ท่ามกลางกระแสความคลั่งไคล้ฟุตบอลต่างประเทศอันเชี่ยวกราก
ฟุตบอลภายในของประเทศไทย ในฤดูกาลใหม่ ก็คงยังต้องดำเนินต่อไป
ด้วยฟุตบอล 'กึ่งอาชีพ' อย่าง 'ไทยลีก' และ 'โปรลีก' ที่ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีฟุตบอล
2 ลีกในคราวเดียวกัน
ฟุตบอล 'ไทยลีก' หรือ 'ไทยแลนด์ ลีก' ในชื่อเดิม เตะกันมาเป็นปีที่
8 ในฤดูกาลล่าสุด มี 10 ทีม เข้าร่วมการแข่งขัน ได้แก่ บีอีซี
เทโรศาสน, ธ.กรุงไทย, ธ.กรุงเทพ, โอสถสภา, ทหารอากาศ, การท่าเรือแห่งประเทศไทย,
พนักงานยาสูบ, ราชนาวี, สินธนา และ ม.กรุงเทพ ใช้ระบบการแข่งขันแบบพบกันหมดทีมละ
2 นัด เตะกันในสนามฟุตบอลกลาง ภายใน กทม. ทีมที่มีคะแนนสะสมสูงสุด
จะได้แชมป์
ฟุตบอลไทยลีก ใน 2-3 ครั้งหลัง มีการเปลี่ยนรูปโฉมที่น่าสนใจมากขึ้น
ราคาบัตรเข้าชมพอรับได้ มีการแสดงคั่นระหว่างพักครึ่ง มีทรัพยากรนักเตะระดับชาติ
มีการถ่ายทอดสด มีการโปรโมท โปรโมชั่น ลดแลกแจกแถม เพียงแต่ยังไม่สามารถสร้างการมีส่วนร่วมจากคนทั้งประเทศ
เนื่องจากแข่งขันภายในเมืองหลวงเท่านั้น
ฟุตบอล 'ไทยแลนด์ โปรวินเชี่ยล ฟุตบอลลีก'
โครงการฟุตบอลอาชีพนำร่องของรัฐบาล เตะกันมาเป็นปีที่ 5 มีการเปลี่ยนชื่อเป็น
'โปรลีก' เมื่อการแข่งขันครั้งที่ 3 โดยในฤดูกาลนี้ แบ่งการแข่งขันเป็นระดับดิวิชั่น
1 มี 10 จังหวัด กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี, นครราชสีมา, เชียงใหม่,
อุดรธานี, นครสวรรค์, สุพรรณบุรี, ศรีสะเกษ, นครปฐม, สุราษฎร์ธานี
ระบบแข่งขันแบบพบกันหมด เหย้า-เยือน เริ่มเลกที่
1 วันที่ 11 มกราคม- 7 มีนาคม 2547 เลกที่ 2 วันที่ 21 มีนาคม-16
พฤษภาคม 2547 โดยผู้ชนะเลิศอันดับ 1-3 จะได้รับเงินรางวัล 1
ล้านบาท 5 แสนบาท และ 2 แสนบาท
ศึกลูกหนัง 'โปรลีก' เริ่มต้นด้วยความเชื่อว่า
ฟุตบอลอาชีพจะต้องจัดการแข่งขันในแบบ 'เหย้า-เยือน' ทำให้ทุกทีมประสบปัญหาเรื่องการลงทุนทำทีม
เนื่องจากเจอค่าเดินทางอันมหาโหด แฟนบอลไม่สามารถติดตามทีมไปเชียร์
ช่วงปลายฤดูกาลหลายทีมที่สายป่านไม่ยาวพอ และหมดลุ้นแชมป์ไปแล้ว
ก็จัดนักเตะเดินทางไปแข่งขันนัดเยือนแบบตามมีตามเกิด
นอกจากนี้ ยังมีการแข่งขันดิวิชั่น 2 ซึ่งเริ่มแข่งขันเป็นปีแรก
มี 10 ทีม แบ่งเป็น 2 สายๆ ละ 5 ทีม สายที่ 1 พัทลุง, สงขลา,
ขอนแก่น, พิษณุโลก,จันทบุรี แข่งขันที่ จ.พัทลุง วันที่ 2-10
กุมภาพันธ์ 2547 สาย 2 สตูล, สุรินทร์, แพร่, พังงา, สมุทรสงคราม
แข่งขันที่ จ.สตูล วันที่ 2-6 กุมภาพันธ์ 2547 ส่วนรอบรองชนะเลิศ
และชิงชนะเลิศ เตะที่ จ.พัทลุง ทีมชนะเลิศอันดับ 1-3 ได้เงินรางวัลเท่ากับดิวิชั่น
1
แต่ทีมที่ได้อันดับ 1-3 ยังต้องรอการกำหนดอีกครั้งว่าจะได้เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในดิวิชั่น
1 ของโปรลีกหรือไม่ อย่างไร !!!
