ใจแข็งไม่พออย่าเข้ามา lไม่ได้โกหกนะl lปากซอย รัชดาฯl lหัวหายไปไหนl lร่วงหล่นในลิฟต์l lยังไง...ก็ยอมโดนหลอกl lจำได้ว่าเขาตายไปแล้วl lโรงพยาบาลl lสยองขวัญกลางพรรษาl lโรงงานผีl lพวงมาลัยไหมครับl


ไม่ได้โหกนะ
โชคเป็นหนุ่มน้อยที่เพิ่งจบ ม.3 หมาดๆ เป็นธรรมดาที่จะต้องมีการเที่ยวสั่งลา โชคกับเพื่อนๆที่ห้องตกลงใจกันว่าจะชวนกันไปเที่ยวเป็นการสั่งลาชีวิต ม ต้น
แล้วทั้งหมดก็ชวนกันไปชะอำ พอเดินทางไปถึงก็ได้พักที่บ้านพักแห่งหนึ่ง สภาพบ้านไม่ค่อยดีนัก และอยู๋ห่างกับหลังอื่นพอสมควร ประตูหน้าต่างก็เก่สคร่ำคร่า "เหลืออยู่หลังเดียวนี่หว่า ยังไงก็ต้องพักที่นี่แล้ว" โชคบอกเพื่อนอย่างอ่อนใจ คืนแรกผ่านไปโดยที่ไม่มีอะรเกิดขึ้น พลพรรคม.3 เฮฮากันอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งย่างเข้าคืนที่สอง โชคเป็นคนอาสาไปซื้อของที่ ตลาดเพื่อมาทำอาหาร เขากลับมาเมื่อโพล้เพล้มากแล้ว ระหว่างที่เดินเข้าบ้านพักทาง 2 ข้างมืดครึ้ม โชครู้สึกว่ามีใครคนหนึ่งเดินตามมา แต่เมื่อหันกลับไปดูก็ไม่พบอะไร เมื่อมาถึงบ้านโชคก็โยนถุงกับข้าวให้เพื่อนผู้หญิงไปทำ ส่วนตัวเขาเองเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำ เวลานั้นประมาณทุ่มนึง เมื่อเข้าไปในห้องน้ำโชคเห็นเงาคนผ่านหน้าวูบไปทางกระจกห้องน้ำ เขาเริ่มตกใจ.... และเมื่อเปิดประตูออกมา ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ทำให้เขาแทบช็อก มีร่างๆหนึ่งยืนขวางอยู่ ร่างนั้นมีน้ำหนองไหลเยิ้มอยู่ทั่วตัว ดวงตาข้างนึงกลวงโบ๋ถลนออกมานอกเบ้า มันจ้องมองมาที่โชคอย่างถมึงถึง โชคเข่าอ่อนจะก้าวขาวิ่งก็ไม่มีแรง และทันใดนั้นมือข้างหนึ่งของมันก็เอื้อมมาช้า.... "ผี..." โชครวบรวมแรงที่มีอยู่เปล่งเสียงออกมาแทบหมดลำคอ เขาทรุดฮวบลงกับพื้นเพราะความกลัว เพื่อนๆที่อยู่ข้างล่างที่ง่วนอยู่กับการทำครัววิ่งขึ้นมาดูพบว่าโชคสลบไม่ได้สติอยู่หน้าห้องน้ำ "เฮ้ย อ้ายโชคเป็นอะไรวะ" เพื่อนคนนึงร้องอย่างตกใจ ในที่สุดโชคก็ฟื้นขึ้นมา เขาเล่าเรื่องที่พบให้เพื่อนของเขาฟังแต่ไม่มีใครเชื่อเลยสักคน "ผีอะไรวะ หลอกเอ็งคนเดียว หน็อยแน่เดี๋ยวนี้ริอาจโกหกเชียวรึ" เมื่อไม่ใครยอมเชื่อ ทางเดียวที่จะบรรเทาความหวาดกลัวคือโชคไม่ยอมเดินทางห่างจากเพื่อนๆเลย เรียกว่ากันไว้ดีกว่าแก้ คืนนั้นผ่านไปโดยที่เขานอนคลุมโปรงตลอดเวลา โชคหลับๆตื่นๆ จนกระทั่งเช้าที่เป็นวันกลับ ทั้งหมดพากันเก็บของและเดินออกจากบ้าน ...โชคถามตัวเองครั้งว่าเขาตาฝาดไปเองรึเปล่า... "ไงวะ ตกลงเมื่อวานเอ็งจำพวกข้าได้หรือเปล่า" เพื่อนคนนึงสะกิดถาม เมื่อกำลังเดินออกมาพ้นตัวบ้านไม่กี่เมตร โชคยิ้มและหันไปมองบ้านหลังนั้นอีกครั้ง ...เขาสะดุ้งเฮือก พร้อมกับสะกิดให้เพื่อนดู "กูคงโกหกหรอกนะ ดูนั่นสิ" เพื่อนๆหันไปมอง ... แล้วตกตะลึง มีโครงกระดูกยืนโบกมือให้อยู่ที่หน้าต่างงง

ปากซอย รัชดาฯ
