จระเข้ในสำนวนไทย
ถ้าสิงห์โตเป็นเจ้าป่า ปลาฉลามเป็นเจ้าทะเล จระเข้ต้องเป็นเจ้าแห่งสัตว์เลื้อยคลานแน่ ๆ เพราะมันช่างน่าเกรงขาม ลึกลับและดุร้ายเหลือกำลัง แต่วันนี้เราเพียงแต่จะดูความร้ายกาจของจระเข้ที่เข้าแทรกอยู่ในสำนวนไทยมากพอดู ล้วนแต่มาในทางลบ ในทางใช้กำลังความยิ่งใหญ่และอำนาจ
เริ่มด้วยสำนวนที่แสดงความยิ่งใหญ่ คือ สำนวนจระเข้ขวางคลอง สำนวนนี้หมายถึงคนที่ทำอะไรชอบขัดขวางผู้อื่น ทำตัวเป็นอันธพาลเกะกะเกเรชาวบ้าน ในสมัยก่อนการคมนาคมส่วนใหญ่ใช้ทางน้ำ จระเข้ก็คงจะมีมาก และด้วยความที่เป็นสัตว์ใหญ่และน่ากลัว เมื่อมันลอยตัวมาขวางคลองย่อมทำให้กีดขวางการจราจร การสัญจรไปมาก็ลำบาก ผู้คนจึงทั้งเกลียดทั้งกลัว ทั้งรำคาญเมื่อจระเข้ขวางคลอง
แล้วก็ต่อด้วยสำนวนจระเข้ที่แสดงกำลังอำนาจ มีความหมายคล้าย ๆ แสดงความยิ่งใหญ่ คือ จระเข้ฟาดหาง หมายถึงผู้ที่ใช้อำนาจหรือกำลังระรานโดยไม่เลือกหน้า จระเข้เป็นสัตว์ที่มีพลกำลังมาก เวลาโกรธก็จะอาละวาดฟาดหางทีเดียว สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงก็พลอยเสียหายหมด
สำนวนที่เกี่ยวกับจระเข้ที่มีความหายในทางใช้อำนาจอีกสำนวนหนึ่งคือ จระเข้คับหนอง หรือจระเข้ใหญ่กว่าหนอง หมายถึง ใหญ่โตเหลือเกิน โตเกินสภาพที่เป็นอยู่
ปัจจุบันคนอย่างนี้มีไม่น้อยเลย โปรดสังเกตให้ดี ๆ ยังมีจระเข้ในสำนวนที่มีความหมายในทางร้าย ๆ อีก เช่น หนีเสือปะจระเข้ หมายถึง หนีอันตรายหนึ่งไปพบอีกอันตรายหนึ่งที่ร้ายพอ ๆ กัน สำนวนนี้คำโบราณเต็ม ๆ จะว่าไว้ว่า หนีเสือปะจระเข้ ขึ้นต้นไม้ปะรังแตน ซึ่งโบราณจริง ๆ ให้หมายถึง ผู้ประสบอันตรายรอบด้านจนยากที่จะเอาตัวรอดได้
ยังมีสำนวนหนึ่งที่เราไม่ค่อยได้ยินคือ "ถ่อแพไล่เสือ ถ่อเรือไล่จระเข้" หมายถึง ทำสิ่งที่ไม่อาจสำเร็จได้ หรือสำเร็จได้ยาก ซึ่งในสำนวนก็บ่งความหมายแจ่มแจ้งแล้วว่า การถ่อแพไล่เสือหรือถ่อเรือไล่จระเข้นั้นมันยากพอ ๆ กัน ซึ่งถ้าสำนวนนี้ลองให้เด็ดสมัยใหม่หาสำนวนใหม่มาเทียบ ก็คงได้ออกมาว่าให้วิ่งนำหน้ารถไฟ หรือให้ไปอุ้มช้างไปอาบน้ำนั่นแหละ เพราะความร้ายของจระเข้ มันจึงถูกนำไปเขียนเป็นสำนวนไทยในทางลบทั้งสิ้น