|ทัวร์เหนือ| ทัวร์อีสาน| ทัวร์ใต้| ทัวร์ตะวันออก| ทัวร์ตะวันตก| ทัวร์ลาว| รถที่บริการ| ภาพที่ท่องเที่ยว| จังหวัดอุบล| เจ้าหน้าที่| อ่านสมุดเยี่ยม| เขียนสมุดเยี่ยม| หน้าแรก|
รถเช่า - รถโค้ชปรับอากาศ - รถตู้ จำหน่ายตั๋วเครื่องบินทุกสายการบินทั่วโลก รับจองโรงแรม ที่พัก ทั่วประเทศ ธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวทุกประเภท จัดนำเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ กรุ๊ปเหมา อบรม ประชุม สัมนา ศึกษาดูงาน เป็นหมู่คณะ

แหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดอุบลราชธานี

หอพระไตรปิฎกวัดทุ่งศรีเมือง


หอพระไตรปิฎก เป็นหอไตรที่สร้างด้วยไม้ ตั้งอยู่กลางสระน้ำเพื่อเป็นที่เก็บรักษาพระไตรปิฎก ป้องกันไม่ให้มดปลวกไปกัดทำลาย มีลักษณะเป็นศิลปะผสมระหว่างไทย พม่าและลาว กล่าวคือ ลักษณะอาคารเป็นแบบไทยเรือนฝาปะกนขนาด 4 ห้อง ภายในห้องที่เก็บตู้พระธรรม ทุกด้านเขียนลงรักปิดทอง ส่วนของหลังคามีลักษณะศิลปะไทยผสมพม่า คือ มีช่อฟ้าใบระกาแต่หลังคาซ้อนกันหลายชั้น แสดงถึงอิทธิพลศิลปะกรรมพม่าที่ส่งผ่านมายังศิลปะลาวล้านช้าง ส่วนลวดลายแกะสลักบนหน้าบันทั้ง 2 ด้าน เป็นลักษณะศิลปะแบบลาวฝีมือชั้นสูง ตรงส่วนฝาปะกนด้านล่างแกะเป็นรูปสัตว์ประจำราศีต่างๆ และลวดลายพันธุ์ไม้เป็นช่องๆ โดยรอบ นับเป็นหอไตรที่มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง

พระอุโบสถวัดสุปัฏนาราม


วัดสุปัฏนารามวรวิหาร เป็นวัดธรรมยุติวัดแรกของจังหวัดอุบลราชธานี ตั้งอยู่ที่ถนนสมเด็จ อ. เมือง จัดสร้างโดยพระราชศรัทธา ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โดยได้เริ่มสร้างวัดในปี พ.ศ.2396 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า "วัดสุปัฏนาราม อันหมายถึง วัดที่มีสถานที่ตั้งเหมาะสมเป็น ท่าเรือที่ดี" สิ่งสำคัญภายในวัดคือพระอุโบสถ ซึ่งมีขนาดกว้าง 20 เมตร ยาว 34 เมตร สูง 22เมตร สถาปนิกผู้ออกแบบ คือหลวงสถิตย์นิมานกาล (ชวน สุปิยพันธ์) นายช่างทางหลวงแผ่นดิน
ลักษณะของพระอุโบสถแบ่งออกเป็นสามส่วน คือ ส่วนหลังคาเป็นศิลปะแบบไทย ส่วนกลางเป็นศิลปะแบบตะวันตก ฐานเป็นศิลปะแบบขอม ภายในพระอุโบสถเป็นที่ ประดิษฐานพระประธานของวัด คือพระสัพพัญญูเจ้า เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 4 คืบ เป็นพระพุทธรูปหล่อขัดเงาไม่ปิดทอง เริ่มการหล่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2459 เวลา 04.03 น. แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2459 (ก่อนพ.ศ.2483 ประเทศไทยได้นับเดือนเมษายนเป็นเดือนแรกของปี และนับเดือนมีนาคมเป็นเดือนสุดท้ายของปี