น้าจันขับแท็กซี่มาเกือบ 20 ปี ส่วนมากแกจะขับกะกลางวันเพิ่งมาขับกะกลางคืนเมื่อ 3 ปีที่แล้ว
มาวันหนึ่ง เมื่อขับได้ค่าเช่าและมีกำไรนิดหน่อยใกล้กับ โรงงานน้ำอัดลม สายนอกทางวิภาวดี แล้วแกก็ได้ลูกค้าที่ปากซอยปั๊มแก๊สตรงรัชดาฯ แล้วขับออกไปทางลาดพร้าวขาออก ลูกค้าคนนั้นเป็นผู้หญิงวัยประมาณ 20 ปี ใส่ชุดเหมือนชุดคลุมท้องยืนโบกรถอยู่ เมื่อน้าจันขับโฉบเข้าไปรับ หญิงคนนั้นก็บอกว่าให้ไปส่งที่วัดเสมียนนารีหน่อย น้าจันงงเพราะจุดแวะรับนั้นห่างจากวัดเสมียนฯ ประมาณ 500 เมตรเดินแป๊บเดียวก็ถึง แต่หญิงคนนั้นยืนยันจะนั่งรถให้ได้ น้าจันจึงตกลงวิ่งในราคา 10 บาทเพราะเห็นว่าใกล้นิดเดียว เมื่อรถจอดหน้าวัดปรากฏว่า หญิงคนนั้นทำท่าเหมือนเจ็บปวดเหลือเกิน และยังมีเลือดออกเปรอะเปื้อนบริเวณระหว่างขา น้าจันตกใจมากจึงตั้งใจจะไปโรงพยาบาล แต่พอจะเลี้ยวรถกลับผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่าไม่ต้องไปแล้ว แกไม่เป็นไรแล้ว น้าจันหันมาอีกทีก็ตกใจเพราะหยฺงคนนั้นหน้าตาไม่มีสีเลือดอยู่เลย แต่ที่สำคัญคือเลือดที่เห็นอยู่เมื่อครู่ไม่มีร่องรอยเหลือแม้แต่สักนิด "ขอบใจนะ" หญิงคนนั้นหันมาบอกก่อนที่จะเปิดประตูแล้วเดินหายไปต่อหน้าต่อตา พอน้าจันตั้งสติขึ้นได้ก็ขับรถออกไปทันที และในวันรุ่งขึ้นแกก็สมัครใจจะกลับมาขับแท็กซี่กะกลางวันตามเดิม...

หัวหายไปไหน
เรื่องก็มีอยู่ว่า ยายคำแกมีลูก 6 คนวันหนึ่งแกกำลังกินข้าวเย็นกับลูกๆ พอกินข้าวเรียบร้อย แกก็อุ้มลูกคนสุดท้องออกมานอกชานบ้านแล้วก็เจอญาติ แกคนนึงซึ่งเป็นคนบ้า กำลังลับมีดอยู่ ไม่ค่อยมีใครสนใจญาตฺคนนี้ พอยายคำตะโกนถามว่าลับมีดไปทำไม ญาติของแกก็ไม่ตอบ มีแต่ก้มหน้าลับต่ออย่างเดียว พอไม่เท่าไหร่ยายคำก็กรีดร้องลั่น เพราะญาติของแกเงื้อมีดฟันแกอุตลุด ด้วยความเป็นห่วงลูกๆ แกจึงวิ่งไปจับประตูกั้นซึ่งทำด้วยไม้ไผ่ ด้วยแรงฟันของญาติคนนั้นทำให้มือของยายคำที่จับประตูขาดเหวอะหวะ สุดท้ายแกก็โดนฟันคอขาด กลิ้งไปคนละทาง ส่วนลูกชายที่แกอุ้มนั้นไส้ทะลักออกมาลูกตากระเด็น ลูกของแกอีก 3 คนก็โดนญาติคนนั้นฟันจนตายภายในบ้านจึงเหลือรอดเพียง 2 คนส่วนชาวบ้านได้ยินเสียงทีแรก ก็ไม่มีใครกล้าลงมาดู พอสิ้นเสียงร้องจึงมีคนมาดูก็เห็นศพยายคำหัวขาด ญาติคนนั้นจึงถูกล่ามโซ่ไว้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ขึ้นทำให้ชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านไม่กล้าลงบ้านตอนกลางคืน บรรยากาศเงียบเย็นไปทั้งหมู่บ้าน พอรุ่งขึ้นวันใหม่ชาวบ้านและญาติๆก็พากันเอาศพไปฝัง เพราะเป็นผีตายโหง คืนแรกก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอคืนที่สองตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ ในขณะนั้นเป็นเวลาพระและเณรทำวัตรเสร็จเรียบร้อย พระและเณรก็ต่างแยกย้ายกันไปจำวัดบ้าง ท่องหนังสือบ้าง เวลาผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงพระรูปที่ท่องหนังสือก็ได้ยินเสียงหมาหอนและเสียงคนร้องไห้ ทีแรกก็สงสัยว่าใครมาร้องไห้ตอนดึกดื่นอย่างนี้ เลยไปปลุกพระด้วยกันออกมาดู เสียงนั้น ยิ่งดังขึ้น ดังขึ้น พระประมาณ 7-8 รูปก็ตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงนั้นทั้งหมด พอเสียงร้องไห้ผ่านไป ก็มีเสียงหว่านข้าวแห้งที่พระตากไว้บนหลังคากุฏิ พระเจ้าอาวาสท่านไม่ค่อยกลัวผีเท่าไร จึงออกมาดูที่นอกกุฏิ พบร่างผู้หญิงใส่ชุดดำหัวขาด มือข้างนึงอุ้มลูก อีกข้างนึงจับหัวที่ขาด พอเจ้าอาวาสกลับมาข้างในกุฏิก็ได้ยินเสียงร่อนจานสังกะสีที่พระฉันข้าว ขึ้นต้นมะขาม ขึ้นหลังคากุฏิบ้าง เจ้าอาวาสท่านเลยนั่งวิปัสนาแผ่เมตตาจิตไปให้ เสียงนั้นเลยสงบลง ใครชอบเลี้ยงคนบ้าไว้ในบ้าน ระวังนะ จะเป็นแบบผียายคำ เหอ เหอ

ร่วงหล่นในลิฟต์

ลอร์ดดัฟเฟอริน เป็นเอกอัครราชทูตของอังกฤษ ครั้งหนึ่งขณะที่ท่านกำลังพักผ่อนอยู่กับครอบครัว ในบ้านที่ไอซ์แลนด์ พอตกดึก ท่านก็มองเห็นชายคนนึงเดินผ่านออกจากหน้าต่างบ้านด้วยหน้าตาประหลาด คือแบกโลงศพใส่หลังมาด้วย ท่านลอร์ดสงสัยจึงเดินออกไปชะโงกหน้าถามว่า ทำไมจึงต้องแบกโลงศพเดินผ่านมาอย่างนี้ ชายคนนั้นไม่ตอบหากแต่เงยหน้าขึ้นมา ลอร์ดดัฟเฟอรินถึงกับผงะ เมื่อเห็นดวงหน้านั้น มันน่ากลัวเหลือเกิน เหมือนกับไม่ใช่ใบหน้าของคน และที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ ร่างนั้นค่อยๆหายไปต่อหน้าต่อตา 3เดือนต่อมา ท่านลอร์ดได้เดินทางไปรับหน้าที่เอกอัครราชทูต ประจำกรุงปารีศ ประเทศฝรั่งเศส และในเวลาเย็นของวันหนึ่งท่านได้ถูกเชิญไปร่วมงานเลี้ยงรับรองที่แกรนด์โฮเต็ล ในปารีส และต้องขึ้นลิฟต์ไปกับแขกผู้มีเกียรติอีกหลายคน เมื่อประตูเปิดออกใครๆต่างก็ก้าวเข้าไป ท่านลอร์ดเป็นคนสุดท้ายที่กำลังจะก้าวเข้าไปในลิฟต์ และท่านก็ต้องชะงักเมื่อพบว่า พนักงานประจำลฟต์คนนั้น หน้าตาเหมือนกับคนแบกโลงศพเมื่อ 3เดือนที่แล้วไม่มีผิดเพี้ยน ร่างนั้นแสยะยิ้มอย่างน่าสยดสยอง ท่านลอร์ดสั่นศรีษะเมื่อใครคนหนึ่งร้องเรียกท่านให้เข้าไปในลิฟต์ และเมื่อเห็นท่านลอร์ดไม่ก้าวเข้ามา พนักงานประจำลิฟต์คนนั้นก้กดปุ่มให้ลิฟต์ปิด และลิฟต์ตัวนั้นก็ลอยละลิ่วกระแทกพื้นลงสู่เบื้องล่างทันที....ทุกชีวิตที่อยู่ในนั้นไม่มีใครรอดตายเลยแม้แต่คนเดียว

ยังไง...ก็ยอมโดนหลอก
ปิดเทอมปลายภาคคราวนี้ โจ้นอนเล่ยอยู่บ้านดีๆก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น "ไอ้โจ้เหรอ นี่บอยพูดนะ" เสียงเพื่อนซี้ส่งมาตามสาย "ทำไมวะ" ถ้าไม่จำเป็นจริงๆหมอนี่จะไม่เคยโทรมา "พรุ่งนี้ไปเที่ยวบ้านข้าที่พิษณุโลกไหม ข้าจะกลับบ้านพอดี" บอยเอ่ยปากชวนเพื่อน "เออไปสิ อยู่ว่างๆยิ่งเบื่อๆอยู่" โจ้ตอบโดยไม่เสียเวลาคิด ลูกผู้ชายจะกลัวอะไร แล้ววันรุ่งขึ้นทั้งสองคนก็มุ่งหน้าไปพิษณุโลก เมื่อถึงที่หมายบอยทำหน้าที่เป็นเจ้าของบ้านที่ดี