชนะที่ใช้บรรจุหลังปรุงเสร็จควรเป็นภาชนะแก้วเมื่อบรรจุน้ำสมุนไพรแล้วต้องนึ่งฆ่าเชื้ออีกไม่ต่ำ 30 นาที เย็นแล้วจึงเก็บเข้าตู้เย็น ทำให้เก็บได้นาน น่ารับประทาน 

2.3ความสะอาดของตัวสมุนไพรควรล้างให้ถูกวิธีถ้าเป็นสมุนไพรแห้งต้องล้างอย่างน้อย1 - 2 ครั้ง ถ้าเป็นสมุนไพรสดควรล้างอย่างน้อย 2 - 3ครั้งเพื่อป้องกันสารเคมีที่ติดมา การล้างผักผลไม้ที่ลดสารพิษทำได้ดังนี้ 

แช่น้ำสะอาด 15นาที ลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 7 - 8 

ล้างด้วยน้ำโซดา 1 เปอร์เซ็นต์ ลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 23 - 61 

ให้น้ำก๊อกไหลผ่าน 2 นาที ลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 54 - 63 

แช่ด้วยน้ำส้มสายชู 5 เปอร์เซ็นต์ลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 60 - 84 

3.น้ำตาลหรือน้ำเชื่อมจากข้อแนะนำการบริโภคอาหารของคนไทยควรได้รับไม่เกินวันละ 2 ช้อนโต๊ะ (หนัก 30 กรัมหรือประมาณ หรือประมาณ 6 ช้อนชา)ซึ่งรวมถึงการรับประทานอาหารในมื้อต่าง ๆ ด้วยวิธีการเตรียมน้ำเชื่อมเข้มข้น

1.น้ำตาลทราย 100 กรัม (20 ช้อนชา หรือ 7 ช้อนคาว ไม่พูน)

2.น้ำสะอาด 50 กรัม (10 ช้อนชา หรือ 3.5 ช้อนคาว)

3.นำน้ำตาลผสมน้ำตามส่วน ตั้งไฟพอเดือดจนน้ำตาลละลายหมดยกลง ทิ้งไว้ให้เย็น จะได้น้ำเชื่อมประมาณ 10 ช้อนคาว (30 ช้อนชา) 

4.การชั่ง ตวงวัดน้ำสมุนไพร การชั่ง ตวง วัดมีประโยชน์ คือ ทำให้น้ำสมุนไพรที่ปรุงมีรสชาติอร่อยเหมือนกันทุกครั้งถ้าการตวง วัดนั้นถูกต้องได้มาตรฐาน ดังนั้นก่อนทำน้ำสมุนไพรควรทราบอัตราส่วนของการชั่ง ตวง วัดเสียก่อน 

                                       1 ถ้วยแก้วมีปริมาณเท่ากับ 250 มิลลิลิตร 

                                       1 ถ้วยชามีปริมาณเท่ากับ 75 มิลลิลิตร

                    1 ช้อนโต๊ะหรือช้อนคาว มีปริมาณเท่ากับ 15 มิลลิลิตร

1 ช้อนตวง มีปริมาณเท่ากับ 8 มิลลิลิตร

1 ช้อนชา มีปริมาณเท่ากับ 5 มิลลิลิตร

                                        16 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณเท่ากับ 1 ถ้วยตวง 

                                        1 กำมือ มีปริมาณเท่ากับ 4 หยิบมือ

5. อุปกรณ์การทำน้ำสมุนไพร

ควรใช้ครกตำหรือขูดให้เป็นฝอย แล้วคั้นด้วยผ้าขาวบางเพื่อแยกน้ำสมุนไพรออกจากกาก หรือใช้เครื่องปั่นน้ำผลไม้ หรือเครื่องปั่นผลไม้ชนิดแยกกาก

ช้องตวง (อาจดัดแปลงใช้ช้อนโต๊ะ ช้อนชาหรือช้อนคาวแทนได้)

ภาชนะสำหรับใส่น้ำสมุนไพร เช่นแก้ว ขวดโหลต้องสะอาด

วิธีดื่มและข้อควรคำนึกเกี่ยวกับน้ำสมุนไพร

ปัจจุบันได้มีผู้คิดค้นหาวิธีรักษาโรคต่างๆ โดยใช้น้ำที่ทำจากผักผลไม้ ธัญพืชต่าง ๆน้ำสมุนไพรบางชนิดจะลำบากในช่วงแรกของการดื่มอาจจะทำให้รู้สึกอึดอัดเนื่องจากรสชาติไม่ตรงกับรสนิยมของผู้ดื่ม แต่จะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น วิธีการดื่มที่ดีควรจะจิบช้า ๆ และควรดื่มทันทีที่ปรุงเสร็จเพื่อให้ได้คุณค่าทางอาหารและยามากกว่าปล่อยทิ้งไว้นานแล้วดื่ม เนื่องจากทำให้คุณค่าลดลงนอกจากนี้ยังสามารถดื่มได้ทั้งร้อนและเย็นตามความชอบของแต่ละบุคคลการดื่มน้ำสมุนไพรติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการสะสมของสารบางชนิดมีฤิทธิ์ต่อร่างกายได้การดื่มน้ำสมุนไพรร้อนๆ ที่มีอุณหภูมิ 6 องศาขึ้นไปจะทำให้เยื่อบุผิวหลอดอาหารเสีย สภาพภูมิคุ้มกันเฉพาะที่และอาจทำให้มีการซึมสารก่อมะเร็งจุลินทรีย์ ฯลฯ ได้ง่าย

****************************************