พระเจ้าใหญ่อินทร์แปงวัดมหาวนาราม


วัดมหาวนาราม ตั้งอยู่บนถนนสรรพสิทธิ์ อ.เมืองอุบล แต่ชาวบ้านนิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า "วัดป่าใหญ่" เป็นวัดเก่าแก่ และถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดอุบลราชธานี มีมูลเหตุการสร้าง คือ เมื่อพระปทุมวรราชสุริยวงศ์ (ท้าวคำผง) เจ้าเมืองอุบลราชธานี คนแรก ได้ก่อสร้างเมืองอุบลราชธานี บริเวณริมฝั่งแม่น้ำมูล เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงได้ก่อสร้างวัดขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำมูลนั้นเอง ตั้งชื่อว่า "วัดหลวง" เพื่อให้เป็นสถานที่ทำบุบำเพ็ญกุศลแก่ประชาชนทั่วไป วัดนี้จึงนับได้ว่าเป็นวัดแรกของเมืองอุบลราชธานี ภายหลังก่อสร้างวัดหลวงเสร็จแล้ว ได้นิมนต์ พระธรรมโชติวงศา ซึ่งเป็นพระมหาเถระ และพระภิกษุสามเณร มาอยู่จำพรรษา เพื่อสนองศรัทธาของประชาชน
แต่เมื่อพระมหาเถระได้เข้ามาอยู่จำพรรษาแล้ว เห็นว่า วัดนี้เป็นวัดบ้าน หรือ "ฝ่ายคามวาสี" ตั้งอยู่กลางใจเมือง ไม่เหมาะแก่การปฏิบัติสมณธรรมวิปัสสนากรรมฐาน จึงได้แสวงหาสถานที่ปฏิบัติธรรมเจริญวิปัสสนากรรมฐานใหม่ โดยพิจารณาเห็นว่า "ป่าดงอู่ผึ้ง" ห่างจากวัดหลวงไปทางทิศเหนือประมาณ 100 เส้น มีหนองน้ำ ชื่อว่า หนองสะพัง เป็นสถานที่อันสงบวิเวก เหมาะแก่การตั้งเป็นสำนักสงฆ์ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน หรือ "ฝ่ายอรัญญาวาสี" จึงได้ก่อตั้งขึ้นเป็นสำนักสงฆ์ชื่อว่า "วัดป่าหลวงมณีโชติศรีสวัสดิ์" เพื่อให้คู่กับวัดหลวง ซึ่งก่อตั้งขึ้นก่อนแล้วนั้น แต่ก็ยังไม่ทันได้ตั้งเป็นวัดให้เรียบร้อยสมบูรณ์ เจ้าเมือง คือ พระปทุมวรราชสุริยวงศ์ (ท้าวคำผง) ก็ได้ถึงแก่อนิจกรรมลงเสียก่อน (พ.ศ.2323)
ต่อมา สมัยเจ้าเมืองคนที่ 2 คือ พระพรหมวรราชสุริยะวงศ์ (ท้าวทิดพรหม) ได้มาก่อสร้างวิหารอาฮาม ในวัดป่าหลวงมณีโชติศรีสวัสดิ์ นี้ เมื่อ พ.ศ.2348 หลังจากนั้น อีก 2 ปี (พ.ศ.2350) ได้ยกฐานะเป็นวัด และให้ถือเป็นวัดประจำเจ้าเมืองคนที่สองด้วย ให้ชื่อว่า วัดป่าหลวงมณีโชติ แต่ชาวบ้านเรียกว่า วัดหนองตะพัง หรือ หนองสระพัง ตามชื่อหนองน้ำที่อยู่ใกล้เคียง (มีหลักฐานการสร้างวัดอยู่ที่ ศิลาจารึก ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลัง ของพระเจ้าใหญ่อินทร์แปลง ระบุปีที่สร้างวัดนี้ ตรงกับ พ.ศ. 2350) โดยมีพระมหาราชครูศรีสัทธรรมวงศา เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก และเป็นผู้สร้างพระพุทธรูป "พระอินแปง" หรือ พระเจ้าใหญ่อินแปลง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อใหม่ เป็น วัดมหาวัน หรือ วัดป่าใหญ่ และได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้ง ตามสมัยนิยมเรียกว่า "วัดมหาวนาราม" แต่ความหมายของวัด ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม คือ แปลว่า ป่าใหญ่ นั่นเอง
ปูชนียวัตถุที่สำคัญของวัดนี้คือ พระเจ้าใหญ่อินแปลง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ก่ออิฐถือปูน พร้อมกับลงรักปิดทอง ลักษณะศิลปะแบบลาว ขนาดหน้าตักกว้างประมาณ3 เมตร สูงจากเรือนแท่นถึงเปลวพระโมลี 5 เมตร ถือเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ของจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งตามตำนาน มีเรื่องเล่าขานต่อๆ กันมาว่า มีอยู่ด้วยกัน 3 องค์ องค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดอินทร์แปลงมหาวิหาร นครเวียงจันทร์ ประเทศลาว มีอายุประมาณ พันกว่าปี อีกองค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดอินแปลง อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม มีอายุพันกว่าปีเช่นเดียวกัน องค์สุดท้าย คือ พระเจ้าใหญ่อินทร์แปลง ประดิษฐานอยู่ที่วัดมหาวนาราม อำเภอเมือง อุบลราชธานี มีอายุประมาณสองร้อยกว่าปี ในวันเพ็ญเดือน 5 (ประมาณเดือนเมษายน) ของทุกปี จะมีการทำบุญตักบาตร เทศน์มหาชาติชาดก และสรงน้ำปิดทองพระเจ้าใหญ่อินแปลง ซึ่งถือเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีมาจนทุกวันนี้