พาเพื่อนเที่ยวอย่างสนุกสนาน จนเวลาล่วงเข้าวันที่สาม คืนหนึ่งบอยพาโจ้ไปตั้งวงก๊งเหล้าที่บ้านเพื่อนเก่สซึ่งอยู่หมู่บ้านถัดไป เฮฮากันจนย่างเข้าตีสอง โจ้สะกิดให้บอยขอตัวกลับเพราะพรุ่งนี้จะต้องกลับ กทม. แล้ว "จะรีบไปไหนกัน ค้างที่นี่เถอะ กลับตอนนี้เดี๋ยวผีหลอกนะโว้ย" เพื่อนของบอยทักท้วงเพราะไม่อยากให้กลับ "ไม่ได้หรอก ต้องกลับแล้ว ผีไม่กลัวหรอกว่ะ กลัวคนมากกว่า" โจ้บอกยิ้มๆ "เอ้อ...รีบกลับนัก จะแช่งให้เจอผีหลอกซะให้เข็ด" เพื่อนของบอยย้ำอีกที "ให้มันจริงละกัน" โจ้บอกก่อนที่จะคว้าคอบอยออกจากวงเหล้า ท่ามกลางความเงียบสงัดรอบด้วยเต็มไปด้วยทุ่งนา แสงดาวจากฟ้าส่งประกายระยิบระยับ แทบไม่มีรถสวนมาสักคัน เป็นความเงียบที่หน้าวังเวงเหลือเกิน ความเงียบทำให้บอยกับโจ้เงียบตามไปด้วย โจ้ภาาวนาให้ถึงบ้านเร็วๆ และเมื่อใกล้จะถึงทางแยกเสียงบอยก็ร้องออกมา "เฮ้ย เอ็งดูนั่นสิ" "อะไรวะ" โจ้มองตามมือบอยที่ชี้ไปข้างหน้า มีผู้หญิงคนนึงยืนอยู่ใกล้กับทางแยก...เหมือนกับว่าเธอรออะไรบางอย่าง "พวกนางนกต่อหรือเปล่าวะ" "จะบ้าเรอะ เขาจะมาเป็นนกบ้านกบออะไรอยู่ที่ พิษณุโลก นี่มันตีสามนะโว้ย ถ้าสามทุ่มก็ว่าไปอย่าง" บอยท้วง บอยขี่รถมุ่งตรงไปข้างหน้าหาผู้หญิงคนที่ยืนอยู่ เมื่อเห็นว่าใกล้จนพูดได้ยินแล้วบอยจึงจอดรถถามออกไปว่า "ทำไมมายืนอย่างนี้ล่ะครับ อันตราย" "รอรถรับจ้างค่ะ" เธอตอบ ร่างนั้นนุ่งผ้าถุงแบบคนพื้นบ้าน อายุคงไม่เกิน 23 ปี ใบหน้าจัดว่าพาไปวัดตอนบ่ายๆได้ เมื่อสอบทางก็ได้รู้ว่าเธอจะกลับทางเดียวกับทางที่โจ้และบอยจะไป คราวนี้ทั้งสองคนก็ได้เพื่อนร่วมเดินทางเพิ่มอีก1คน สาวคนนั้นซ้อนหลังต่อจากโจ้อีกที เล่นเอาหนุ่มแท้ๆ อย่างโจ้อดกระชุ่มกระชวยหัวใจไม่ได้ แต่ตลอดทางที่กลับ โจ้อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ว่าทำไมเสียงหมาจึงหอนไม่หยุด และแล้วอยู่ดีๆรถก็เกิดดับขึ้นมาเฉยๆ กลิ่นเหม็นเน่าโชยมาเข้าจมูก "เฮ้ย...รถเป็นอะไรวะ" บอยจอดแอบข้างทางและหันไปถามโจ้ "สงสัยหัวเทียนบอดมั้ง อ้อ...คุณไม่ต้องตกใจนะ" โจ้หันไปพูดกลับหญิงสาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แต่แล้วก็ร้องลั่น "เฮ้ย.." หญิงสาวหน้าตาดีที่ซ้อนท้ายเขาอยู่เมื่อกี้กลายเป็นร่างเน่าเฟะ น้ำหนองไหลเยิ้ม ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว โจ้กระโดดเข้ากอดเอวบอยทันที "ผี..ผีโว้ย" บอยตะโกนด้วยความตกใจ วิ่งหนีแทบสุดชีวิต กว่าจะกลับถึงบ้านก็เล่นเอาทั้งคู่หอบแฮกนอนคลุมโปงทั้งคืน รุ่งเช้าโจ้เก็บข้าวของทันที ก่อนขึ้นรถบอยมากระซิบให้เพื่อนเขาฟังว่าผีตัวที่เจอเมื่อคืนนั้นโดนข่มขืนและฆ่าเมื่อหลายเดือนก่อน และคอยวนเวียนหลอกผู้ชายที่ผ่านไปแถวนั้นเป็นประจำ ... โจ้นั่งรถทัวร์กลับบ้านพร้อมคิดว่า เขากลับไปให้ผู้หญิงที่ กรุงเทพฯ หลอกสัก10ครั้งยังดีกว่าถูกผีที่พิษณุโลกหลอกครั้งเดียว...

