รัฐบาลใหม่ "ทางรอด บนความหวังของประชาชน"
นับแต่วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ ผ่านมาจนเกือบครบขวบปี ความหวังที่ประชาชนวาดและถูกวาดให้หวังไว้ว่าการเลือกตั้งในวันนั้นจะได้รัฐบาลใหม่ที่มีประสิทธิภาพ มีความสามารถในเชิงบริหารบ้านเมืองและจะมีคุณธรรม ตลอดจนความสุจริตต่อการดูแลผลประโยชน์ของประชาคมไทยอย่างแท้จริง เพราะปัญหาต่างๆได้เพาะบ่มจนกลัดหนองแทบจะทะลักอยู่แล้ว แต่แล้วก็เป็นอย่างที่เห็นๆกันอยู่ คือผลประโยชน์ของกลุ่มและพวกมาก่อนเช่นเคยๆ นักการเมืองมักจะมีเหตุผลที่ตรงกัน ในสภา ในแต่ละพรรค ในแต่ละรัฐบาลที่รักษาไว้ได้คือ เพียงพูดว่า "ทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ" คือสิ่งที่ท่องขึ้นใจ ส่วนเรื่องทำหรือภาคปฏิบัติเป็นอีกโสตหนึ่งต่างหาก คิดถึงอาจารย์ อาณัติ อาภาภิรมย์ ที่ท่านบอกว่า "ไม่สามารถเป็นนักการเมืองได้เพราะไม่สามารถคิดอย่าง พูดอย่าง และทำอีกอย่างได้" นั่นเอง
ทันทีที่มีเสียงประกาศว่าจะลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีของ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ สรรพวิธีในการเดินแต้มทางการเมืองก็ค่อยทวีขึ้นจนเข้มข้นสุดๆ เมื่อใกล้เวลาเที่ยงคืนของวันที่ ๖ พฤศจิกายน นั่นคือต่างฝ่ายต่างผนึกกำลังพร้อมจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แกนเดิม ๖ พรรครัฐบาลเก่า ๒๒๑ เสียง แกนเดิมของฝ่ายค้าน ๑๗๒ เสียง จนในที่สุดมาก้ำกึ่งกันที่ ๑๙๕ : ๑๙๘ เสียง โดยมีตัวแปรคือ ส.ส.ที่จะไม่ไปตามกับหัวหน้าพรรคประชากรไทย
กลุ่มแกนพรรคไหนก็ตามที่กำลังจัดตั้งรัฐบาลอยู่นั้น สิ่งที่คงจะต้องขอให้ใช้คือ สำนึกถึงความเดือดร้อนของประชาชนและชั่งน้ำหนักปัญหาระหว่างการเมืองกับการเศรษฐกิจ ว่าอย่างไหนควรจะต้องเร่งทำกันก่อน ไม่ใช่มัวมั่วแต่แบ่งสมบัติ โควต้าตำแหน่งกันอย่างชุลมุน
ปัญหาที่เป็นอยู่ในขณะนี้ คือ สภาพคล่องทางการเงินในตลาด ที่เกิดวิกฤตมาตลอดตั้งแต่ค่าเงินไม่มีเสถียรภาพ จนรัฐบาลที่แล้วต้องประกาศลอยตัวค่าเงินบาท เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๐ และยังไม่รู้ว่าจะมีค่าที่พอจะทรงตัวแน่นอนในระดับไหน จากแต่เดิมที่คาดไว้แต่ตอนต้นว่าน่าจะอยู่ในระดับ ๒๘ - ๓๒ บาทต่อเหรียญสหรัฐ ไปจนถึงกว่า ๔๑ บาทต่อเหรียญสหรัฐนั้น ความผันผวนดังกล่าวจึงทำให้สภาพคล่องนั้นไม่ดีขึ้นเพียงพอ เพราะตราบใดที่ค่าเงินยังผันผวนแปรปรวนมาก ไม่มีกรอบที่ยึดเป็นบรรทัดฐานได้ ปัญหาสภาพคล่องจะส่งผลต่อปัญหาอัตราดอกเบี้ย และเงินเฟ้อก็จะยังคงแปรปรวนไปอย่างไม่เป็นส่ำ
ทั้งหมดคือสถานภาพของหนี้สินต่างประเทศกว่าเก้าหมื่นล้านเหรียญ และสามในสี่ส่วนนี้เป็นหนี้จากภาคเอกชน ซึ่งรัฐบาลมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่เบื้องต้นเลย โดยเฉพาะในส่วนสองหมื่นกว่าล้านเหรียญที่กำลังจะครบกำหนดชำระในระยะไม่เกิน ๒ เดือนนี้ปกติลักษณะหนี้เหล่านี้จะก่อกันทั้งระยะยาวและระยะสั้น ส่วนมากจะเป็นระยะสั้นมากกว่าระยะยาว ซึ่งในทางปฏิบัติหนี้ระยะสั้นที่ใช้กู้กันอยู่เมื่อครบกำหนดชำระก็จะมีการต่อสัญญาไปได้อีกเป็นระยะๆ ตามกำหนด เช่น หกเดือนบ้าง สามเดือนบ้าง บางครั้งก็ยาวกว่าหรือสั้นกว่าก็มีแล้วแต่สภาพคล่องของตลาดเงินในขณะนั้น แต่ทางด้านลูกหนี้คนไทยเราได้เอาเงินกู้เหล่านี้ผ่านทางหน้าต่างบีไอบีเอฟ มาใช้เป็นการลงทุนในด้านอสังหาริมทรัพย์บ้าง ซึ่งผิดลักษณะเพราะต้องใช้ระยะยาว โดยเพียงคาดว่าจะได้ต่อเงินกู้เมื่อครบกำหนดชนิดที่เรียกว่า "โรลโอเวอร์" ส่วนที่ไปลงทุนด้านตลาดทุนก็ติดสภาพหุ้นตกบาดเจ็บกันระนาว บางรายอาจเอามาแปลงสภาพเป็นเงินบาทฝากหาผลประโยชน์จากผลต่างของดอกเบี้ยที่ต่างกันค่อนข้างมาก โดยเฉพาะไปฝากกับสถาบันการเงินที่ติดอยู่ในกลุ่ม ๕๘ สถาบันบ้างก็เอวังกันหมด
ดังนั้นประชาชนที่ติดตามการบ้านการเศรษฐกิจก็จะเข้าใจว่า ในขณะนี้สภาพรัฐบาลที่น่าจะเหมาะกับการแก้ไขปัญหาภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญที่เป็นอยู่ ระหว่างสภาที่มาจากการเลือกตั้งแบบไดโนเสาร์ครั้งสุดท้ายนั้นกับรัฐธรรมนูญใหม่นี้ น่าจะให้โอกาสกับกลุ่มที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ เพราะดูแล้วมีทั้งทีมที่เข้าใจปัญหาเศรษฐกิจและการต่างประเทศ ซึ่งจะต้องใช้ทั้งกำลังภายในภายนอกกันหลายส่วนในการต่อรอขอยืดอายุหนี้สินต่างประเทศออกไป กลุ่มนี้คงจะเป็นประโยชน์กับประเทศสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้มากกว่า และที่สำคัญคือภาพลักษณ์ของผู้นำที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องยอมรับว่า "นายชวน จะมีภาษีความซื่อสัตย์ที่ต้องใจกว่า" ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะได้แสดงความสามารถในโอกาสนี้
