J_muay

สายสัมพันธ์

 


สั พั ธ์   

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

          รอยถูกครูประจำชั้นเรียกพบหลังเลิกเรียนในเย็นวันหนึ่ง            

            “เกิดอะไรขึ้นกับผลการเรียนของเธอ   รังสิมันต์”

            เด็กชายนั่งก้มหน้ามองดูผลการเรียนในสมุดรายงานที่วางบนโต๊ะครูสมเกียรติ

            “เอ่อ...ผม คือ…”

            รอยไม่รู้ว่าจะตอบคำถามครูอย่างไร ตั้งแต่เปิดเทอมมานี้เด็กชายเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องจริงๆ  จากที่เคยได้เกรด 4 เกือบทุกวิชา  สอบเก็บคะแนนเทอมนี้ผลการเรียนของรอยตกลงเหลือ 2 กว่าเกือบทุกวิชา...

            “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า รอย”

            ครูสมเกียรติเปลี่ยนมาเรียกชื่อเล่นเด็กชายเพื่อให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดมากนักเพราะเริ่มรู้สึกว่าเด็กกำลังมีปัญหา หนุ่มน้อยยังคงนั่งนิ่งจนครูต้องเปลี่ยนคำถามใหม่

            “เป็นปัญหาจากที่โรงเรียนหรือเปล่า จากครูที่สอนหรือเพื่อนในห้อง”

            “เปล่าครับ”    ได้ผลครูสมเกียรติเริ่มจับจุดที่จะถามลูกศิษย์ได้

            “ถ้าไม่ใช่ปัญหาที่โรงเรียนก็ต้องเป็นปัญหาทางบ้านใช่มั้ย”

            “เอ่อ...คือ”   รอยอึกอักตอบไม่ถูกว่าเป็นปัญหาจากไหน

            “รอย..  ถ้าเธอไม่มีเหตุผลให้ครู  ครูก็ต้องเชิญผู้ปกครองมาคุยนะ”

            “ไม่นะครับครู  คือผม.. ผมเรียนไม่รู้เรื่องเอง ผมไม่เข้าใจครับ”

            “ก็ใช่น่ะซิ ทำไมถึงเรียนไม่รู้เรื่อง ทำไมถึงไม่เข้าใจ เธอไม่เคยเป็นอย่างนี้ เพราะอะไร รังสิมันต์”

            เด็กชายนั่งนิ่งอีก จนครูสมเกียรติต้องใช้วิธีสุดท้าย

            “ใครดูแลเรื่องการเรียนของเธอตอนนี้ คุณพ่อหรือคุณแม่ ให้มาพบครูสักคนใครก็ได้”

            “เอ่อ..ไม่ได้ครับ ผมไม่อยากให้พ่อรู้”

            “งั้นก็พาคุณแม่มา”

            “ถ้าแม่รู้  ผม..ต้องถูกลงโทษหนักเลยครับ”

            “อะไรกัน คุณแม่ดุขนาดนั้นเลยเหรอ”

            “คุณแม่ไม่ได้ลงโทษเองครับ  สามีคุณแม่ลงโทษครับ”

            ครูสมเกียรตินิ่งอึ้ง  เริ่มเห็นเค้ารางๆ ของปัญหาครอบครัวแตกแยก

            “สามีคุณแม่ หมายถึงคุณพ่อหรือเปล่า”

            “ไม่ใช่ครับ”  รอยจำใจตอบแม้จะรู้สึกปวดใจกับคำถาม

            ครูสมเกียรติจ้องลูกศิษย์ที่นั่งก้มหน้าอยู่ ก่อนจะกล่าวให้กำลังใจเด็กชาย

            “รังสิมันต์ ผลการเรียนของเธอคงจะไม่ดีขึ้นแน่ๆ ถ้าจิตใจยังเป็นแบบนี้ ปัญหาที่เธอกำลังเผชิญอยู่ไม่คิดอยากจะระบายให้ครูฟังบ้างเหรอ  ครูคิดว่าเธอคงลำบากใจเต็มที่แล้วใช่มั้ย”

            รอยเงยหน้าขึ้นสบตากับครูสมเกียรติเป็นครั้งแรก  น้ำตาเอ่อคลอดวงตาของเด็กชายทำให้ครูสมเกียรติตระหนักถึงปัญหาที่หนักหนาเหลือเกินแล้วของลูกศิษย์ตัวน้อย ผลการเรียนที่ตกลงขนาดนี้ก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าเด็กไม่มีสมาธิ เวลา หรือจิตใจที่จะทุ่มเทให้กับการเรียนเหมือนเดิม 