จำได้ว่าเขาตายไปแล้ว
เรื่องนี้ผมจะเล่าเกี่ยวกับเรื่องที่ผมไปเจอนั้นเป็นเพื่อนผมเอง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่สถาบันของผมเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผมกำลังศึกษาอยู่ชั้นปี 3 ผมก็พักอยู่ที่หอสถาบัน ผมก็มีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนที่ผมสนิทมาก แต่แล้วเมื่อ 3 เดือนก่อน ก็เกิดเหตูการณืที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นคือ เพื่อนผมถูกรถชนเสียชีวิตทันที ผมเสียใจมากกับการที่ต้องเสียเพื่อนรักไป ผมไปช่วยงานศพเพื่อนทั้ง 3 วัน วึ่งก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นคืนสุดท้ายของงาน อากาศก็ปกติไม่ครึ้มฟ้าครึ้มฝน แต่ทันใดนั้น! ไฟที่ศาลาที่ตั้งศพก็ดับพรึบลงทันที โดยที่ไฟบริเวณวัดส่วนอื่นไม่มีดับเลยแต่ผมก็ไม่คิดอะไร เมื่อเสร็จงานแล้วผมผมก็ลาพ่อเพื่อนกลับ ผมก็นั่งรถกลับสิครับ กลิ่นอะไรไม่รู้ตลบอบอวลใช่ว่ามันจะหอมนะครับ กลิ่นมันเหม็นสาบมากมันลอยมาติดจมูกผม มันทำให้ผมรู้ทันทีว่า ใช่แล้ว ใช่เลย ผมก็พยายามทำใจแข็งคิดว่าเพื่อนคงเป็นห่วงเราเลยตามมาส่ง ผมก็เลยพูดขึ้นว่า "ไม่เป็นไรเพื่อนไม่ต้องมาส่งหรอก เรากลับเองได้ไม่ต้องห่วงเราหรอกนะ" แค่นั้นแหละครับกลิ่นก็หายไป...... แต่พอได้อีกประมาณเดือนได้ ผมจำได้ว่าตอนนั้นราวๆ3ทุ่ม ผมขี่จักรยานจะไปซื้อข้าวมาทานที่หอ ก็ขี่จักรยานไปเรื่อยๆลมเย็นสบายๆ ผมก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งขี่จักรยานมาแต่ไกลยิ้มมาตลอดทางเห็นฟันขาวๆของเขาได้เลยแหละครับ เขาขี่จักรยายเข้ามาใกล้เรื่อยๆเขาก็ยังยิ้มอยู่ จนเขาขี่สวนผม ผมก็เห็นหน้าเขาอย่างจัง มันบอกไม่ถูกกับอาการตอนนั้นว่ามันรู้สึกเหมือนขนหัวลุก ขนทุกส่วนในร่างกายมันพร้อมลุกกันอย่างสามัคคี ก็หน้าที่ผมเห็นั้นหน่ะ มันเป็นหน้าที่คุ้นมาก คุ้นจนผมบอกได้เลยว่ามันเป็นคนที่ผมรู้จักแน่นอน ก็คนที่ผมเห็นมันเป็นเพื่อนสนิทของผมเอง แต่มันจะไม่น่าแปลกเลยนะครับ ถ้าเพ่อนผมคนนั้นยังอยู่บนโลกนี้ ผมจำได้ว่าเพื่อนคนนั้นเขาตายไปแล้ว ผมเสียวหลังเลยครับก็เลยหันแข็งใจหันกลับไปมอง แต่ผลออกมาคือ ผมมองไม่เห็นอะไรเลย มันมีแต่ความว่างเปล่าให้ผมเห็นครับ เท่านั้นแหละผมก็ปั่นจักรยานแบบไม่คิดชีวิต และคืนนั้นผมก้ไม่กลับไปนอนที่หอพักอีกเลย

โรงพยาบาล
เรื่องสยองขวัญที่จะเล่าต่อไปนี้เกิดขึ้นกับยายผมเอง เรื่องนี้เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ขอเอ่ยชื่อ ตอนที่ยายป่วยนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ตอนที่เกิดเรื่องเป็นตอนกลางคืน ซึ่งผมไปเฝ้ายายพอดี แต่ผมก็กลับบ้านก่อนที่จะเห็นเหตุการณ์ในคืนนั้น หลังจากที่ทุกคนกลับบ้านแล้วยายของผมกำลังจะนอน ก็เหลือบไปเห็นร่างๆหนึ่งของผู้ชายวัยกลางคน ที่มีใบหน้าอันซีดเซียว