การแก้ไขปัญหาในยามเศรษฐกิจขาลง ปัญหาต่างๆ ไม่ว่าทั้งรายรับรายได้ยากที่จะให้เข้าเป้าดังหวัง ทางรายจ่ายก็ต้องเพิ่มมากขึ้นทั้งๆ ที่ไม่มีเงิน ดังนั้นเรื่องหลักการจึงเป็นสิ่งที่ต้องใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว จะเห็นได้ว่าปัญหาต่างๆ ที่ต้องไปเชิญให้ไอเอ็มเอฟเข้ามานั้น ทั้งที่จริงทุกเรื่องก็เป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว แต่เพราะสถานภาพของรัฐบาลผสมที่ผ่านมาต้องคำนึงถึงเสถียรภาพของพรรคร่วมรัฐบาลมาโดยตลอด แทนการใช้หลักการความถูกต้อง เช่น
- การชะลอโครงการสนามบินหนองงูเห่า ต้องประกาศอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นว่า ไม่มีเงิน อย่าอมพะนำ
- การตัดลดงบประมาณก่อนการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวนไม่น้อยกว่าแสนห้าหมื่นล้านบาทถึงสองแสนล้านบาท ซึ่งได้มีการบอกกล่าวจากผู้รู้และนักวิชาการมาตลอดก็ไม่กล้าทำทันที แต่ในที่สุดก็หนีไม่พ้น ต้องทำอย่างลักปิดลักเปิด
- การปรับลดค่าเงินบาทโดยวิธีใดก็ตามแต่จะต้องเตรียมให้พร้อม ทั้งสูตรการใช้พลังงานซึ่งต้องนำเข้ากว่าร้อยละเก้าสิบ ต้องอาศัยเงินตราต่างประเทศทั้งนั้น สูตรการเตรียมสภาพคล่องเงินตราต่างประเทศเพื่อรองรับมาตรการนี้ก็ไม่สามารถทำได้ นี้เป็นเพียงประเด็นตัวอย่างเท่านั้น
ผมไม่อยากเห็นประเทศไทยต้องมีแต่ความบอบช้ำอย่างไม่มีใครเห็นแก่บ้านเมือง มือยาวสาวได้สาวเอา แสวงหาอำนาจโดยไม่สุจริตคิด ไม่สุจริตทำ แต่ที่สำคัญการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น มิได้หมายความว่าจะได้ทุกอย่างสมความต้องการของทุกคน แต่ทุกคนต่างหากที่จะต้องช่วยกันประสานให้ความอยากของตัวเองที่ต้องการให้บ้านเมืองของเรามีความเจริญก้าวหน้า ให้อยู่ได้อย่างมีแนวทาง มีระบบตรวจสอบ และมีความต่อเนื่อง จึงต้องอดทน
- ไม่ใช่เพียงยุบสภาเพื่อเลือกตั้ง แล้วอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไล่กันแล้วไล่กันอีก สลับกันไปสลับกันมา เดี๋ยวอยู่ข้างนี้เป็นคนดี อยู่อีกข้างเป็นคนชั่ว ลองหยุดนึกกันสักนิดนับแต่ พณฯพลเอก เปรม , พลเอกชาติชาย , นายอานันท์ , พลเอกสุจินดา , นายชวน , นายบรรหาร และพลเอกชวลิต เราคนไทยและสื่อฯทำตัวเป็น กบเลือกนาย วนเวียนจนกระทั่งปัญหาหลักๆ โดยเฉพาะการคอรัปชั่นไม่ได้ถูกแก้ไขแต่กลับถูกสั่งสมไว้โดยกลุ่มนักฉวยโอกาสทางการเมืองที่แปรพักตร์ไปแปรพักตร์มา เสมือนหนึ่งบริษัทการค้าที่คอยจ้องหาโอกาสทำธุรกิจการเมือง
ผมเองกล้ายืนยันได้ว่า พณฯหลายๆ ท่านเป็นผู้ที่มีความตั้งใจและต้องการจะทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองอย่างแท้จริง แต่ส่วนใหญ่มักลืมสุภาษิตไทยเดิมที่ว่า"พบพาลพาลพาไปหาผิด พบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล" ที่ใช้ได้ทุกกาลทุกสมัย แต่เวลาจะขึ้นนั่งเก้าอี้ผู้นำต้องอาศัยจำนวนมือนับของท่านที่ถูกอุปโลกย์กันเองว่าเป็นผู้ทรงเกียรติ ข้างหน้าพูดได้ว่าไม่มีเงื่อนไข แต่พอหันหลังปุ๊บเป็นต้องวัดเก้าอี้กันทั้งจำนวนและกระทรวง ทั้งนี้ความจริงก็คือ ในสภามีคนดีทั้งสองฝ่ายแต่ไม่มากเพียงพอจึงทำให้ นักฉวยโอกาสทางการเมือง เป็นตัวแปรได้ และรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มและพรรคของตัวเองมาตลอดที่เป็นเหตุให้ต้องมีการปรับ ครม. อยู่ได้เป็นเนืองๆ
จำเป็นที่จะต้องเริ่มมิติใหม่ของการเมืองไทยเพื่อรองรับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ขานเรียกว่า "ฉบับประชาชน" ต้องทิ้งคราบไคลน้ำเน่า ทุกฝ่ายไม่ว่าฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้านและประชาชนให้ช่วยกันใช้สติ ความรอบครอบ และความอดทน เพราะปัญหาเศรษฐกิจมหภาคที่ขาดสภาพคล่องและหนี้สินรุงรังมากมายและตลอดจนการปฏิรูปการเมือง เช่นนี้จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียวคงไม่ได้
ปัญหาเศรษฐกิจรัฐบาลต้องกำหนดเรื่องที่ต้องเร่งทำอย่างเร่งด่วนให้เป็นรูปธรรม มาตรการที่จำเป็นที่ต้องใช้รองรับ โดยเฉพาะภาคการส่งออกและการบริการ ช่วยภาคเอกชนยืดภาระหนี้สินเงินตราต่างประเทศให้ได้มากที่สุด ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายทั้งผู้ฝากเงิน ผู้ลงทุน และเจ้าหนี้ อย่างโปร่งใสถูกต้อง ต้องไม่สร้างภาระให้แก่ประเทศชาติโดยไม่จำเป็น และประการสุดท้ายที่สำคัญคือ ต้องเอาจริงเอาจัง หาทางเอาผู้ทำผิด ฉ้อฉลต่อสถาบันในตลาดทุนและตลาดเงินมาลงโทษให้ได้