           

            เกือบค่ำแล้วรอยยังกลับไม่ถึงบ้าน วันนี้เด็กชายอยู่คุยกับครูสมเกียรติจนเย็นจึงไม่สามารถกลับกับรถโรงเรียนได้  รอยนั่งรถเมล์กลับโดยมีครูสมเกียรตินั่งมาเป็นเพื่อนและเดินมาส่งถึงหน้าบ้าน

            ผู้พันสินชัยนั่งหน้าเครียดในขณะที่ฝ่ายภรรยาเดินงุ่นง่านไปมา เธอกำลังรอลูกชายอยู่ด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าลูกจะถูกผู้เป็นพ่อรับกลับไปบ้าน  ทันทีที่เห็นหน้าเด็กชายวิภาวีรีบคว้าแขนดึงตัวเข้ามาถามเสียงดุ 

            “ไปไหนมารอย  ทำไมถึงกลับค่ำป่านนี้”

            “เอ่อ.. ผมอยู่เรียนพิเศษกับครูครับ”  รอยจำเป็นต้องพูดปดเพราะไม่อยากให้แม่รู้

            “ใครอนุญาตให้ลูกเรียนพิเศษ อย่าบอกนะว่านายรังสรรค์ของลูกอนุญาต”

            “เปล่าครับ พ่อไม่รู้เรื่อง”  เด็กชายรู้สึกเสียใจที่ได้ยินแม่เรียกพ่ออย่างนี้

            “หึ! มันน่ามั้ย ต่อไปแม่ไม่อนุญาตให้เรียนพิเศษตอนเย็นนะ ไป..ไปอาบน้ำ  แล้วเดี๋ยวไปทานข้าวในครัว” 

วิภาวีดุลูกได้เพียงเท่านี้  เพราะความเป็นแม่อย่างน้อยก็ยังมีความรักและสงสาร

            “ยังไปไม่ได้”

เสียงกังวานและมีอำนาจของผู้พันไม่เฉพาะรอยเท่านั้นที่ตกใจ  วิภาวีเองก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง เธออุตส่าห์ชิงตัดบทดุว่าลูกชายด้วยตัวเอง เพราะไม่อยากให้สามีออกหน้าแต่ก็หนีไม่พ้น     

            “วิภาวี..  คุณขึ้นไปข้างบนได้แล้ว  ผมจะคุยกับรอยสองต่อสอง”

            “เอ่อ..แต่ว่า”

            “ไม่มีแต่..วิ  ผมจะคุยกันตามประสาพ่อลูก คุณไม่สนับสนุนหรือไง”

            วิภาวีจนใจที่จะโต้ตอบแม้จะรู้สึกห่วงลูกชายอยู่บ้าง เด็กชายรู้สึกเย็นวาบเมื่อแม่เดินจากไป เตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับบทลงโทษที่โหดร้ายและทารุณสำหรับวันนี้   พร้อมๆ กับที่รู้สึกไม่พอใจกับคำพูดของผู้พัน พลางนึกในใจว่า

....ถ้าลุงเป็นพ่อผม  ผมขอยอมตายดีกว่า.....

            “ว่าไงคนเก่ง  วันนี้เธอเก่งจริงๆ นะ  ลุงขอชม”

            ผู้พันกล่าวยิ้มๆ  ในขณะที่รอยยืนนิ่งเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

            “ลุงชอบสบตากับคนที่พูดด้วยนะรอย  เธอไม่ชอบเหมือนลุงเหรอ”

            คำพูดของผู้พันทำให้เด็กชายต้องหันมามองหน้าด้วย

            “ดีมาก ว่าง่ายนะรอย  รู้มั้ยว่าจริงๆ  แล้วเธอเป็นเด็กที่น่ารักมาก”

            “ผมกลับบ้านผิดเวลา  คุณลุงจะลงโทษผมยังไงครับ”

รอยถามตรงๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องได้รับโทษ ไม่อยากเสียเวลาฟังคำพูดไร้สาระเหล่านั้น

            “กล้าหาญมากนะรอย  ดี.. ลุงชอบคนพูดตรงๆ  ลุงจะให้เธอเลือกว่าเธอต้องการฝึกความอดทนแบบไหนสำหรับคืนนี้”

            “แล้วแต่คุณลุงเถอะครับ  แต่วันนี้ผมขอทานข้าวนะครับ ผมหิว...”