ดูเหมือนว่าไม่มีเลือดอยู่ในใบหน้านั้นเลย นอกจากนั้นเขายังแสยะยิ้มให้ยายผมด้วย ยายบอกว่าเขาดูน่ากลัวมาก ในคืนนั้นยายไม่ได้นอนเลยเพราะชายคนนั้นมากวนทั้งคืน จนมาถึงตอนเช้ายายก็เล่าให้น้าฟัง น้าของผมที่นอนเฝ้ายายอยู่ก็ไปถามพยาบาลว่ารู้จักชายที่มีหน้าตาตามที่ยายบอกหรือเปล่า ซึ่งก็พอมีคนที่รู้จัก เขาบอกว่า "ชายวัยกลางคนๆนั้นเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อเดือนที่แล้ว สาเหตุที่เสียชีวิตคือ เป็นลมในห้องน้ำแล้วหัวก็ไปฟาดกับพื้นห้องน้ำอย่างรุนแรง เลือดไหลนองเต็มห้องน้ำ กว่าจะมีคนเห็นก็เช้าแล้ว"

สยองขวัญกลางพรรษา
เมื่อปี 2523 ผมได้บวชเป็นพระอยู่แถวชนบท ผมเกิดที่นี่พ่อแม่มีอาชีพค้าขาย ในปีนี้พ่อของผมได้ให้บวชเพื่อทดแทนบุญคุณท่าน โดยปกติผมเป็นคนไม่ค่อยกลัวผี พ่อแม่เลยนำผมมาบวชวัดนี้ เมื่อบวชเป็นพระเรียบร้อยแล้ว ท่านเจ้าอาวาสจัดให้ผมอยู่กุฏิหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากป่าช้า บริเวณกุฏิไม่กว้างเท่าไร ตัวกุฏิเป็นชั้นเดียว บริเวณกุฏิดูร่มรื่นชวนให้บำเพ็ญเพียรภาวนา แต่ความร่มรื่นนี้แฝงไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว เมื่อผมได้เข้าไปอยู่ในกุฏิหลังที่ว่าแล้ว วันหนึ่งประมาณ4-5โมงเย็น ผมก็ปัดกวาดลานวัดตามปกติ เมื่อเสร็จบรรดาพระเณรก็ไปรวมตัวกันอยู่ที่ศาลาใหญ่เพื่อที่จะดื่มน้ำชา ประมาณ6โมงครึ่ง ต่างก็แยกย้ายเข้ากุฏิ ผมเดินกลับกุฏิหลังพระภิกษุด้วยกันเพราะกุฏิผมอยู่ใกล้ศาลา เมื่อถึงกุฏิก็อาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อย เมื่อเสร็จก็ขึ้นกุฏิ ทำวัตรสวดมนต์ นั่งสมาธิ พอประมาณ4ทุ่มครึ่งก็เข้านอนพอเคลื้มจะหลับก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะผมได้ยินเสียงร้องไห้ของหญิงสาวมาร้องไห้ที่ใต้กุฏิที่ผมนอน พร้อมบนหลังคาก็มีเสียงเหมือนคนโยนก้อนกรวดขึ้นไปมากมาย เสียงดังในยามนี้ทำให้ผมลุกขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ตัวก็รู้ว่าตัวเองขนลุกซู่ ถึงเวลานี้ก็รู้ว่าโดนผีเล่นงานแน่แต่ก็อยากรู้ว่าผีเป็นอย่างไร ผมเลยลุกขึ้นเปิดไฟสว่างทั่วกุฏิ ฉับพลันทุกอย่างก็เงียบลงไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้นเลย ผมจึงเปิดประตูออกไปดูแต่พบกับความว่างเปล่า คืนนั้นทั้งคืนผมไม่ได้นอน รุ่งขึ้นผมก็ทำทุกอย่างตามปกติ แต่ก็ไม่ได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ใครฟัง พอตกดึกผมก็ได้ยินเสียงอย่างเมื่อคืนอีก แต่มีเสียงคนเดินอยู่หน้ากุฏิเพิ่มเข้ามาด้วย ทำให้ผมใจคอไม่สู้ดีนัก ผมลุกขึ้นนั่งฟังอยู่นาน ก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูและเปิดเข้ามา ภาพที่ผมเห็นคือ ภาพซากศพเน่าเฟะกำลังเดินเข้ามา ผมจึงนั่งบริยาเรียบร้อย ผมก็ลาสิกขาบทออกมาและผมก้ไม่ไปที่วัดนั้นอีกเลย