การปฏิรูปการเมืองอย่าได้ยึดการเลือกตั้งเร็วหรือช้าเป็นหลัก กรุณายึดหลักและกรอบที่ต้องทำตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ ให้มีกฎหมายรองรับที่ถูกต้อง เป็นธรรม ปฏิบัติได้จริง ให้มีความพร้อมเสียก่อน และเมื่อเศรษฐกิจเริ่มอยู่ตัวพอไปได้แล้วจำเป็นต้องเลือกตั้งก็รีบตัดสินใจตอนนั้นก็จะเป็นประโยชน์โดยรวมของบ้านเมือง
ฝ่ายค้านเองจะได้มีโอกาสทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสามารถท้วงติงและสามารถเสนอแนะแนวทางต่างๆ ในฐานะที่เป็นรัฐบาลมาก่อนคงจะได้เห็นปัญหาและอุปสรรค มาช่วยกันกอบกู้บ้านเมืองดีกว่า
ฝ่ายประชาชนซึ่งเป็นฝ่ายที่สำคัญที่สุด การให้โอกาสกับการแก้ปัญหาครั้งนี้อย่างเดียวคงไม่พอ แต่ต้องช่วยกันแก้ปัญหาเศรษฐกิจซึ่งไม่มีมาตราการใดที่ดีและมีประสิทธิภาพเท่ากับช่วยกันใช้ของไทย กินของไทย เที่ยวเมืองไทย อะไรก็ตามที่เป็นชิ้นส่วนมีองค์ประกอบจากการนำเข้า ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้กรุณาช่วยกันงด ถ้าจำเป็นต้องใช้ช่วยชะลอให้ถึงที่สุดค่อยใช้ โดยเฉพาะพลังงาน น้ำมันที่ต้องซื้อด้วยเงินตราต่างประเทศและเผาทิ้งทุกครั้ง ขอให้ช่วยกันใช้สำนึกตรึกตรองว่าเรากำลังเผาธนบัตร ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์จริงๆ นอกเหนือไปจากการให้เวลากับรัฐบาลใหม่แล้ว ต้องติดตามการทำงานของรัฐบาลใหม่และส.ส.ฝ่ายค้านด้วยเสมอ เพื่อใช้ในการพิจารณาการเลือกตั้งครั้งใหม่ "ให้สมกับเป็นการปฏิรูปการเมืองตามรัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชน"

 บทความจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๑




"ถึงเวลาผ่าทางตันเศรษฐกิจไทย" นายพีระพงศ์ ถนอมพงษ์พันธ์

นับเป็นคราวเคราะห์ของกัปตันสยามนาวาอย่าง พณฯพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ที่มาเป็นนายกรัฐมนตรี ในช่วงสมัยที่ภาวะเศรษฐกิจวิกฤตกว่าวิกฤตทุกครั้งที่ผ่านมาใน ๔๐ ปีของประเทศไทย ซ้ำร้ายภายใต้เงื่อนไขของสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซานั้น สังคมส่วนใหญ่ก็ถูกมอมเมาด้วยระบบบริโภคเกินจำเป็นเกินตัว อย่างไม่ลืมหูลืมตาต่อเนื่องมาในหลายรัฐบาล ถึงขนาดประมาณว่าขณะนี้ต้องได้รับเงินทุนต่างประเทศ อย่างน้อย 500-1,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1.25-2.5 หมื่นล้านบาทต่อเดือนเพื่อจะใช้แก้ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยและเป็นครั้งแรกที่สภาพการขาดดุลของสภาวะการเงินไทยต้องประสบพร้อมๆกัน 3 ทางคือ
การขาดดุลการค้าอย่างมหาศาล // การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างมาก // และการขาดดุลเงินสดซึ่งหายไปหลายปีแล้ว
หกเดือนแล้วปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุมเร้าเข้ามาเขม็งเกลียวยิ่งขึ้น ในภาวะเศรษฐกิจเสรี
ที่เป็นตลาดเปิดจึงต้องอาศัยความเจนจัดทางด้านเทคโนโลยีการจัดการ ความเข้มแข็งทางทุน
และแทบไม่ต้องหาความเห็นอกเห็นใจหรือคุณธรรมตราบใดที่มีช่องให้เขาทำกำไรได้ เขาจะไม่เว้นเพราะเขาคือทุนต่างชาติ ทุนข้ามชาติ จึงจำเป็นต้องเสาะแสวงหาประโยชน์ที่สูงสุด เสี่ยงน้อยที่สุด และเฉียดฉิวกับจริยธรรม ตราบใดที่ไม่ผิดกฎหมายหรือเงื่อนไขที่ทางการกำหนดให้
รักจะเปิดตลาดเสรีต้องเรียนให้รู้ ดูให้ทัน กำกับให้ได้ ในหกเดือนที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความสามารถของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ต่อสู้กับสภาวะความกดดันจากทุนต่างประเทศ ที่ได้มีการคาดหมายถึงความสามารถในการพยุงค่าเงินบาทของทุนรักษาระดับและตั้งสมมติฐานเชื่อว่า"จะไม่สามารถทนต่อสภาวะการณ์ที่เป็นอยู่เช่นนี้จนถึงต้องมีการปรับลดค่าในที่สุด" เพราะการขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่องมหาศาล การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่สูง เป็นผลกระทบตามกันมา การขาดดุลเงินสดที่เกิดจากการเก็บภาษีได้ไม่เข้าเป้าอีกส่วนหนึ่ง โดยมีการเก็งกำไรหวังว่าค่าเงินบาทจะต้องลดค่า เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดจากวิกฤติการณ์ทางการเงินที่มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากปัญหาเรื้อรังของระบบเศรษฐกิจที่ขยายตัวในอัตราสูงต่อเนื่องมานาน จนเกิดอาการที่เรียกว่าเศรษฐกิจฟองสบู่แตก และความถดถอยของการส่งออกอันเนื่องมาจากความล้าหลังของโครงสร้างการผลิต ที่จริงแล้ววิกฤติการณ์การเงินนี้จะไม่ร้ายแรงเท่านี้