            “ฮะ ฮะ ได้ซี... ขอกันตรงๆ แบบนี้ลุงจะขัดได้ยังไง ไปอาบน้ำทานข้าวให้เรียบร้อย คืนนี้ลุงคิดว่าจะให้เธอนอนเล่นอยู่นอกบ้าน  คอยตรวจและเฝ้าดูความเรียบร้อยสักคืน ”

            ผู้พันลุกขึ้นยืน   

            “รีบทำธุระของเธอเร็วๆ สามทุ่มลุงจะลงมาปิดบ้านด้วยตัวเอง” ผู้พันสินชัยเดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะ

เด็กชายทรุดตัวลงนั่งกับพื้นด้วยอาการตกใจ  ….รอยกลัวความมืดมากที่สุดเลย  มีพ่อเท่านั้นที่รู้….

            คืนนี้รอยถูกลงโทษให้นอนที่ระเบียงนอกบ้านจริงๆ

            เที่ยงคืนกว่า.….   

            เด็กชายนั่งซุกตัวอยู่หน้าประตูบ้านบริเวณที่สว่างที่สุด เมื่อรู้แล้วว่าต้องออกมานอนที่ระเบียงบ้าน  รอยจึงไม่ลืมหยิบรูปพ่อและผ้าห่มติดตัวออกมาด้วย  ผ้าห่มถูกลุงผู้พันดึงกลับคืนไปพร้อมๆ กับคำพูดค่อนขอด

            “กอดพ่อก็อุ่นพอแล้วไม่ใช่หรือรอย ไม่ต้องใช้ผ้าห่มหรอก แต่ถ้าจะเอาผ้าห่มก็เอารูปพ่อมา ฮะ ฮะ”

            รอยไม่มีวันยอมให้รูปพ่อ อยากได้ผ้าห่มก็เอาไปเหอะ!!

ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งเย็นแม้เด็กชายจะเตรียมใส่ชุดนอนแขนยาวในคืนนี้ ก็ไม่สามารถสู้อากาศที่เย็นลงในตอนดึกได้

            “พ่อจ๋า  ผมจะอดทน มะรืนนี้ผมก็จะได้นอนกอดพ่อแล้ว”

            “อือ... หนาวจังเลย... พ่อจ๋า.. ผมหนาว….” 

ตี 2 กว่าแล้ว… เด็กชายร้องเรียกหาพ่อเพราะร่างกายรู้สึกทรมานกับสภาพที่ได้รับ ทั้งอากาศที่เย็นและชื้นเพราะน้ำค้าง ไหนจะยุงที่บินว่อนอยู่รอบตัว ทำให้รอยไม่สามารถนั่งอยู่อย่างสงบได้ต้องขยับตัวไปมาตลอด แต่ในที่สุดเด็กชายก็ไม่สามารถฝืนร่างกายไว้ได้อีก ต้องเอนลงนอนขดตัวบนพื้นระเบียงที่เย็นและชื้น

            “พ่อจ๋า... กอดหน่อย ผมหนาว  กอดหน่อยฮะ พ่อ..” 

เป็นประโยคที่เด็กชายพูดทวนไปมาก่อนที่สติจะดับวูบลง

           

            รอยรู้สึกตัวอีกครั้งบนเตียงนอนของตัวเอง เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองดูเวลาและลุกพรวดขึ้นในทันที  เกือบจะ 11 โมงเช้าแล้ว… แย่แล้ว นี่ใกล้จะเที่ยงแล้วเหรอ… 

รอยลุกขึ้นจากเตียงทั้งๆ ที่ยังรู้สึกหนาว แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรเขาก็จะไปโรงเรียนให้ได้

            รอยดีใจที่ไม่พบใครในบ้านเวลานี้ ผู้พันไปทำงาน แม่คงออกไปข้างนอก เด็กชายเดินออกจากห้องในชุดนักเรียน แม้จะรู้สึกเหมือนกำลังไม่สบาย แต่รอยก็จะต้องไปเพราะคิดถึงพ่ออยากกอดพ่อให้หายจากอาการหนาวที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้

            “คุณหนูรอย จะไปโรงเรียนเวลานี้หรือครับ”

เสียงพลทหารรับใช้ทำให้รอยสะดุ้งเพราะกำลังเดินย่องออกจากตึก เด็กชายฝืนยิ้มให้จำเป็นต้องพูดปด

            “ผมต้องไปครับ วันนี้ผมมีสอบ ถ้าแม่กลับมาช่วยบอกด้วยนะครับว่าผมไปโรงเรียน”

            “เดี๋ยวครับ คุณหนูจะไปยังไง”  พลทหารถามด้วยความเป็นห่วง รู้สึกสงสารเด็กชายที่ถูกผู้เป็นพ่อเลี้ยงหาเรื่องลงโทษบ่อยๆ

            รอยนิ่งคิด  ...จริงซิ จะไปยังไงดี เดินไปก็คงไปไม่ถูก ไปรถเมล์ต้องขึ้นสายอะไรเหรอ..