โรงงานผี
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายที่แล้ว เมื่อเดือนมิถุนายน 2541 เราได้รวมกลุ่มกับเพื่อๆอีก7คน ว่าจะไปเที่ยวกัน เวลาตี2โดยประมาณ พวกเราตกลงกันว่าจะไปที่ที่แห่งหนึ่งคือ โรงงานปากกาที่อยู่ใกล้ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ซึ่งได้ถูกแก๊สระเบิด มีคนตายมาก พวกเราก็เลยลองไปค้นหาความน่าสะพรึงกลัวกัน และเราก็รู้ว่าที่นั่นไม่เหมาะสมกับพวกเราเลย บรรยากาศน่ากลัวมาก กลิ่นเหม็นตลบอบอวลไปทั่ว สักพักพวกเราก็ได้กลิ่นธูปลอยผ่านมา มีซากแมวและซากหมาตาย น่ากลัวมากแต่ก็ยังมีคนไปพิสูจน์สิ่งที่อยู่ในนั้นพวกเราก็ด้วย พวกเราได้เดินเข้าไปในนั้นมันมืดและน่ากลัว มีเศษปากกาหล่นมากมาย และเราก็ได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดยาวสีขาว เดินผ่านเราและเข้าไปในในห้องๆหนึ่ง เรากะชวนเธอมาเดินด้วยกันเพราะเราเห็นว่าเธอเดินมาคนเดียว พวกเราได้ตามผู้หญิงคนนั้นขึ้นไปแต่เราก็ไม่มพบผู้หญิงคนนั้นเลย เราเลยคิดว่าเราตาฝาด แต่สักพักเราก็เห็นเธออีก เธอหันมามองพวกเราและกวักมีเรียกเรา แต่เธอเดินผ่านกำแพงนั้นไป เราเลยคิดว่า "ผี" แน่นอนต่างคนต่างวิ่งและไม่เคยกลับไปที่นั่นอีกเลย... ตอนนี้ที่นั่นได้กั้นรั้วปิดตายไม่ให้ใครเข้าไปอีก แต่ถ้าเพื่อนๆอยากลองเราคิดว่า ที่นั่นยังคงต้อนรับเพื่อนๆเสมอ..

พวงมาลัยไหมครับ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานมากๆๆแล้ว เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นการเผยประสบการณ์สยองครั้งแรกในชีวิตของเรา ครั้งนั้นเราเพิ่งจะเรียนจบประถม 6 มาใหม่ๆ แล้ววันนั้นเราก็ไปสมัครเรียน ม.1 ครั้นเสร็จแล้วที่บ้านก็บอกเราว่า วันนี้เราต้องไปขอนแก่นกับอาผู้ชาย เพื่อไปเยี่ยมญาติๆของอาสะใภ้นั่นเอง คืนนั้นเราก็เก็บเสื้อผ้าโยนใส่รถไปกับอาผู้ชาย 2 คน เพราะอาสะใภ้ไปรอที่บ้านเขาก่อนแล้ว ตอนนั้นก็เป็นเวลาเกือบๆ 2 ทุ่ม เราก็ขับรถกันไปเรื่อยๆโดยเรานั่งหน้าคู่กับอาผู้ชาย พอมาถึงสี่แยกใหญ่ๆแยกนึง หลังจากที่เราออกจาก กทม วิ่งไปตามถนนสายเก่านั้น ที่แยกนั้นเป็นสี่แยกกว้างๆตามประสาสี่แยกไป ตจว. ถนนนั้นดูวังเวงพิลึก และแล้วเราก็เห็นเด็กปผู้ชายคนนึงเดินขายพวงมาลัยอยู่คนเดียว เรากับอาก็ไม่คิดอะไร ตอนนั้นก็ยังคุยกันสนุกสนานอยู่ พอเราหันไปเราก็สะดุ้งเพราะเด็กผู้ชายยืนชิดกระจกมากๆ แล้วถามว่า .....พวงมาลัยไหมครับ พวงงงมาลัย เราเลยหันไปถามอาว่าจะเอาไหม อาบอกว่าเราเค้าไม่ชอบแขวนพวงมาลัย เราเลยหันไปบอกเด็กคนนั้นว่า "ไม่เอาค่ะ" เราก็ไม่สนใจ แต่เด็กคนนั้นพยายามตื้อให้ซื้อให้ได้ "พวงมาลัยครับ พวงมาลัย พวงมาลัยครับพวงมาลัย" จนกระทั่งไฟเขียวอาเราก็ขับรถออกไป เด็กคนนั้นก็พยายามที่จะวิ่งตามรถเพื่อจะขายพวงมาลัยอยู่นั่นแหละ เราก็ชักรำคาญ รถก็แล่นเร็วขึ้น