ถ้าหากกลไกการจัดการของระบบการเงินของเรามีประสิทธิภาพ และไม่เสื่อมโทรมอย่างที่เห็นในขณะนี้

สถาบันการเงินของเราไม่ว่าจะเป็น ธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ส่วนใหญ่ได้เติบโตจนเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตมาได้ด้วยความสามารถและจรรยาบรรณของผู้บริหารรุ่นแล้วรุ่นเล่า แม้ว่ากลไกกำกับตรวจสอบของระบบราชการจะล้าหลังตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทั้งในและต่างประเทศ จนเป็นอุปสรรคบ้างในบางครั้ง
แต่ก็ต้องยอมรับว่า เนื่องจากธนาคารและสถาบันการเงินเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อระบบเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องมีการควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดโดยทางการเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม แต่การควบคุมดูแลนี้จำเป็นต้องกระทำอย่างมีเหตุมีผลและไม่เลือกปฏิบัติ และผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการควบคุมดูแลให้เป็นไปตามระบบกฎเกณฑ์นั้นต้องมีความซื่อสัตย์เที่ยงธรรม ไม่อาศัยอำนาจหน้าที่ในการแสวงหาผลประโยชน์
สถาบันการเงินก็เช่นเดียวกับสถาบันอื่นในสังคม ย่อมต้องมีคนดีและคนไม่ดีปะปนกัน หากแต่สังคมเราอยู่ได้ก็ด้วยมีระบบและกฎเกณฑ์ที่เป็นธรรมที่ไม่ปล่อยให้คนไม่ดีมีอำนาจ และฉกฉวยหาผลประโยชน์อย่างไม่มีจรรยาบรรณเมื่อมีการทุจริตฉ้อฉล หรือการกระทำที่ผิดกฎหมายและจรรยาบรรณเกิดขึ้นในสถาบันการเงิน เราก็หวังว่า บุคคลที่มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะได้ใช้กลไกและอำนาจที่มีจัดการกับผู้กระทำผิดอย่างตรงไปตรงมา ไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพลใดๆและไม่หวั่นไหวต่ออามิสสินจ้าง
เราเคยมีความภูมิใจกับความเป็นอิสระและเที่ยงธรรมของธนาคารแห่งประเทศไทยในสมัย ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นผู้ว่าการฯ ซึ่งแม้จะอยู่ท่ามกลางมรสุมทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจหนักหน่วงรุนแรงแค่ไหน แต่ "ปราการแห่งพุทธิปัญญา" แห่งนี้ก็
ยืนหยัดไม่โอนเอนไปตามคลื่นลม เป็นหลักค้ำสำคัญของระบบเศรษฐกิจเสมอมา จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เองที่สถาบันการเงินเพียงไม่กี่แห่งที่มีการทุจริตฉ้อฉลนำเงินฝากของประชาชนไปแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากการเก็งกำไรโดยไม่ได้สร้างมูลค่าที่แท้จริงแก่สังคม แต่ผู้บริหารที่กระทำผิดกำลังจะลอยนวลหลุดพ้นความผิดไปได้ ทั้งกรณีฉ้อฉลในธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งก็เกิดขึ้นต่อเนื่องมานานโดยปราศจากการตรวจสอบแก้ไขของทางการที่เกี่ยวข้อง และเกิดขึ้นในขณะที่มีผู้บริหารระดับสูงของธนาคารแห่งประเทศไทยนั่งเป็นกรรมการของธนาคารแห่งนี้ด้วย และที่สำคัญ การเข้าไปทำงานในฐานะตัวแทนของภาครัฐใช่หรือไม่ แล้วทำไมถึงเกิดเหตุดังกล่าวขึ้นได้อีกอย่างต่อเนื่องยาวนาน

สถาบันการเงินเพียงไม่กี่แห่งที่เติบโตอย่างจอมปลอมไม่ผิดอะไรกับฟองสบู่ ไม่ผิดอะไรกับการเก็งกำไรในบ่อนการพนัน โดยไม่ได้อาศัยความรู้ความสามารถที่แท้จริง และปราศจากจรรยาบรรณความรับผิดชอบที่พึงมี ไม่มีวินัยทางการเงิน ไม่มีการบริหารงานอย่างถูกต้องตามหลักการ เพียงแต่อาศัยเส้นสายและการฉกฉวยโอกาสในยามที่เศรษฐกิจเฟื่องฟูเท่านั้นเอง
คำถามมีอยู่ว่า ทั้งๆ ที่มีกฎเกณฑ์และกลไกควบคุมตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนเข้มงวดมากมาย แต่ผู้มีอำนาจหน้าที่กลับปล่อยให้มีการกระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่ามานาน โดยไม่มีมาตรการแก้ไข จนก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงอย่างยากที่จะควบคุมได้อย่างไร
จากการเปิดตลาดเงินบาทเสรีโดยที่เงื่อนไขกลไกตลอดจนความเข้มแข็งของทุนสำรองของประเทศเป็นระยะสั้นและชั่วคราวส่วนหนึ่งที่ผู้ลงทุนจากต่างประเทศหรือนักแสวงหาผลประโยชน์ในลักษณะนักฉกฉวยโอกาสพยายามจะกดดันให้เงินบาทต้องปรับลดค่า ยิ่งสอดคล้องเมื่อมีคณะนักวิเคราะห์ได้ปรับลดคุณภาพเครดิตไทยลงด้วยตามสภาวการณ์ สภาพเศรษฐกิจที่กำลังซบเซาเป็นระยะๆ ที่สำคัญคือความไม่เป็นเอกภาพของฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะแผนการใช้เงินงบประมาณ พูดอย่างทำอย่างมาตลอด ซึ่งต่างกันอย่างหน้ามือกับหลังมือเมื่อเทียบกับการแก้วิกฤตเมื่อครั้ง พณฯพลเอกเปรม ติณนสูลานนท์ แม้กระทั่งรองนายกอย่างท่านอาจารย์ใหญ่บุญชู โรจนเสถียร ยังต้องออกปากขอให้เศรษฐี