            เห็นเด็กชายยืนนิ่งพลทหารจึงอาสาไปส่ง โดยให้รอยนั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์เขาไป ถึงโรงเรียนประมาณ 11 โมงครึ่ง รอยจึงนั่งคอยพ่อที่จุดนัดพบโดยไม่เข้าไปที่ห้องเรียน นั่งรอจนถึงเที่ยงรู้สึกหิวเพราะยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้า อยากจะเข้าไปทานข้าวก็กลัวพ่อมาไม่พบ เด็กชายนั่งคอยจนรู้สึกหนาวขึ้นมาอีกและยังรู้สึกว่าความง่วงกำลังเข้ามาแทนที่ความหิว

เที่ยงครึ่งแล้ว…  พ่อจ๋า.. ทำไมวันนี้มาช้าจัง.....

            “น้องรอยใช่มั้ยครับ”

            รอยหันไปตามเสียงเรียก พยักหน้าหงึกกับคำถามเพราะไม่มีอารมณ์จะพูดด้วย ชายหนุ่มแต่งกายในชุดทำงานยื่นจดหมายให้

            “คุณพ่อรังสรรค์ฝากมาให้ครับ”

            รอยใจหายเมื่อได้ยินชื่อพ่อแต่ไม่เห็นตัว  รีบเปิดซองและอ่านข้อความในจดหมาย

            “….รอยครับ เที่ยงนี้พ่อติดธุระสำคัญจริงๆ มาพบลูกไม่ได้ พรุ่งนี้พ่อจะไปรับแต่เช้านะ รู้มั้ยว่าเมื่อคืนพ่อนอนไม่หลับทั้งคืน คิดถึงลูกมากเลย แสดงว่าลูกก็ต้องนอนคิดถึงพ่อด้วยใช่มั้ย พรุ่งนี้เจอกันพ่อจะกอดรอยให้หายคิดถึงเลยนะครับ....  รักลูกที่สุดเลย.. พ่อของลูก.....”

            เด็กชายสะอื้นน้ำตาไหลพรากจนชายหนุ่มผู้นั้นตกใจ  รีบเข้ามาปลอบและอธิบาย

            “น้องรอยครับ คุณพ่อติดประชุมต่อเนื่องกับลูกค้าต่างประเทศ ปลีกตัวออกมาไม่ได้จริงๆ  ท่านสั่งให้พี่รีบเอาจดหมายฉบับนี้มาให้น้องก่อนเที่ยง แต่รถติดมากพี่เลยมาช้าไปหน่อย  คุณพ่อสั่งให้พี่พาน้องไปทานข้าวด้วย  น้องรอยทานข้าวหรือยังครับ”

            เด็กชายส่ายหน้าความหมายว่า ...ไม่เป็นไร... แต่อีกฝ่ายเข้าใจว่ายังไม่ได้ทานข้าว

ชายหนุ่มยื่นผ้าเช็ดหน้าให้แล้วกล่าวต่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

            “ถ้างั้นเช็ดน้ำตานะครับ เดี๋ยวเราไปหาอะไรทานกัน”

            .....พูดไม่รู้เรื่อง บอกว่าไม่เป็นไร อย่ามายุ่งกับผม..... 

            รอยส่ายหน้าอีกครั้งก่อนที่สติจะดับวูบลง

            “น้องรอย  น้องรอยครับ”  ชายหนุ่มรับร่างเล็กของลูกเจ้านายไว้ได้ทัน

            ห้องพยาบาลของโรงเรียน

            ครูสมเกียรตินั่งเฝ้าเด็กชายที่ยังนอนหมดสติอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกเวทนาและสงสาร  หลังจากที่พยาบาลประจำห้องตรวจพบความอ่อนเพลียของร่างกายโดยสันนิษฐานเบื้องต้นว่าพักผ่อนไม่พอ แต่อาการจับไข้ของเด็กต้องได้รับการตรวจเช็คโดยละเอียดจากแพทย์อีกครั้ง

