Love is to forgive , not to forget


***** Love is to forgive, not to forget ******   นี่คือคำพูดที่พระเอก Woody Harrelson พูดกับนางเอก Demi Moore   ในหนังเรื่อง Indecent proposal ซึ่งเป็นคำพูดที่ประทับใจผมจนถึงทุกวันนี้   และผมจะนึกถึงทุกครั้งเวลาที่ผมมีปัญหาทะเลาะกับภรรยา มันทำให้ผมยอมง้อเธอก่อนเสมอ ไม่ว่าเธอจะถูกหรือผิด ผมคิดว่าในเมื่อคนเราอยู่ด้วยกันแล้ว ก็ควรจะยอมรับและยอมให้อภัยกันได้ในทุกๆเรื่อง (ย้ำ)...... ขออนุญาติcopyข้อความของคุณ008มาให้คนที่ยังไม่ได้อ่าน ลองอ่านดูนะครับ มันให้ความรู้สึกที่ดีมาก สำหรับผมการถูกทำร้ายความไว้เนื้อเชื่อใจมันเจ็บปวดขนาดไหน   ผมเคยประสบมากับตัวเองเลยเต็มๆ กับภรรยาคนปัจจุบันของผมเนี่ยแหล่ะ   หนักกว่าคุณนัก ผมก็เคยถามเธอนะครับว่าเธอเคยผ่านผู้ชายมาหรือเปล่าเป็นการถามเล่นๆ   ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะผมไม่ถือเรื่องนี้หรอกผมโตเเมืองนอกครับเลยถือเป็นธรรมดา   ที่ถามก็เพราะอยากรู้ว่าหญิงไทยยังคงเป็นแบบสมัยก่อนหรือสมัยใหม่   เธอก็ตอบตามตรงว่าเคย และถามว่าผมจะยังรักเธอไหม   ผมก็หัวเราะและตอบว่ามันเกี่ยวกับรักด้วย เรอะรักก็รักเหมือนเดิมสิ ไม่เห็นแปลกเลย   ถามเล่นๆ อย่าไปซีเรียสน่า
แล้วเราก็แต่งงานกัน 2 ปีผ่านมา   ผมก็ได้พบความจริงบางอย่างที่ทำให้ผมถึงกับต้องลาออกจากงานและไปบวชเลย   เธอเคยทำแท้งครับ ผมเพิ่งทราบจริงๆ เธอไม่เคยบอกเลย ผมก็ไม่เคยติดใจสงสัยอะไร   แม้เธอจะไม่ได้โกหกผมเหมือนอย่างที่แฟนคุณโกหก   และเธอปิดบังผมที่ผมรู้เพราะมีครั้งหนึ่งที่ผมดีใจนึกว่าเธอท้องเลยพาไปตรวจครรภ์   หมอก็คุยเรื่อยเปื่อยว่าอ๋อยังไม่ท้องหรอก อย่างนั้นอย่างนี้ และมีประโยคหนึ่งที่ผมสะดุดคือหมอพูดว่า   "ดีแล้วครับที่สงสัยว่าจะท้องแล้วรีบพามาตรวจ เพราะมดลูกที่เคยผ่านการบำบัดพิเศษมาแล้ว   หากท้องอีก อาจเป็นอันตรายเพราะเสี่ยงกับทั้งแม่และเด็กมากๆ ยังไงถ้าท้องก็รีบพามาตรวจนะครับ   รับรองว่าหมอจะดูแลเป็นพิเศษเลย ไม่ต้องกังวลนะครับ   เพราะหากแม่และเด็กได้รับการดูแลภายใต้แพทย์อย่างสม่ำเสมอ ก็จะไม่มีปัญหาครับ"   (หมอท่านนี้ไม่ทราบอะไรมาก่อนครับเพราะพึ่งมาตรวจกันครั้งแรกตามคำแนะนำผู้ใหญ่   หมออาจจะเดาเอาว่าผนรู้แล้ว) ผมก็งงๆ ทีแรกนึกว่าเธออาจเคยประสบอุบัติเหตุกระเทือนต่อมดลูก   หรืออาจเคยเป็นเนื้องอกแล้วผ่าตัดมา ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากก็เลยถามภรรยาระหว่างขับรถกลับบ้าน   แต่เธอตกใจทันทีและร้องไห้ออกมาขอโทษขอโพยที่ปิดบังมาตลอดและเล่าเรื่องทั้งหมด   (เธอคงนึกว่าผมรู้แล้วและมาถามเอาเรื่อง)     ผมก็อึ้งเลยครับ 2 ปีที่ผ่านมานี่ผมเป็นควายหรืออย่างไร   นี่มันเกิดอะไรขึ้น เธอบอกว่าสมัยเรียนเมืองนอกเธอเคยมีเพื่อชายชาวญี่ปุ่นและอยู่ด้วยกัน   (ซึ่งอันนี้ผมรู้แล้วและไม่ถือครับ) ต่อมาก็ห่างๆ กันไปเธอมารู้ตัวว่าท้องก็หลังจากเพื่อนชายคนนั้นกลับประเทศไปแล้ว   เธอไม่รู้จะทำอย่างไรจึงขอ Drop เรียน และย้ายเมืองเพื่อไม่ให้ใครรู้และไปทำแท้งที่ต่างเมือง   แล้วจึงกลับมาเรียนต่อ คนรอบข้างก็ไม่มีใครสงสัยเพราะเธอบอกว่าย้ายไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อ ประกอบ Thesis จะมีก็แต่ครอบครัวเท่านั้นที่รู้เพราะแม่บินตามมาเฝ้าพยาบาลเธอด้วย       กลับมาถึงบ้านเธอก็ร้องไห้อ้อนวอนขอโทษถึงกับกอดแข้งกอดขากราบเท้าอย่าให้เราแยกกัน   ผมในตอนนั้นหัวมันตื้อเพราะช็อกก็ไม่ได้ยินอะไรเลย จำได้แค่ว่าตัวลอยๆ   เดินไปเก้บเสื้อผ้าและขับรถออกจากบ้านไปผมไม่รู้จะไปไหนก็เลยติดต่อเพื่อนที่อยู่แถบอีสาน   ขอพักด้วยสักระยะเพื่อนก็ตกลงเพราะเห็นว่าผมคงมีทุกข์มาและก็ไม่ว่าไม่ถามอะไร   ผมเลยจัดแจงลาออกจากงาน และไปอาศัยบ้านเพื่อนครับสักพักผมก็ทนไม่ได้ครับ เลยไปบวช ที่วัดแถวๆ นั้น เพื่อนก็ถามว่าแล้วทางบ้านทางภรรยารู้หรือเปล่าว่าจะบวช   ผมก็บอกว่ามีปัญหากันนิดหน่อยแต่ทางนั้นทราบแล้วว่าผมอยู่ที่นี่ (จริงๆผมไม่ได้บอกใครเลยครับ)   เวลาผ่านไป ผมก็เริ่มสงบลง.......     เมียผมและครอบครัวผมคงทราบจากเพื่อนว่าผมมาบวชอยู่ที่นี่ก็ตามมาโน้มน้าวให้กลับบ้าน   แม่ก็มาขอร้อง แต่ตอนนั้นผมต้องการสงบครับ ผมก็ตอบว่าถึงเวลาจะกลับไปจัดการทุกอย่างเอง   ขออย่าให้ทุกคนเป็นห่วง เมียผมเองก็เพียรอ้อนวอนจนอ่อนใจ และทำใจจึงกลับไป   ผมบวชเรียนอยู่เกือบปี อยู่มาวันนึงเจ้าอาวาสก็เรียกเข้าไปคุยว่า   "เมื่อยามมีทุกข์ก็ได้มาผ่อนทุกข์ของตนเองแล้วบัดนี้เห็นว่าสงบลงและมีสติขึ้นมาก   คุณจะเห็นควรกลับไปบรรเทาทุกข์ให้คนข้างหลังหรือไม่อาตมาไม่ได้ขับไล่เพียงแต่แนะนำ   สุดแล้วแต่การตัดสินใจเถิด" ผมเองก็มีสติขึ้นจากการบวชว่าผมหลบมาคนเดียว   ผมปลงทุกข์ของตนแล้วแต่คนข้างหลังคงยังมีทุกข์   