นายธนาคารทั้งหลาย ประหยัด มัธยัสถ์ ใช้รถ ใช้สินค้า ลดความฟุ่มเฟือยอย่างจริงจัง ถึงขั้นประหยัดพลังงานด้วยซ้ำไป ในช่วงนั้น ในที่สุดก็ยังต้องลดค่าเงินบาท
พวกนักฉวยโอกาสเหล่านี้ เขาก็เรียนรู้ประวัติศาสตร์การบริหารการเงินของไทยมาตลอด ยิ่งเมื่อเทียบกับความวิกฤตครั้งนี้กับครั้งก่อนแล้ว เขายิ่งเห็นชัดถึงขั้นมั่นใจกันอย่างชนิดที่ว่าเทกระเป๋าก็ว่าได้ ที่จะให้เกิดการปรับลดค่าเงินบาท ต้องชมเชยและให้กำลังใจกับท่านรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ดร.อำนวย วีรวรรณ ธนาคารแห่งประเทศไทย ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทุนรักษาระดับ ที่สำคัญคือ สถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งที่ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ด้วยดี และเข้าใจปัญหาวิกฤตในครั้งนี้ เพราะว่าสถานการณ์ขณะนี้ เมื่อเทียบกับปี 2527ความจำเป็นและประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับจากการปรับลดค่าเงินนั้น เกือบจะกลับทิศไปคนละข้าง ถึงแม้ลดค่าทันทีในวันนี้ ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่สั่งสมอยู่ได้ แต่กลับจะมีผลกระทบที่คาดไม่ถึง ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องพูดถึงยอดเงินกู้ต่างประเทศของภาคเอกชนที่มียอดอยู่อย่างสูงมากด้วยซ้ำไปการส่งออกก็เชื่อว่ามีผลกระเตื้องขึ้นน้อยมาก เพราะทุกครั้งที่ผ่านมาต่างประเทศก็ขอปรับราคาตามไปด้วย

ขณะนี้ ปัญหาของผู้ที่เก็งกำไรจากค่าเงินบาท กำลังจนมุมอยู่ในมุมอับ ผมเชื่อว่าทางการคงจะไม่ปล่อยให้ตันจนไม่มีทางออก โดยเฉพาะพวกนิติบุคคลที่เป็นสถาบันการเงินต่างประเทศตัวเอ้ๆทั้งหลาย แต่จะทำอย่างไรถึงจะให้เกิดความเข้าใจในวัตถุประสงค์ที่ต้องตรงกัน
ผมคนหนึ่งที่กล้าประกันว่า สำหรับผู้ที่เข้ามาลงทุนทำธุรกรรมต่างๆ อย่างตรงไปตรงมาจะไม่เกิดผลกระทบก่อความเสียหายใดๆ ที่ทางการไทยได้ใช้มาตรการไปในระยะที่ผ่านมาในสัปดาห์นี้
เมื่อการแก้ปัญหาของทางการถือว่า ผู้ที่มิได้ตั้งใจเพียงเพื่อลงทุนแสวงหากำไรอย่างปกติ
จึงจำเป็นจะต้องมีการใช้มาตรการที่เข้มทางการตลาดเข้าควบคุม ทำให้ผู้ที่หวังเก็งกำไรจากค่าเงินบาท ต้องเสาะแสวงหาช่องทางอื่นๆ เช่น ตลาดทุนใช้การซื้อขายหุ้นมาสมาสเข้าเป็นทางเชื่อมเพื่อจะหาเงินบาทซึ่งทางการก็ไหวทันและหยุดได้ทันที ทั้งหมดนี้ยังไม่สิ้นสุดของปัญหาเพียงแต่จับได้ไล่ทันเท่านั้น การแก้ปัญหาต้องทำกันอย่างจริงจัง นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่อาจจะเชื่อว่าบาทควรต้องลดค่า แต่เราคนไทยต้องพิจารณาความเป็นจริงว่า ค่าของบาทควรเป็นอย่างไร บาทควรจะลดค่าเพราะประโยชน์และความจำเป็นของประเทศไม่ใช่เกิดจากความกดดันของนักเก็งกำไรเป็นหลัก และจะไม่ลดค่าเงินบาทนั้นจะทำกันอย่างไร ไม่ใช่เพียงแค่พูดเท่านั้น การใช้มาตรการกดดันใครก็ตามจะใช้ได้เฉพาะชั่วคราวเท่านั้น แต่การแก้ไขนั้นต้องทำเป็นกระบวน และใช้วิธีที่ทุกฝ่ายจะได้รับประโยชน์ โดยเฉพาะประชาชนและประเทศชาติในระยะยาวยังครับยังไม่สายเกินจะแก้
ยังไม่สายที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ให้เกิดมรรคผล ทุกคนต้องยอมรับผลพวงทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะนี้ มิใช่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากส่วนหนึ่งส่วนใดโดยเฉพาะ แต่เป็นปัญหาที่สั่งสมและมีการแก้ไขไม่สอดคล้องสภาวะจริง ประเทศไทยมีเงินออมไม่พอกับสินเชื่อของระบบสถาบันการเงินมาโดยตลอด การใช้จ่ายเกินตัวโดยเฉพาะงบประมาณที่ไร้ประสิทธิภาพ ไม่มีผลต่อการพัฒนาศักยภาพของคนโดยแท้จริงแล้วยังสร้างเงินเฟ้อสะสมไว้ให้ลูกหลานไทยอีก อย่าหวังว่าจะแก้วิกฤตที่แท้จริงในระยะยาวได้เพียงแต่ทุกฝ่ายต้องให้ความจริงใจและมุ่งมั่นที่จะร่วมด้วยช่วยกันแก้ไขเศรษฐกิจไทยในครั้งนี้เท่านั้น
บทความจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์


 

10 ประการผ่าทางตันเศรษฐกิจไทย นายพีระพงศ์ ถนอมพงษ์พันธ์

ย่างเข้าเดือนที่ 7 ของรัฐบาลนี้ ที่เพิ่งจะได้เห็นการชักดาบอาญาสิทธิออกมาใช้อย่างพอมีกระบวนท่าบ้าง ในการประกาศให้บริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทั้ง 16 แห่งที่มีธนาคารหนุนหลังและไม่มีธนาคารหนุนหลัง ให้หยุดประกอบกิจการเพื่อปรับรวมตัวภายในระยะเวลา 30 วันจึงต้องขอชมและให้กำลังใจกับรัฐบาลบ้างถึงแม้เรื่องนี้น่าจะทำมานานแล้ว