            ครูหนุ่มสังหรณ์ใจว่าอาการป่วยของลูกศิษย์อาจเป็นผลมาจากการที่เด็กชายกลับบ้านผิดเวลาเมื่อเย็นวาน เรื่องราวที่เขาได้รับรู้ทั้งหมดถูกรอยกำชับว่าให้พ่อรู้ไม่ได้ ขอให้ครูช่วยปิดเป็นความลับด้วย ครูจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร รังสิมันต์..  ในเมื่อสภาพของเธอตอนนี้เกือบจะรับสถานการณ์เลวร้ายนี้ไม่ไหวแล้ว

            ทันทีที่ได้พบผู้เป็นพ่อของลูกศิษย์ สิ่งแรกที่ครูสมเกียรติพบเห็นและรับรู้จากความรู้สึกของคนที่อยู่ในฐานะพ่อด้วยกันคือ ความรักและความห่วงใยจากสีหน้าและแววตา  กิริยาที่ชายหนุ่มปฏิบัติต่อลูกยิ่งทำให้ครูหนุ่มรู้สึกทึ่ง เพราะไม่เคยเห็นผู้เป็นพ่อส่วนใหญ่ปฏิบัติต่อลูกเช่นนี้โดยเฉพาะกับลูกชาย แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เคยปฏิบัติต่อลูกชายตัวน้อยๆ ของเขาอย่างที่ชายหนุ่มปฏิบัติ มันเป็นกิริยาที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและนุ่มนวลเหมือนเป็นทั้งพ่อและแม่ในคนเดียวกัน......

            “รอยครับ ที่รักของพ่อ พ่อมาแล้วลูก…”

รังสรรค์ก้มลงจูบหน้าผากลูกชายเบาๆ  ใจหายวาบเมื่อสัมผัสถึงความร้อนของร่างกาย และแปลกใจกับตุ่มแดงๆ บนใบหน้าและลำแขนของเด็กชายจนต้องลูบไล้เบาๆ    

            “ทำไมลูกไม่สบายบ่อยจัง ลูกคิดถึงพ่อมากเกินไปหรือเปล่า”

รังสรรค์รำพึงกับตัวเองโดยไม่สนใจว่าใครจะยืนฟังอยู่บ้าง เสียงพึมพำจากริมฝีปากเล็กทำให้เขานิ่งอึ้งไป  เพราะมันตรงกับที่เขาได้ยินในฝันเมื่อคืนนี้

            “พ่อจ๋า....ผมหนาว.. กอดหน่อย  กอดหน่อยครับพ่อ”

            เห็นอาการที่ลูกเพ้อหาชายหนุ่มรู้สึกเหมือนจะขาดใจ เขาช้อนศีรษะเด็กชายขึ้นและรั้งร่างเล็กเข้ามากอด  .....ลูกหนาวเพราะอาการไข้หรือลูกหนาวเพราะลูกไม่มีใคร รอย.. ที่รักของพ่อ....

            อ้อมกอดอบอุ่นของพ่อทำให้อาการเพ้อของเด็กชายสงบลง ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ชั่วครู่ก็ช้อนร่างเล็กลุกขึ้นจากเตียง

            “ผมจะพาลูกไปหาหมอ  ขอบคุณคุณครูที่ช่วยดูแลให้”

            “เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ คุณรังสรรค์”

            “ถ้างั้นผมลาก่อนนะครับ” รังสรรค์หันไปทางชายหนุ่มเจ้าหน้าที่ของบริษัทที่เขาให้มาส่งจดหมายถึงรอย  ซึ่งยังคงยืนรอเผื่อว่าเจ้านายจะสั่งให้ช่วยอะไร

            “กลับได้แล้ววิชิต..  ขอบใจมากที่ช่วยเป็นธุระให้”

            รังสรรค์อุ้มลูกออกจากห้องพยาบาล ครูสมเกียรติเดินตามไปส่งที่รถโดยครุ่นคิดไประหว่างทางจนในที่สุด....

            “เอ่อ..คุณรังสรรค์ครับ  ผมมีเรื่องสำคัญมากเป็นเรื่องของรังสิมันต์ อยากจะคุยกับคุณ แต่อยากให้คุณพาแกไปหาหมอก่อน  แล้วถ้าเป็นไปได้ผมขอแนะนำว่าคืนนี้ลูกควรจะได้พักอยู่กับคุณ ไม่ใช่กับแม่...”