ผมเลยสึกครับพอสึกแล้วก็พักอยู่บ้านเพื่ออีก 2-3 วัน นั่งสมาธิทุกคืน     เมื่อมีสติก็คิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ได้ชัดเจนครับว่าเธอเป็นภรรยาที่ดีของผมมาตลอด   ไม่เคยบกพร่อง เป็นห่วงเป็นใยช่วยเหลือ ตั้งแต่สมัยเป็นแฟนเคยดีอย่างไร แต่งแล้วก้ยังดีเหมือนเดิมทุกประการ   ผมเลยกลับบ้านครับ ก็หวั่นๆ อยู่ว่าเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง และจะพร้อมกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่   เมื่อถึงบ้านและพบเธอ เธอดูซูบไปมาก ใบหน้าหมองคล้ำเธอไม่แสดงอาการอะไร   นอกจากถามผมเหมือนทุกครั้งที่ผมกลับบ้านว่าหนื่อยไหมหิวหรือยัง จะอาบน้ำก่อนหรือทานข้าวก่อน   เธอเตรียมกับข้าวไว้แล้ว (ผมมารู้ทีหลังว่าตั้งแต่ผมจากไป เธอยังคงทำกับข้าวรอผมทุกวันเพราะเผื่อวันใดผมกลับมา   จะได้มีอาหารพร้อมไม่ต้องนั่งหิวรอ)ผมน้ำตาไหลเลยครับ พูดไม่ออก   คว้าเธอมากอดและขอโทษครั้งนี้ผมลงกราบเท้าขอโทษเธอ เหมือนครั้งที่เธอเคยกราบอ้อนวอนผมมาก่อน   เพราะผมรู้สึกว่าผมทำร้ายของล้ำค่าของผมได้อย่างไร ผมปล่อยให้เธอจมอยู่กับความทุกข์ทรมานอยู่คนเดียว   โดยผมหนีไปหาความสงบคนเดียวได้อย่างไร ผมเป็นสามีที่เห็นแก่ตัวมากๆ   เธอไม่โกรธเลย.......   ยิ้มรับผมเราต่างกอดกันร้องไห้ทั้งคืนโดยไม่พูดอะไรเลยมันสื่อกันด้วยความรู้สึกนะครับ   ไม่มีคำต่อว่าจากปากเธอแม้แต่คำเดียวไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่ผ่านมา ตอนนี้เราก็กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วครับ     เรื่องนี้ผ่านมาประมาณ 4 ปีแล้ว ตอนนี้เธอท้องแล้วครับ ผมอัลตร้าซาวด์แล้ว ผมกำลังจะมีลูกชายครับ   ผมดีใจมากและทุกวันนี้ก็ภูมิใจมากที่มีศรีภรรยาคนนี้มาเป็นแม่ของเจ้าตังค์ (แอบตั้งชื่อไว้ก่อนน่ะครับ แบบว่าเห่อ)   เราสองคนไม่มีใครรื้อฟื้อนเรื่องนั้นอีกเลยมีเพียงแต่ว่าทุกสัปดาห์จะไปวัดด้วยกันและทำบุญตักบาตร   แผ่เมตตาให้แก่ลูกคนแรกของเธอครับผมเล่ามานี่ก็เพื่ออยากให้คุณคิดได้และเข้าใจว่าหลังพายุเนี่ย   ถ้าเราผ่านมันไปได้ หลังจากนั้นก็คือท้องฟ้าที่สงบและสดใลครับ   ผมไม่สามารถรับรองได้หรอกว่าทุกท่านจะโชคดีเหมือนอย่างคู่ผมแต่ผมขออวยพรนะครับ   ผมมั่นใจว่าวันหนึ่งทุกคนต้องผ่านพ้นความทุกข์ไปได้และพบกับสิ่งดีงามครับ...."