วัดศรีอุบลรัตนนาราม


วัดศรีอุบลรัตนาราม หรือวัดศรีทอง ตั้งอยู่ด้านทิศใต้ของศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี บนถนนอุปราช สร้างเมื่อปีเถาะ พ.ศ. 2398 ตรงกับ ร.ศ. 74 เป็นปีที่ 5 แห่งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรี วัดนี้มีพระอุโบสถที่สร้างตามแบบพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร กรุงเทพมหานคร เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง คือ พระแก้วษุราคัม เป็นพระพุทธปฏิมากรปางมารวิชัยสมัยเชียงแสน แกะสลักจากแก้วบุษราคัม หน้าตักกว้าง 5 นิว สูงจากเรือนแท่นถึงเปลวพระโมลี 10 นิ้ว มีความงามสง่าตามพุทธลักษณะทุกประการ
ตามตำนานเล่าสืบกันมาว่าพระวรราชภักดี (พระวอ) พร้อมด้วยบุตรหลานของพระตาคือ ท้าวคำผง ท้าวทิดพรหม และท้าวก่ำ บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งเมืองอุบล ได้อัญเชิญพระแก้วบุษราคัมมาจากกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) เดิมทีพระแก้วบุษราคัม คงจะประดิษฐานอยู่ที่บ้านดอนมดแดง และได้อัญเชิญมาประดิษฐาน อยู่ที่วัดศรีอุบลรัตนารามในเวลาต่อมา
ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช ทางราชการได้ประกอบพิธีถือนำพระพิพัฒน์สัตยา ที่วัดศรีอุบลรัตนาราม พร้อมทั้งได้อัญเชิญพระแก้วบุษราคัม เป็นองค์ประธานในพิธี โดยถือว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองสืบกันมาแต่โบราณกาล ปัจจุบัน ในเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี ชาวอุบลราชธานีจะร่วมใจกัน อัญเชิญพระแก้วบุษราคัม เข้าขบวนแห่ไปรอบเมืองอุบลราชธานี เพื่อเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชน ได้นมัสการกราบไหว้และสรงน้ำกันโดยถ้วนหน้า