            ประโยคสุดท้ายทำให้รังสรรค์นิ่งไป  เขายิ้มเล็กน้อย

            “ขอบคุณครับที่เป็นห่วง ตราบใดที่ลูกยังร้องหาผมในสภาพเจ็บป่วยเช่นนี้ ผมไม่มีวันปล่อยแกไปอยู่กับใคร แม้แต่แม่ของเขาผมก็ไม่ไว้ใจ โทรหาผมได้ทุกเวลาที่ครูต้องการจะคุย สวัสดีครับ”

ชายหนุ่มส่งนามบัตรให้ครูสมเกียรติก่อนจะเคลื่อนรถออกไป

 

                “คืนนี้ลูกอยู่กับผมนะ วิภาวี”  

ประโยคแรกของการสนทนาทางโทรศัพท์ ทำให้วิภาวีแทบเต้น

            “อะไรนะรังสรรค์ นี่คุณแอบไปรับลูกที่โรงเรียนเหรอ วันนี้เป็นวันศุกร์นะคุณไม่มีสิทธิ”

            รังสรรค์สวนกลับด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว

            “ลูกไม่ใช่สินค้าหรือสิ่งของที่เราจะมาแบ่งสิทธิกันใช้นะวิภาวี  นี่ก็เย็นวันศุกร์แล้ว  พรุ่งนี้เช้าผมก็ต้องไปรับแกอยู่ดี ลูกจะมาอยู่กับผมก่อนแค่คืนเดียวคุณทำอย่างกับคุณจะเสียผลประโยชน์มหาศาลอย่างนั้นล่ะ”

            “เอ่อ ก็มันไม่ถูกต้อง ลองคุณทำได้ครั้งหนึ่ง อีกหน่อยคุณก็โมเมแบบนี้อีก ดีไม่ดีอย่าว่าแต่เย็นวันศุกร์เลย  วันอื่นๆ คุณก็อาจจะแอบไปรับ”

            “วิภาวี ผมจะบอกให้คุณรู้นะ ว่าผมไม่มีนิสัยเหมือนคุณ แล้ววันนี้ผมก็ไปหารอยที่โรงเรียนตั้งแต่บ่าย  อยากรู้มั้ยว่าผมไปทำไม”

            “นี่คุณ!!  มากไปแล้วนะ คุณแอบไปหาลูกที่โรงเรียนด้วยงั้นเหรอ”

            “ผมไม่ได้แอบไป  แต่ผมถูกครูเชิญให้ไป อยากรู้มั้ยว่าเพราะอะไร”

            วิภาวีนิ่งอึ้ง  ชักเริ่มไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายรู้อะไรบ้าง

            “รอยไม่สบาย หมดสติในห้องเรียนเพราะพักผ่อนไม่พอ ไข้สูงและมีอาการเริ่มของปอดบวม  ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูก  ตั้งแต่ไปอยู่กับคุณลูกป่วยบ่อยมาก ไม่ร่าเริงเหมือนก่อน บอกผมหน่อยได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูก ทำไมรอยถึงป่วยบ่อยๆ เพราะคุณหรือเปล่า วิภาวี..”

            “เอ่อ...มากไปแล้วนะรังสรรค์”

วิภาวีรู้สึกเหมือนกำลังถูกอีกฝ่ายจับผิด และหล่อนเองก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับคำต่อว่านั้นแต่ก็ยังต้องการเอาชนะ

            “รอบนี้ผมจะให้ลูกอยู่กับผมจนกว่าจะหาย  หวังว่าคุณคงเข้าใจ”

            ชายหนุ่มวางสายลงโดยไม่สนใจฟังคำทักท้วงจากหญิงสาว

วิภาวีวางสายลงโดยไม่กล้าทักท้วงอะไรเช่นกัน ในใจกำลังครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับลูกชาย โดยฝีมือของผู้พันสินชัยสามีหล่อน

            .....ตารอยฟ้องพ่อหรือเปล่านะ แต่จากที่ได้พูดคุยเมื่อครู่ ไม่มีวี่แววว่ารังสรรค์จะรู้อะไรนอกจากลูกป่วยบ่อย...