ตัวเลขดัชนีที่เกี่ยวข้องกับทางเศรษฐกิจหลายตัวซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศเมื่อวันก่อน ย่อมแสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่า เป้าทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลอ้างว่าจะดีขึ้นบ้างในครึ่งปีหลัง ที่พูดมาแต่ต้นนั้นพกลมทั้งเพ ยังครับยังไม่ทราบว่าจะดีขึ้นอีกเมื่อไหร่ ประมาณว่าถ้ามาตราการเฉียบหรือจ๊าบอย่างวัยรุ่นว่ากัน แนวทางการแก้ไขเป็นกระบวนท่าและวิธีการปฏิบัติโปร่งใสพอ แล้วถ้าต่างชาติเชื่อและมั่นใจกล้าลงทุนกันต่อ ให้เวลาอีก 2- 3 ปี ได้โงหัวขึ้นบ้างก็เก่งแล้วล่ะครับ จะเห็นได้ว่าทุนสำรองที่หายไปถึงสี่พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณแสนล้านบาทขึ้นนั่นล่ะครับที่ทำให้เงินในตลาดฝืดและกลืนสภาพคล่องส่วนหนึ่งหายไป จึงทำให้ทั้งบริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทั้งหลายต้องกู้กันข้ามคืนมาพยุงฐานะของบริษัทในอัตราร้อยละกว่า 20 ขณะนี้ทุนสำรองเหลือเพียง 3 หมื่น 3 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือเทียบเท่ากับปริมาณการนำเข้าประมาณ 5.8 เดือน และการส่งออกที่วาดเป้าว่าทั้งปีจะโตขึ้นร้อยละ 10 นั้น เชื่อว่ายังอีกห่างไกลยิ่งตัวเลขที่ออกมาให้เห็นในขณะนี้
ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้คนของทางการจะไม่รู้หรือไม่ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหรือไม่เห็น แต่ที่แน่ๆคือท่านไม่กล้าเผชิญกับความเป็นจริงจนวินาทีสุดท้ายต่างหาก ปฏิกิริยาที่ต้องต่อสู้กับต่างชาติเพื่อปกป้องค่าเงินบาทนั้น แทบจะไม่มีทางเกิดขึ้นเลยถ้าทางการไม่ปล่อยปละเรื่องของธนาคารกรุงเทพพานิชยการให้ลามปามไปหมดทั่วทั้งระบบ ทำไมราเกซจึงต้องเป็นที่ปรึกษาของธนาคารแห่งนี้ ท่านตอบคำถามนี้เองได้ นักการ(กิน)เมืองและข้าราชการขี้ฉ้อทั้งหลายที่เกี่ยวข้องย่อมรู้อยู่เต็มอก ยังไม่พูดรวมไปถึงกรณีนายวินัย ละอองสุวรรณ สิ่งเหล่านี้ต่างชาติเขาไม่ได้ปิดหูปิดตา เขารับรู้อยู่เต็มอกตลอดเวลาปิดเขาไม่ได้ว่า บรรทัดฐานในการทำผิดในบ้านเรามีความเสี่ยงน้อยมาก
คนของทางการนั่นแหละครับตัวดี หลายคนหลงตัวเอง อ้างตัวเป็นลูกศิษย์อาจารย์ ดร.ป๋วย แต่แนวทางการปฏิบัติและดำรงชีวิตหาสักกระผีกของอาจารย์ ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีโดยเฉพาะการดื่มการกิน ที่พูดถึงนี้คงจะเป็นส่วนน้อยที่เผอิญมีอำนาจในแต่ละห้วง ที่น่าสังเกตคือปัญหาของบริษัททั้งหลายที่ถูกสั่งการในครั้งนี้ ส่วนใหญ่ก็เคยเป็นบริษัทที่เคยมีปัญหาอย่างนี้มาก่อนตั้งแต่ครั้งทรัสต์ 4 เมษา สิบกว่าปีก่อนที่ผ่านมาแล้วทำไมจึงเกิดปํญหาได้อีก ผู้แก้ ผู้กำกับส่วนใหญ่ก็เดิมๆเพียงแต่ยศชั้นใหญ่ขึ้น หันมาเอาจริงเอาจัง หันมากำกับดูแล ไม่กำกับและขู่ไปเรื่อยๆ จะสั่งการใดๆก็ตาม ให้ใช้ความเป็นธรรม คำนึงถึงความจำเป็นและต้นทุน แยกแยะคนปฏิบัติดี ปฏิบัติพอใช้ กับปฏิบัติเลวและตั้งใจฉ้อฉลออกจากกันให้ได้ ใช้มาตราการที่เฉียบขาดชี้ถูกผิดให้ชัดเจน เพราะในหนึ่งชีวิต คงจะมีโอกาสได้ทำประโยชน์ไม่มากนัก อะไรที่เป็นลาภมิพึงได้ก็ละกันเสียบ้าง การกำกับดูแลนั้นบอกชัดเจนในความหมายอยู่แล้ว ต้องกำกับให้อยู่ในครรลองที่ควรจะเป็น การดูแลก็หมายถึงดูแลให้เขาดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จัดเป็นธุระให้เขาดำเนินธุรกรรมได้คล่องตัว ที่จริงแล้วคนเหล่านี้ส่วนใหญ่หาใช่เป็นโจรผู้ร้ายไม่ เขาก็ทำมาหากินภายใต้กฎเกณฑ์และเสียภาษีให้กับรัฐด้วยซ้ำไป เสมือนลูกจ้างของรัฐเช่นกัน แบ่งส่วนงานที่รัฐไม่สามารถให้บริการไปช่วยกันทำ แล้วส่งส่วนแบ่งให้รัฐในรูปภาษีของกำไรร้อยละ 30 โดยมีความเสี่ยงในการลงทุนกันเองอีกต่างหากและไม่เคยได้รับเงินเดือนจากรัฐเลย จึงไม่ควรแบ่งภาครัฐภาคเอกชนมากนัก ติดๆดินกันบ้าง คนไทยแข่งกันเองไม่เจริญเท่าไร แต่รวมกันแข่งกับต่างประเทศ นั่นแหละหนทาง
เวลานี้ได้ทราบว่าท่านอาจารย์ ดร.ป๋วย ยังอยู่เมืองไทย ท่านคงไม่มีทางสบายใจได้เมื่อทราบวิกฤตเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ นับเป็นโอกาสดีที่เหล่าลูกศิษย์ลูกหาที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจนี้ จะทำการแก้ไขและตั้งตนตั้งสติ ดำเนินการอย่างเที่ยงธรรม ไม่เลือกปฏิบัติหรือลูบหน้าปะจมูกเช่นที่ผ่านมา เพื่อเป็นการทำหน้าที่ที่สมควรแล้วยังเป็นครุบูชาคุณอาจารย์ท่านอีกส่วนหนึ่ง เพื่อให้ท่านได้สบายใจ มีสุขในบั้นปลาย ที่ได้สนันสนุนให้ทุนกันมาหลายต่อหลายท่านนัก เพียง"เอาจริงต่อผู้ที่ทำผิดฉ้อฉลในบริษัทการเงินทุกแห่งที่ท่านต้องกำกับควบคุมดูแล เฉกเช่นเดียวกับการสู้กับนักเก็งกำไรเงินตราต่างประเทศไม่ว่าหัวแดงหัวดำเท่านั้น" มีหรือจะรอดไปได้??