วัดพระธาตุหนองบัว


วัดหนองบัว เป็นวัดราษฎร์ นิกายธรรมยุต อยู่อำเภอเมืองอุบลราชธานี ห่างจากศาลากลางจังหวัด ไปทางด้านทิศเหนือประมาณ 3 กิโลเมตร บนถนนธรรมวิถี แยกจากถนนชยางกูร ไปทางทิศตะวันตก ประมาณ 500 เมตร สร้างเมื่อปี พ.ศ.2498 มีพื้นที่ทั้งหมด 50 ไร่ 1 งาน 19 ตารางวา เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่ง ของจังหวัดอุบลราชธานี ภายในวัดมีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ คือพระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์ ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ครบรอบ 25 ศตวรรษของพุทธศาสนาในปี พ.ศ. 2500 พระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์น์ ได้จำลองแบบมาจากเจดีย์ที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย เป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ รอบองค์พระธาตุเป็นกำแพงแก้ว ซึ่งทั้ง 4 มุม ของกำแพงแก้ว ได้ประดิษฐานพระเจดีย์ขนาดเล็กอีก 4 องค์ ภายในองค์พระธาตุมีประตูทางเข้าทั้ง 4 ด้าน พระธาตุองค์เดิมมีขนาดกว้างด้านละ 5 เมตร สูงประมาณ 17 เมตร เมื่อสร้างใหม่ครอบองค์เดิม คือพระบรมธาตุที่เห็นในปัจจุบัน มีขนาดใหญ่มาก ฐานสี่เหลี่ยมกว้างด้านละ 17 เมตร สูง 56 เมตร เสร็จสมบูรณ์ในปี 2512 ด้านหลังของพระบรมธาตุ เป็นที่ตั้งของศาลาการเปรียญ ซึ่งใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและประเพณี กลุ่มของฆราวาสจะรวมกันอยู่ด้านหลัง ซึ่งเป็นกุฏิที่สร้างอยู่ในสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ซึ่งเป็นป่าโปร่ง ส่วนกุฏิของแม่ชี จะแยกพื้นที่ไปอย่นอกวัด

วัดบ้านนาเมือง


วัดบ้านนาเมือง หรือวัดสระประสานสุข ตั้งอยู่ที่ บ้านนาเมือง ห่างจากตัวเมืองประมาณ 5 กิโลเมตร ด้านทิศเหนือของสนามบิน เป็นวัดที่มีพระอุโบสถที่มีลักษณะแปลกตากว่าพระอุโบสถทั่วไป เพราะวัดนี้สร้างเป็นรูปเรือสุพรณหงส์ ใช้เซรามิคตกแต่งพระอุโบสถ ซึ่งเซรามิคนี้ทำจากโรงงานในจังหวัดอุบลฯ และนอกจากนี้ยังมีเจ้าอาวาส คือพระอาจารย์บุญมี เป็นที่เคารพเลื่อมใสของประชาชนทั่วไป

วัดภูเขาแก้ว


วัดภูเขาแก้ว ตั้งอยู่อำเภอพิบูลมังสาหาร ห่างจากตัวจังหวัดอุบลราชธานี ประมาณ44 กิโลเมตร ก่อนถึงอำเภอพิบูลมังสาหาร ประมาณ 1 กิโลเมตร ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 217 วัดภูเขาแก้ว สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2480 สำหรับให้พระสงฆ์ปฏิบัติกัมมัฏฐาน สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดคือ พระอุโบสถ ที่ประดับด้วยกระเบื้องทั้งหลัง มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ ความงามของอุโบสถ ได้ถูกถ่ายทอดจากฝีมือของช่างพื้นบ้าน โดยการออกแบบของเจ้าอาวาส (พระอาจารย์โชติ) โดยได้นำรูปแบบศิลปะไทย ซึ่งถ่ายทอดอยู่ในส่วนบนของพระอุโบสถ ที่ทำหลังคาเป็นโครงสร้างไม่มีมุข ลดหลั่นกันสี่ชั้นทั้งด้านหน้า และด้านหลังมุงด้วยกระเบื้องเคลือบดินเผา ประดับด้วยช่อฟ้าใบระกาหางหงส์ โดยมีคันทวยรองรับชายคา เป็นรูปนาคอยู่โดยรอบ ส่วนบริเวณกลางหลังคา ตกแต่งเป็นยอดปราสาททอง หน้าบันจำหลักลายปูนปั้นลายก้านขด ที่ยังคงความอ่อนช้อย และเข้ากันได้ดีกับบัวเสาที่ทำตามศิลปะอินเดีย ในขณะที่ส่วนล่างของบัวหัวเสาลงมาตกแต่งแบบศิลปะขอม
จากที่กล่าวมาในเบื้องต้นทำให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นลักษณะทางสถาปัตยกรรม หรือลวดลายที่ใช้ตกแต่ง ส่วนใหญ่จะถูกถ่ายทอดมาจากลวดลายของปราสาทขอมทั้งสิ้น ทั้งนางอัปสรหรือทวารบาล ที่ยืนเคียงคู่อยู่ที่ประตูพระอุโบสถ ภายในพระอุโบสถวัดภูเขาแก้ว จะตกแต่งด้วยภาพนูนสูง อยู่เหนือบานประตูและหน้าต่างขึ้นไป เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระธาตุที่สำคัญของประเทศไทย พร้อมทั้งเล่าเรื่องประวัติของพระธาตุแต่ละองค์โดยสังเขป