            “วิภาวี.. ถ้าเกิดนายรังสรรค์เขารู้เรื่องที่ผมลงโทษลูกเขา คุณคิดว่าเขาจะทำยังไง แล้วคุณจะทำยังไง”  ผู้พันสินชัยลองหยั่งเชิงภรรยา

            “เขาก็คงไม่ยอมให้ลูกมาอยู่กับเราอีก แต่เขาทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกค่ะ เพราะคำสั่งศาล วิต้องเป็นคนดูแลลูกอยู่แล้ว”

            “หึ! ถ้าหากเขายื่นฟ้องศาลขอเอาลูกกลับไปล่ะ คุณจะยอมยังงั้นเหรอ แต่ผมขอบอกก่อนเลยว่าผมไม่ยอม  คุณจะต้องทำให้รอยอยู่กับเราให้ได้”

            “คุณไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ถ้าเขาพูดไม่รู้เรื่อง เขาก็จะไม่มีโอกาสได้ลูกไปอยู่ด้วยอีกเลย  มันเป็นหนทางสุดท้ายที่อาจจะต้องให้เขาเลือก หากมันจำเป็น”

            วิภาวีรู้อยู่แล้วว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าในเรื่องลูก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ลูกจะต้องเป็นสิทธิของเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น  ถ้าหากรังสรรค์ไม่ยอม  เธออาจจะต้องพูดความจริง.... แม้ความจริงนั้นจะทำให้ลูกเจ็บปวดด้วยก็ต้องยอม

 

            รังสรรค์นั่งเฝ้าลูกที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างๆ  มือลูบศีรษะเด็กชายเบาๆ เป็นเวลาเกือบ 4  เดือนแล้วที่รอยถูกแยกจากเขาไป    เวลาเพียงแค่สองวันในหนึ่งสัปดาห์มีค่าสำหรับเขาและลูกมาก แม้กระทั่งเวลานอนทุกวันนี้เด็กชายไม่ยอมกลับไปนอนที่ห้องตัวเองอีกเลย

            “พ่อจ๋า....กอดหน่อย” เสียงพึมพำของหนูน้อยทำให้เขาต้องก้มลงไปสวมกอดร่างเล็กและกระซิบปลอบ

            “รอยครับ พ่อกอดลูกแล้วนะ ไม่หนาวแล้วนะลูก”

            รังสรรค์เชิญครูสมเกียรตินั่งพักที่ห้องรับแขกหลังจากพาขึ้นไปเยี่ยมอาการของรอยซึ่งดีขึ้นมากแต่กำลังหลับอยู่  เนื่องจากเพิ่งทานยาหลังอาหารกลางวันและถูกเขาบังคับให้นอน

            “เชิญครับคุณครู ไหนๆ มาแล้ว ผมอยากฟังธุระสำคัญที่ครูต้องการจะคุยกับผม เอ่อ.. เกี่ยวกับผลการเรียนของรอยหรือเปล่าครับ” 

ชายหนุ่มถามเพราะเห็นสมุดรายงานวางอยู่ตรงหน้าครูสมเกียรติ

            “เอ่อ..ครับ เรื่องที่ผมอยากจะคุยมาจากผลการเรียนของเด็ก ผมอยากให้คุณช่วยดูผลการเรียนของรังสิมันต์ก่อน” 

ครูสมเกียรติส่งรายงานผลการเรียนของรอยให้ชายหนุ่มดู

            รังสรรค์นิ่งอึ้งเมื่อได้เห็นผลการเรียนของลูกตกลงอย่างน่าใจหายเช่นนี้ เขารู้ดีว่าช่วงนี้จิตใจของรอยไม่ปกติ เพราะต้องแยกไปอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่อย่างจำใจ คงเป็นผลให้รอยไม่มีใจให้กับการเรียนเหมือนก่อน  หากผลการเรียนจะต้องตกลงบ้างเขาก็เข้าใจ  แต่ไม่น่าจะตกลงอย่างน่าใจหายแบบนี้

            “เป็นความผิดของผมเองที่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องการเรียนของลูก”

            “ผมคิดว่าปัญหาไม่ได้อยู่ตรงที่คุณไม่ได้ใส่ใจ ขอโทษนะครับ คุณรังสรรค์ ถ้าหากผมจะต้องก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวบ้าง  เพราะผมจำเป็นต้องรู้ปัญหาที่แท้จริงของเด็ก”

            รังสรรค์ยิ้มให้ครูของลูกชายอย่างเข้าใจ เป็นหน้าที่ของครูอยู่แล้วที่จะต้องสอดส่องดูแลความประพฤติตลอดจนปัญหาต่างๆ ซึ่งอาจจะกระทบกับผลการเรียนหรืออุปนิสัยใจคอของเด็ก