ปัญหาที่ทั้ง 2 ลีกประสบ ทำให้เกิดความคิดในการ
'รวมลีก' ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะทำได้สำเร็จ
แม้จะหลายฝ่ายจะยกมือเห็นด้วย แต่ผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว บวกกับแนวคิดการจัดการแข่งขันที่อ่อนด้อย
ปฏิทินการแข่งขันที่ไม่เคยแน่นอน การรวมลีก จึงลำบากยากยิ่ง
แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในการจัดการแข่งขันฟุตบอลในบ้านเรา
รูปแบบการแข่งขันที่เอื้อต่อความเป็นอาชีพที่จะเกิดขึ้นได้ มีเพียงศึกลูกหนัง
'ไทยแลนด์ คัพ' ในอดีต หรือ 'ยามาฮ่า ไทยแลนด์ คัพ' ในเวลาต่อมา
ที่มีรูปแบบง่ายๆ ด้วยการเตะคัดเลือก แชมป์ รองแชมป์ และที่
3 ระดับภาค ก่อนจะเล่นในแบบทัวร์นาเมนท์ที่กรุงเทพมหานคร แบ่งสายเตะหาสุดยอดทีมแชมป์
วันที่ศึก 'ยามาฮ่า ไทยแลนด์ คัพ' พุ่งถึงขีดสุด
แฟนบอลจาก จ.สตูล เหมารถหลายคัน แห่มาชมที่สนามศุภชลาศัยอย่างไม่น่าเชื่อ
ต่อยอดด้วยฟุตบอล 'โตโยต้า คัพ' ที่คัดทีมระดับแชมป์อย่างไทยแลนด์
คัพ แชมป์ ถ้วย ก. แชมป์กองทัพไทย แชมป์ควีนคัพ ฯลฯ มาเตะชิงถ้วยแชมป์
ที่ได้รับการตอบรับจากแฟนบอลอย่างล้นหลามเช่นเดียวกัน
ก่อนที่ 'ว่าที่ฟุตบอลอาชีพ' ทั้ง 2 รายการนี้จะค่อยๆ
มลายหายไปอย่างไร้สาเหตุ
แล้วในช่วง 10 ปีหลัง 'ฟุตบอลลีก' ก็ผุดขึ้นมาที่ประเทศไทย
หลังจากที่ อารยะประเทศ ต่างกำเนิดลีกฟุตบอลของชาติตัวเองขึ้นมาจากยุโรป
อเมริกา แผ่ขยายมาที่เอเชีย ชาติอาหรับ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน
สิงคโปร์ เวียดนาม ฯลฯ
ไทยเราก็อยากจะเป็น อยากจะมีอย่างนั้นบ้าง
โดยไม่มองดูตัวเอง
ทุกวันนี้ ฟุตบอลลีกในประเทศไทย กลับฉุดรั้งความเจริญของวงการลูกหนัง
ด้วยความที่อาจจะเกิดการเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง
ปรัชญาของฟุตบอลอาชีพ ก็คือ การที่ฟุตบอลได้รับความสนใจจากแฟนบอลจำนวนมากของประเทศ
ประชาชนมีทีมของตัวเองที่รู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของ พร้อมที่จะซื้อตั๋วเข้ามาชม
และติดตามผลการแข่งขันอย่างใจจดจ่อ
ถ้าเป็นอย่างนั้น ฟุตบอลอาชีพจะจัดยังไงก็ได้
โดยอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็น 'ฟุตบอลลีก' ก็ได้
ฟุตบอลอาชีพที่เกี่ยวพันกับวัฒนธรรม เศรษฐกิจ
วิถีชีวิต สภาพภูมิประเทศ การคมนาคม ฯลฯ และต้องยึด 'คนดู' เป็นที่ตั้ง
ไม่ใช่ 'คนจัด' ประเทศไทยอาจจะกำลังเดินมาผิดทาง ที่พยายามจะทำ
'ฟุตบอลลีก' มากกว่า 'ฟุตบอลอาชีพ'
แนวทางที่อาจจะเป็นไปได้ หนีไม่พ้นรูปแบบของ
'ยามาฮ่า ไทยแลนด์ คัพ' คัดทีมภูธรมาเตะส่วนกลาง ในขณะที่ทีมในส่วนกลางก็ต้องคัดมาเตะในรอบสุดท้ายใน
กทม.เมืองที่เป็นศูนย์กลางของการสื่อสาร โดยสื่อมวลชนต้องร่วมเป็นหุ้นส่วน
เสนอข่าวการแข่งขันโดยมีผลต่างตอบแทนในรูปแบบธุรกิจ เต็มตัว
มีการถ่ายทอดสด มีข่าว มีสรุปผลการแข่งขัน
มีการวิเคราะห์วิจารณ์ มีไฮไลท์ ฯลฯ
กับคำกล่าวอ้างที่ว่า ทีมฝีเท้าคนละชั้น
แม้ว่าในปี 2 ปีนี้ ทีมภูธร อาจจะยังสู้ทีมจากเมืองหลวงไม่ได้
แต่ถ้าฟุตบอลอาชีพจะทำกันจริงๆ ก็ต้องมีการเซ็นสัญญาร่วมกันของผู้จัด
(ซึ่งอาจจะเป็นรัฐบาล) กับสโมสร เมื่อมั่นใจว่าทำกันแน่ มันก็กล้าลงทุนทำทีม
นักเตะที่เล่นในไทยลีกตอนนี้ มีสักกี่คนที่เป็นคนกรุงเทพฯ
ใครเขาก็อยากจะเล่นให้บ้านเกิดทั้งนั้น
น่าเห็นใจกับผู้ที่รับผิดชอบในการพยายามรวมลีก
แต่ถ้าหากจะนึกคิดย้อนกลับไปเสียใหม่ ฟุตบอลอาชีพ คืออะไรเมื่อได้คำตอบจริงๆ
แล้ว เริ่มทำวันนี้ ก็ยังไม่สาย
ไม่งั้น 'บอลไทย' ที่มัวแต่จะทำ 'บอลลีก'
ก็อาจจะกลายเป็น 'บอลหลีก' กันอย่างนี้ตลอดไป