ก่อนอื่นของการแก้ปัญหาวิกฤตต้องพร้อม ขอให้ผู้มีส่วนร่วมในรัฐบาลทุกฝ่ายทุกพรรค ต้องหันมายอมรับสภาพปัญหาที่แท้จริงและเร่งดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องแย่งกันทำงานแต่ต้องมีเป้าหมายมุ่งเป็นแนวทางเดียวกัน ใช่ว่าฝ่ายหนึ่งต้องการเร่งกระตุ้นให้เศรษฐกิจโตยังมุ่งตัวเลขการเติบโต อีกฝ่ายหนึ่งมะรุมมะตุ้มที่ปัญหาวินัยสร้างความมั่นคง ตลอดเวลามีแต่ข่าวที่แขวะกันอยู่ ต้องตกลงกันให้ชัดเจนไม่ใช่เป็นปัญหาที่ยากเกินแก้ เช่น สิงคโปร์เองก็เคยมีเศรษฐกิจที่โตแบบติดลบต่อเนื่องกันสองสามปีในหลายปีก่อน แต่เขายอมรับสภาพที่โตเกินจริง ห้องพักโรงแรมล้นเหลือก็เพราะโครงสร้างอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้นไม่สมจริง บางครั้งเคยถึงขนาดประกาศให้ครอบครัวใหม่แยกเรือนเพื่อจะได้กระตุ้นอุปสงค์ของอสังหาริมทรัพย์ก็เคยทำ แต่ในที่สุดเขาประกาศให้สร้างครอบครัวที่สมบูรณ์พูนสุขโดยการรวมคนสามวัยไว้ในครอบครัวเดียวกัน
นี่คือความคล่องตัวของสิงคโปร์ เขาจึงสามารถทำได้ทันทีเขาก็ผ่านวิกฤตมาก่อน สหรัฐอเมริกาเองเป็นประเทศที่เสรีนิยมต้นแบบ ที่สุดแล้วครั้งหนึ่งในแคลิฟอร์เนีย เมื่อแล้งถึงขั้นต้องจำกัดการใช้น้ำ แต่ในปีต่อมาน้ำมากทางการก็บังคับให้ประชาชนช่วยกันใช้น้ำ สิ่งเหล่านี้ในประเทศเศรษฐกิจเสรีที่แท้จริงเขามีการดุลกลไก(Monitor)ให้ระบบอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดเวลา
แม้แต่ตลาดหุ้นฮ่องกงเมื่อช่วงปี 1984 ต่อ 1985 ที่อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงเหล็กแทตเชอร์ได้เคยไปพูดกับจีนในเรื่องฮ่องกงไม่ลงตัวตลาดหุ้นดัชนีฮั่งเส็งหล่นพรวดจาก 1,500-1,600 จุด เหลือเพียง 600 จุดเท่านั้น เพียงปีเศษก็สามารถกลับขึ้นมาระดับสูง 1,100-1,200 จุด ได้
รัฐบาลต้องหันมาคำนึงถึงปัญหาที่แท้จริงของปมปัญหา ไม่จำเป็นต้องเร่งอัตราก้าวหน้า โอกาสนี้เป็นโอกาสที่ดีในยามเศรษฐกิจถดถอย มาเพิ่มศักยภาพคน ระบบการผลิต ตลอดจนชนิดและระดับของผลิตภัณฑ์ต่างๆเพื่อมุ่งในระยะยาว ที่ผ่านมาเราเจอมรสุมปัญหาการขาดแคลนบุคลากร เทคโนโลยีการผลิต เทคโนโลยีการจัดการ มาตรการแสวงหาตลาดเพิ่ม การรักษาตลาดเก่าเอาไว้ ปัญหาต่างๆไม่ใช่จะแก้ไขได้โดยการทำเป็นลืมหรือปล่อยเฉยๆ "นี่ไม่ใช่ปัญหาการเมืองแต่เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจจึงต้องว่ากันด้วยประสิทธิภาพ เพราะเป็นการแข่งขันกับคนนอกประเทศเพราะยิ่งช้ายิ่งไม่เป็นการ ยิ่งนานยิ่งไม่เป็นคุณ เผลอหน่อยเดียวมาเลเซียวิ่งนำหน้าไปแล้ว" การแก้ปัญหาชนิดที่ต้องทุ่มการช่วยเหลือเฉพาะเป็นกลุ่มๆนั้น ไม่เป็นธรรมกับคนทั้งประเทศและไม่เพียงแต่ไม่แก้ปัญหาที่แท้จริงเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความไร้ประสิทธิภาพ
ดังนั้นรัฐต้องคำนึงถึง วินัย ความมั่นคง เพื่อการขยายตัวที่เป็นจริง และมีประสิทธิภาพเท่านั้น จึงจะสามารถยังประโยชน์กับประเทศชาติที่แท้จริง และสำคัญที่สุดคือสามารถแข่งขันได้ในตลาดเสรีที่แท้จริง
ในฐานะที่เป็นผู้เคยมีประสบการณ์ ค้าเงินตราและบริหารเงินตราต่างประเทศมาบ้าง ได้เห็นการลดค่าเงินบาทมาหลายครั้งด้วยกัน เห็นใจ เข้าใจ เห็นความจำเป็นที่ต้องทำการลดค่าทุกครั้งเสมอมาในอดีต เพราะไม่สามารถมองเห็นช่องทางอื่นเลยที่ยับยั้งแก้ไขปัญหาในขณะนั้นได้ สำหรับปัญหาครั้งนี้ ในฐานะนักปฏิบัติ ผมกลับมองเห็นว่า การจะไม่ลดค่าเงินบาทนั้นยังพอทำได้ แต่ต้องมีกระบวนท่าตั้งรับและรุกต่อเนื่อง
"สมมติว่าต้องลดค่าเงินบาทกันก่อน" คิดง่ายๆ ถ้าต้องลดค่า 1 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เฉพาะหนี้ภาคเอกชนกว่า 90,000 ล้านเหรียญสหรัฐนี้ ต้องมีมูลหนี้เพิ่มขึ้นทันที 90,000 ล้านบาท ถ้าอนุมานว่าต้องลดค่าถึงร้อยละ 20 ของอัตราปัจจุบัน ก็จะประมาณ 5 บาทต่อเหรียญสหรัฐ นั่นหมายความว่ามูลหนี้เพิ่มขึ้นทันที 450,000 ล้านบาท หรือประมาณครึ่งหนึ่งของงบประมาณปี 2541 และจะต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นทันทีอีกร้อยละ 6-10 ของยอดหนี้ที่เพิ่มขึ้นด้วย แล้วแต่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แต่ละบริษัทที่ได้มาจากต่างประเทศ เห็นแค่นี้ก็ค่อนข้างจะปวดหัวแล้ว และถ้าเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศต้องลดลงไปเรื่อยๆ เราก็จะมีปัญหาเพิ่มมาบีบรัดอีก เร่งให้ต้องทำการลดค่าเร็วขึ้น ตัวเลขข้างต้นนี้ประมาณว่า อาจจะเสียหายเหลือเพียงร้อยละ 60 อีกร้อยละ 40 คงต้องล้มละลายไปก่อน ถ้าเป็นหนี้ที่ไม่มีสถาบันใดๆในประเทศค้ำประกัน ก็คงต้องไปฟ้องร้องกันเอาเอง เช่นที่ออกเป็นพันธบัตรหุ้นกู้จากบริษัทมหาชนหลายแห่งไปขายในต่างประเทศ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อไปอีก ต่อวงการเงินในต่างประเทศ ต่อประเทศไทย ที่ต้องใช้เงินกู้ต่างประเทศมาอุดหนุนช่องว่างผลต่างปริมาณการใช้เงินและสภาพคล่อง ถ้าโชคดีก็เป็นเพียงได้รับกู้ในอัตราที่แพงสูงขึ้น ถ้าโชคร้ายก็หมายถึงขาดวงเงินที่จะกู้ได้ด้วย