            เมื่อผู้เป็นพ่อของลูกศิษย์เข้าใจ ครูสมเกียรติจึงกล่าวต่อ

            “ผมรู้จากรังสิมันต์ว่า ระยะหลังนี้คุณมีเวลาอยู่กับเขาเฉพาะวันเสาร์และอาทิตย์เท่านั้น ส่วนวันธรรมดาเขาต้องพักอยู่กับแม่”

            “ครับ  ผมแยกทางกับแม่ของรอยตามกฎหมายแล้ว เธอจะขอลูกไปอยู่ด้วย แม้ผมจะไม่ยอมแต่ในฐานะที่เธอเป็นแม่  ผลที่ออกมาก็เลยอยู่ในสภาพนี้  ลูกจะอยู่กับผม 2 วันในวันเสาร์อาทิตย์และอยู่กับแม่เขา 5 วัน   ต้องไปๆ มาๆ เป็นเวลาเกือบ 4 เดือนแล้ว หลายเดือนที่ผ่านมาผมยอมรับว่าผมลืมเรื่องการเรียนของลูกไปเสียสนิท ผมไม่โทษแม่เค้า เพราะผมเป็นคนดูแลเรื่องการเรียนของลูกมาตั้งแต่เล็ก   7 ปีที่ผ่านมา… ผมกับลูกไม่เคยจากกันเลย....” 

ชายหนุ่มนิ่งไปเพราะรู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องที่กำลังบอกเล่า

            “เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันเพียงแค่ 2 วันจากที่เคยอยู่ด้วยกันตลอด ทำให้ผมลืมถามไถ่เรื่องการเรียน ผมคอยห่วงแต่สภาพจิตใจของลูก เวลาที่อยู่ด้วยกันผมจะให้รอยทำแต่สิ่งที่เขารักและเล่นสนุก เพื่อให้เขาลืมเรื่องทุกข์ใจที่เกิดขึ้น ไม่เคยได้ให้เขาทบทวนวิชาหรือนั่งอ่านหนังสือเลย   ผมบอกตรงๆ ว่าผมลืมจริงๆ ครับครู”

            “คุณรังสรรค์ ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณ และไม่คิดว่ามันเป็นความผิดของคุณด้วย ต้นเหตุไม่ได้มาจากการที่คุณไม่ได้ใส่ใจหรือลืมเรื่องการเรียนของลูก มันมีอะไรมากกว่านั้น  รังสิมันต์เป็นเด็กฉลาด หัวดี หากเขามีสมาธิในการเรียนไม่ต้องถึงกับตั้งใจ ผลการเรียนของเขาก็จะไม่ตกลงมากขนาดนี้”

            “ครูกำลังหมายถึงเพราะรอยไม่มีสมาธิในการเรียน ผลการเรียนจึงตกลงอย่างนั้นหรือครับ”  ความรู้สึกของชายหนุ่มแย่ลงอีกครั้ง

....ลูกไม่มีสมาธิในการเรียนเพราะคิดถึงพ่อหรือเปล่า จะให้พ่อทำยังไงถึงจะอยู่ใกล้ชิดลูกได้มากกว่านี้….

            “ถ้ารอยไม่มีสมาธิในการเรียนเพราะคิดถึงผม หรือเพราะไม่อยากอยู่บ้านโน้น ผมไม่รู้ว่าจะแก้ไขยัง  คงจะต้องให้เวลาเพื่อให้รอยคุ้นชินกับสภาพที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ”

            “เอ่อ..คุณรังสรรค์ เรื่องบางเรื่องหากเราให้เวลายืดออกไปอีก อาจไม่เป็นผลดี เรื่องที่ผมอยากจะคุยในวันนี้ เป็นเรื่องของสภาพที่ลูกชายคุณกำลังเผชิญอยู่ที่บ้านแม่ ผมจำเป็นต้องแจ้งให้คุณทราบในสิ่งที่ผมได้รับรู้ แม้ผมจะรับปากรังสิมันต์ไว้แล้วว่าให้ช่วยปิดเป็นความลับ แต่ปัญหานี้ผมคิดว่ามันหนักหนาเกินไปแล้วที่เด็ก 7 ขวบจะรับไว้  ไม่มีใครช่วยแกได้นอกจากคุณ” 

            รังสรรค์นั่งนิ่งฟังเรื่องที่ครูของลูกชายบอกเล่า...

แนะนำติชมได้ที่บอร์ดนิยายนะคะ...................
www.clik.to/miracle