พาร์ติชั่นแบบ FAT 32
พาร์ติชันแบบ 32 บิต (FAT32 )
ปัจจุบันฮาร์ดดิสก์ขนาด 2.1 GB เป็นมาตรฐานไปแล้ว แต่พาร์ติชั่นแบบ 16 บิต (FAT16) ไม่สามารถจัดการฮาร์ดดิสก์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ FAT32 จึงถูกพัฒนาเพื่อแก้ปัญหา โดย FAT32 สามารถกำหนดขนาดต่อพาร์ติชั่นได้ถึง 2 เทราไบต์ (2048 GB) และหากขนาดพาร์ติชันไม่เกิน 8 GB ขนาดของคลัสเตอร์จะเท่ากับ 4 กิโลไบต์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่ฮาร์ดดิสก์เก็บข้อมูลมากขึ้น (ดูตารางเปรียบเทียบ FAT16 และ FAT32 ข้างล่าง)

อีกประการหนึ่งก็คือ ปัจจุบัน Controller EIDE บนเมนบอร์ดออกแบบสำหรับฮาร์ดดิสก์แบบ LBA Mode ทั้งหมดแล้ว รวมทั้งฮาร์ดดิสก์เองก็เช่นเดียวกัน แต่ยังไม่มี OS ใช้ประโยชน์จากฮาร์ดดิสก์และเมนบอร์ดดังกล่าวได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ FAT32 จึงเป็นทางแก้ปัญหาที่ดี

Cluster size
Partition Size
FAT Type
Note
4K (4096 bytes)
16 MB
FAT12
-
2K (2048 bytes)
32 MB
FAT16
(DOS versions < 4.0
2K (2048 bytes)
128 MB
FAT16
(DOS versions >= 4.0
4K (4096 bytes)
256 MB
FAT16
-
8K (8192 bytes)
512 MB
FAT16
-
16K (16384 bytes)
1024 MB (1GB)
FAT16
-
32 K (32768 bytes)
2 GB
FAT16
-
ตารางเปรียบเทียบขนาดของคลัสเตอร์เมื่อกำหนดขนาดของพาร์ติชั่นต่างๆ กันใน FAT16

Partition size
Cluster size
less than 260 MB
512 bytes
260 MB - 8 GB
4 kilobytes (KB)
8 GB - 16 GB
8 KB
16 GB - 32 GB
16 KB
greater than 32 GB
32 KB
ตารางเปรียบเทียบขนาดของคลัสเตอร์เมื่อกำหนดขนาดของพาร์ติชั่นต่างๆ กันใน FAT32

จากตาราง จะเห็นว่าหากต้องการเก็บไฟล์ขนาด 1 กิโลไบต์บนฮาร์ดดิสก์ขนาดต่อพาร์ติชั่น FAT 16 ขนาด 1.2 GB จะเสียพื้นที่ถึง 32 กิโลไบต์ แต่หากเปลี่ยนเป็น FAT32 จะใช้พื้นที่เพียง 4 กิโลไบต์ ดังนั้นประโยชน์ของ FAT 32 ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ประหยัดพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ ถึงแม้ว่าในทางทฤษฎีแล้วหากจำนวนคลัสเตอร์เพิ่มจะส่งผลให้ระยะเวลาเข้าถึงข้อมูล (Access Time) เพิ่มขึ้นด้วย แต่จากการทดสอบวัดประสิทธิภาพโดย Winbench 97 พบว่าประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์ที่ใช้พาร์ติชั่นแบบ FAT32 เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจแยกพิจารณาได้สองกรณี กรณีแรกคือ ประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์เพิ่มขึ้น เนื่องจาก Windows 95 OSR2 ปรับปรุง BUS Mastering ส่วนของ ESDI Controller ทำให้การส่งข้อมูลดีขึ้น หรืออาจพิจารณาอีกด้านหนึ่งว่าประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์ไม่ได้เพิ่มจริง แต่เนื่องจาก Winbench ไม่สามารถวัดประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์พาร์ติชั่น 32 บิต ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ซึ่งเป็นไปได้ค่อนข้างน้อย เพราะทดสอบมากกว่า 10 ครั้ง ให้ผลเหมือนกัน


จากกราฟเปรียบเทียบ Highend Disk Winmark เห็นได้ว่าเมื่อใช้ FAT32 จะได้ประสิทธิภาพดีกว่า


จากกราฟเปรียบเทียบ Disk Performance / BUS เห็นได้ว่า Windows 95 OSR2 นั้นได้รับการพัฒนาส่วนของ BUS Mastering ดีกว่า

กราฟเปรียบเทียบ Disk Performance / BUS พบว่าประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์ที่ใช้พาร์ติชั่น FAT 32 ให้ประสิทธิภาพการถ่ายเทข้อมูลดีกว่า

ข้อเสียของ FAT32 คือ หากกำหนดขนาดต่อพาร์ติชั่นมากกว่า 1 GB เวลาต้องการเรียงลำดับข้อมูล (Defragmentation) จะใช้เวลานานมาก นอกจากนี้ความไม่เข้ากันกับ OS ตัวอื่นก็เป็นปัญหาเช่นกัน อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่า FAT 32 เป็นแนวทางของไมโครซอฟต์ในการนำไปสู่ Windows 98 หรือที่เรียกว่าเมมฟิส (Memphis) ซึ่งเป็น OS ตัวต่อไปที่จะใช้ FAT 32 และไมโครซอฟต์มีแผนการนำออกขายในไตรมาสที่สองของปี 2541

ข้อควรคำนึงเกี่ยวกับ FAT32

1. หากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งแบ่งฮาร์ดดิสก์เป็นหลายพาร์ติชั่นและติดตั้ง OS หลายๆตัว และประเภทของพาร์ติชั่นแตกต่างกัน เมื่อบูตด้วย OS FAT16 หรือ NTFS จะมองไม่เห็นพาร์ติชั่นที่ฟอร์แมตด้วย FAT32 อย่างไรก็ตามหากเข้าถึงข้อมูลในพาร์ติชั่น FAT32 ด้วยเครือข่ายจะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้
2. ยูทิลิตี้ส์เกี่ยวกับการจัดการฮาร์ดดิสก์ที่ออกแบบมาสำหรับ FAT16 เช่น Norton 8.0 หรือ Norton Utilities 9.0 สำหรับ วินโดวส์ 95 จะเอาไปใช้กับฮาร์ดดิสก์ที่ฟอร์แมตแบบ FAT32 ไม่ได้ (ถ้าฝืนใช้จนได้ ก็แสดงว่าความโชคร้ายมาเยือนแล้ว
3. BIOS เก่าที่ออกแบบมาสำหรับเครื่องตระกูล 486 ไม่สามารถใช้งาน FAT32 ได้ เนื่องจาก FAT32 ต้องใช้กับฮาร์ดดิสก์แบบ LBA เท่านั้น
4. เกี่ยวกับความไม่เข้ากันของ FAT32 Application หลัก ๆ ใช้งานได้ตามปกติ รวมถึงเกมส์ด้วย ยกเว้น Application ประเภทยูทิลิตี้ ดังที่กล่าวในข้อ 2 ที่ไม่สามารถใช้งานได้
5. หากต้องการใช้ FAT 32 เมนบอร์ดต้องสนับสนุนฮาร์ดดิสก์แบบ EIDE และ LBA Mode เนื่องจากหากฟอร์แมตแบบ FAT32 ขนาดของพาร์ติชั่นต่ำสุดจะเท่ากับ 512 เมกะไบต์