เด็กคนนั้นก็ตื้ออยู่ได้ เราเลยกดกระจกรถลง ยื่นหน้าไปตะคอกเด็กว่า "ไม่เอา บอกว่าไม่เอา ไม่เข้าใจหรือไง" แล้วเราก็กำลังจะกดกระจกขึ้นอาเราก็ร้องว่า "เฮ้ย !!" เสียงดังมาก เราเลยถามว่ามีอะไร อาเค้าก็บอกให้เรารีบๆปิดกระจก แล้วเค้าก็ชี้ให้ดูที่เข็มไมล์รถปรากฏว่า รถวิ่งอยู่ 100 แล้วทำไมเด็กคนนั้นยังวิ่งตามได้ เราก็เลยเข้าใจว่า ผี !!! ตอนนั้นเรากลัวมาก พยายามที่จะปิดกระจกรถ แต่ก็ตกใจที่มือขาวๆเล็กๆ นั่นยื่นพวงมาลัยเข้ามาในรถ เราก็ตกใจ กระจกระเจิกไม่ปิดมันล่ะ ส่วนอาก็รีบเหยียบคันเร่งหนี 120 แล้วเด็กผีนั่นก็ยังวิ่งตามมาอีก เราก็กระเถิบไปนั่งชิดฝั่งคนขับ มองไปที่หน้ากระจก รถเกือบถึงทางโค้งหล่ะ เด็กนั่นก็ยังตามมาอยู่ เรากับอาต่างคนก็คิดว่า ถ้าเกิดขับเร็วอย่างนี้รถก็ต้องแหกโค้งแน่ๆ อาเราก็เลยตัดสินใจเป็นไงเป็นกัน ชะลอความเร็วรถลง เด็กนั่นก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา หน้านั่นเป็นสีซีดๆไม่มีสีเลือด แล้วเค้าก็โยนพลงมาลัยเข้ามาที่หน้ากระจก แล้วเค้าก็ค่อยๆหายไปเมื่อมันพ้นทางโค้ง พอพ้นเหตุการณ์นั้นมาได้สักพัก เราก็เจอปั๊มน้ำมัน อาเราเค้าขับต่อไปไม่ไหวแล้ว พวงมาลัยที่เด็กนั่นโยนมาก็กลายเป็นเศษๆเล็ก เศษเชือกเก่าๆ หลังจากนั้นเราก็แวะพัก ดื่มกาแฟที่ปั๊มน้ำมัน สังเกตุได้ว่าที่ปั๊มนั้นเราเจอรถบรรทุก และรถกระบะ อากับเราก็เดินเลยเข้าไปดู ประมาณว่าจะหาเพื่อนร่วมทาง ถามว่าเขาจะไปไหนจะขอขับรถตามกันไป เผื่อเจอเหตุการณ์นั้นอีกจะได้ช่วยกัน พอไปถึงพวกคนที่ขับรถกระบะนั่งหน้าซีดเชียว เราก็ถามว่าเป็นอะไร เค้าตอบว่าเค้าเพิ่งเจอบังคับซื้อพวงมาลัยมา ทางรถบรรทุกก็ด้วย เราทั้งหมดเลยเดินไปสอบถามเรื่องราวจากเด็กปั๊ม เด็กปั๊มเล่าว่า เมื่อไม่นานมานี้มีเด็กชายคนหนึ่งอาศัยอยู่กับยายแก่ๆซึ่งมีอาชีพขายพวงมาลัย ต่อมายายเขาก็ล้มป่วยลง เด็กชายจึงเดินขายพวงมาลัยเพียงคนเดียว เพื่อเอาเงินไปเลี้ยงดูยาย แต่คืนหนึ่งเด็กคนนั้นก็ถูกรถที่ฝ่าไฟแดงมาชนตายคาที่ เด็กปั๊มยังเล่าต่ออีกว่าที่วิญญาณเด็กออกมาขายพวงมาลัยก็เพราะห่วงยาย ที่นอนป่วยอยู่ รถคันไหนที่ซื้อพวงมาลัย เรื่องก็จะจบลงแค่เมื่อเลยหัวโค้ง พวงมาลัยที่ได้มาก็จะกลายเป็นเศษพวงมาลัยเก่าๆ แต่สำหรับรถที่ไม่ซื้อพวงมาลัยเด็กนั่นจะโกรธแค้น แล้วจะไล่ตาม จนเกิดอุบัติเหตุแหกโค้ง เรากํบอาได้ยินดังนั้นก็มองหน้ากัน ว่าโชคดี ที่อาตัดสินใจชะลอความเร็ว เด็กปั๊มเล่าต่อว่า บางครั้งพวกเขาอยู่ที่ปั๊มนี้ยังเห็นเด็กชายคนนั้นเดินมาขายพวงมาลัยที่ใกลๆทางเข้าปั๊ม สุดท้ายเค้าเล่าว่า ยายคนที่ป่วย เมื่อไม่มีเด็กมาดูแล ยายแกก็นอนตายอยู่ที่บ้านเก่าของแกนั่นแหละ จบแล้ว ระวังนะ ระวังจะเจอเด็กขายพวงมาลัยคนนี้ เหอ เหอ เหอ

เอาเรื่องผีไปแค่นี้ก่อนละกันนะค่ะ เดี๋ยวนางฟ้าจะหัวใจวายซะก่อน ใครมีเรื่องผีที่คิดว่าเด็ดๆส่งมาได้ นะค่ะ