แก่งสะพือ


เป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า "ซำพืด" หรือ "ซำปื้ด" ซึ่งเป็นภาษาส่วยที่แปลว่า งูใหญ่ หรืองูเหลือม แก่งสะพือ เป็นแก่งที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี เป็นแก่งที่อยู่ในแม่น้ำมูล ในเขตอำเภอพิบูลมังสาหาร ห่างจากตัวจังหวัดอุบลราชธานีประมาณ 45 กิโลเมตร ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 217 แก่งสะพือ จะมีหินน้อยใหญ่สลับซับซ้อน กระแสน้ำไหลผ่านกระทบหิน แล้วเกิดเป็นฟองขาวมีเสียงดังตลอดเวลา ริมแก่งจะมีศาลาพักร้อนตั้งอยู่ สำหรับให้นักท่องเที่ยวนั่งชมทัศนียภาพของแก่ง
ช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม แก่งสะพือจะมีผู้นิยมไปเที่ยวกันมาก เพราะน้ำจะลดทำให้เห็นแก่งได้ชัดเจนและสวยงาม ส่วนในฤดูฝนน้ำจะท่วมแก่ง นอกจากนี้แล้วในเดือนเมษายนของทุกปี ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เทศบาลตำบลพิบูลมังสาหาร ก็ได้กำหนดจัดงานประเพณีสงกรานต์แก่งสะพือขึ้น เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และสืบทอดประเพณีอันดีงามไว้ ซึ่งในงานนี้ก็มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมงานเป็นจำนวนมาก

แม่น้ำสองสี

อำเภอโขงเจียม เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ติดกับประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อำเภอโขงเจียม เป็นบริเวณที่แม่น้ำมูลไหลลงมาบรรจบกับแม่น้ำโขง ทำให้เกิดมีสีแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน คือ แม่น้ำโขงมีสีน้ำตาลอ่อน (สีชา) ส่วนแม่น้ำมูลมีสีชาแกมเขียว หรือที่นิยมพูดกัน จนติดปากว่า "โขงสีปูนมูลสีคราม"

น้ำตกสร้อยสวรรค์

น้ำตกสร้อยสวรรค์ อยู่ในเขตอำเภอโขงเจียม ภายในเขตอุทยานแห่งชาติผาแต้ม บนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2112 ห่างจากอำเภอโขงเจียมประมาณ 30 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่ไหลจากหน้าผาสูงชันสองด้าน ซึ่งเกิดจากลำห้วยสร้อยและลำแซไผ่ ตกลงมาบรรจบกันคล้ายสายสร้อย ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขง สูงประมาณ 20 เมตร มีน้ำไหลตลอดปี เป็นน้ำตกที่มีคนนิยมไปเที่ยวกันมาก นอกจากนี้ บริเวณน้ำตกยังมีต้นไม้และดอกไม้ป่า ช่วยเสริมบรรยากาศความงามของน้ำตกแห่งนี้ นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นทิวทัศน์แม่น้ำโขง ผืนป่าและหน้าผาหินฝั่งลาวได้อย่างชัดเจน ฤดูที่น่าเที่ยวควรจะเป็นหลังฤดูฝนใหม่ๆ เพราะจะมีน้ำมาก

น้ำตกห้วยหลวง(บักเตว)

น้ำตกห้วยหลวง (น้ำตกบักเตว) น้ำตกขนาดใหญ่สูงราว 30 เมตรไหลตกจากหน้าผาสูงชัน ลงสู่แอ่งน้ำใหญ่ และลานหินหาดทราย ด้านล่างมีบันไดทางลงจากศาลาชมทิวทัศน์สู่น้ำตกด้านล่าง นอกจากนี้ ยังมีน้ำตกอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกทลายแห่ง เช่น น้ำตกเกิ้งแม่ฟอง น้ำตกถ้ำบอน น้ำตกจุ๋มจิ๋มน้ำตกห้วยทรายใหญ่ (แก่งอีเขียว) เป็นต้น


© 2002. Surachai Travel . All rights reserved.
511/1-4 ถนนชยางกูร ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 34000
Tel: 045-314488 , 045-312581 Email: surachai_travel@hotmail.com