"ถ้าจะไม่ลดค่าเงินบาท" ต้องเร่งกระบวนรับและกระบวนรุกต่อเนื่องอย่างน้อยที่พออนุมานได้ขณะนี้ 10 ประการด้วยกัน
1.อย่าหลอกตนเอง
ที่ผ่านมาตัวเลขทางการและคนของทางการที่คาดหวังอย่างลมๆแล้งๆว่าปลายปี 2540 จะดีขึ้นนั้น ถ้าใครรายงานเช่นนี้ต่อพณฯผู้รับผิดชอบแล้ว อย่าได้หลงเชื่อ ถ้าไม่ประหารชีวิตก็เอาขึ้นหิ้งไว้ก่อนเพราะว่าสอพลอไร้บรรทัดฐาน เดี๋ยวจะเผลอไปสัญญาขึ้นค่าแรง ขึ้นเงินเดือน ทำให้ยุ่ง ข้อนี้ห้ามเด็ดขาด
อนุญาตให้รายงานตัวเลขเศรษฐกิจจะดีขึ้นได้เพียง 2 ตัวเท่านั้น คือ
หนึ่งอัตราเงินเฟ้อ เพราะไม่มีสภาพคล่องอยู่แล้ว อุปสงค์ก็ต้องลดลงโดยอัตโนมัติ มิได้โดยฝีมือใครเป็นพิเศษ
สองปริมาณนำเข้าของสินค้าต่างๆต้องลดลง ซึ่งเป็นไปตามภาวะการณ์ ถ้าจะใช้ฝีมือต้องออกแรงเร่งติดตามปริมาณที่ลดลงให้สูงเป็นการกวดขัน เช่น ใช้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกับสินค้านำเข้าที่ฟุ่มเฟือย หรือจำกัดวงเงิน ต้องดูข้อตกลงตรงนี้ให้ดีกับต่างประเทศ พันธะต่างๆที่ผูกไว้กับ IMF และ WTO ด้วย
ถ้ามีตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆที่ดีขึ้น ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน ก่อนที่จะพูดผิดไป
2.สถานภาพตลาดภูมิภาคเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
จากเดิมเราเคยมีตลาดการค้าที่ผูกติดกับบ้านเพื่อนเมืองเรา ทั้งพม่า ลาว เขมร ต่อไปถึงชายแดนเวียตนาม ซึ่งเป็นตลาดที่มีอุปสงค์ใกล้เคียงกัน เป็นตลาดปิดส่วนมาเลเซียและ สิงคโปร์เป็นตลาดเปิด หลายปีก่อนตัวเลขการค้าระหว่างชายแดน หรือปริมาณการค้าชนิดและสินค้าต่างๆนั้น ในส่วนของตลาดปิดได้อาศัยสินค้าจากประเทศไทยไปใช้ แต่ปัจจุบันประเทศดังกล่าวทุกประเทศได้เปิดตลาดมีทางเลือกมากขึ้น ปริมาณส่วนนี้กับประเทศไทยจึงเปลี่ยนแปลงลดไป
ในขณะเดียวกันธุรกิจกับประเทศเปิดอย่างมาเลเซียและสิงคโปร์นั้นอดีตเรายังเคยมีรายรับนอกระบบจากการค้าแร่เถื่อนและของผิดกฎหมาย ที่จำได้คือ สิงคโปร์มีโรงถลุงแร่ถึง 7 โรง ในขณะที่ไทยมีเพียงโรงเดียว เมื่อช่องว่างภาษีหมด ประจวบกับทรัพยากรแร่ดีบุกลดลงไปมาก ธุรกิจแร่เถื่อนก็หมดไป ยังคงเหลือแต่ธุรกิจนำเข้านอกระบบ เช่น น้ำมันเถื่อนหรือของบริโภคฟุ่มเฟือยต่างๆ ซึ่งต้องใช้เม็ดเงินออกไปโดยไม่มีการรายงานเป็นทางการ เราต้องรับรู้ว่าดุลนอกระบบเสียศูนย์แล้ว เป็นสัญญาณอันตรายอีกทางหนึ่ง
3.ความต้องการที่แท้จริงของไทยและต่างประเทศ
ต้องยอมรับว่าประเทศไทยต้องอาศัยเม็ดเงินจากต่างประเทศมาจุนเจือ ดุลบัญชีเดินสะพัด ดุลการชำระเงินที่เกิดจากการขาดดุลการค้ามาตลอดและเราไม่สามารถสร้างเงินออมเองได้พอเพียง และที่สำคัญดุลบริจาคที่เคยได้เกินดุลมานานต้องเสียดุลในระยะหลังด้วย จึงเป็นเรื่องที่ต้องระวังตัวมากขึ้น มาดูที่มาของเงินตราต่างประเทศ
-เงินตราต่างประเทศที่จะได้จากการค้า เราเสียดุลมากกว่า 35 ปีแล้วอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นปี 2528 - 2529 ที่ได้ดุลการค้ามาเล็กน้อย ภายหลังการลดค่าเงิน 4 บาทต่อเหรียญหรือประมาณร้อยละ 15 จาก 23 บาท เป็น 27 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐ เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2527
-เงินตราต่างประเทศที่จะได้จากการบริการก็เช่นเดียวกัน ขาดดุลเพราะนึกว่ารวยมาก จึงเที่ยวมาก ใช้เงินในต่างประเทศมาก
-เงินตราต่างประเทศที่จะได้จากการมาลงทุนของต่างชาติในรูปต่างๆ ทั้งทางอุตสาหกรรม กิจการต่างๆ ตลอดจนเข้ามาซื้อหุ้น ซื้อตราสารต่างๆ พันธบัตรหุ้นกู้ประเภทต่างๆ ตลอดจนซื้อบ้าน อาคารชุด
-เงินตราต่างประเทศที่ได้จากการกู้ยืม ซึ่งจะมีกำหนดอายุแน่นอน ยาวบ้างสั้นบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นภายใน 1 ปี แล้วต่ออายุได้ยามเครดิตเรตติ้งสูง แต่จะมีปัญหาในการต่ออายุยามที่เครดิตเรตติ้งต่ำลง ทั้งต้นทุนก็สูงขึ้น
ต่างชาติเองต้องลงทุนเพราะเขาเป็นประเทศเสรีทุนนิยม จึงจำเป็นต้องขยายความก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลาต้องหาตลาดที่จะไปลงทุน ซึ่งในวันนี้ ภูมิภาคที่เหลือพอจะเลือกลงทุนแล้วสบายใจก็เหลือแถบทางเอเซียตะวันออกไกล และเอเซียอาคเนย์ เพราะฉะนั้นประเทศไทยจึงเป็นประเทศหนึ่งที่เขามักจะต้องมีสัดส่วนในการลงทุนเสมอ เพราะเชื่อมั่นในพระบารมีของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่จะสามารถรักษาการปกครองในระบอบเสรีนิยม และแนวทางการบริหารการเงินในอดีตที่ผ่านมาของสถาบันส่วนใหญ่

4. ผลต่างของอัตราดอกเบี้ย
ผลต่างของอัตราดอกเบี้ยและระบบการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งคุ้นเคยและคาดการณ์ได้สะดวก มีความเสี่ยงที่พอกำกับได้ แต่ในระยะหลังมานี่ เขาเริ่มลังเลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ การตัดสินใจที่มีผลประโยชน์ผูกพันอย่างชนิดไร้เหตุผล การเก็งกำไรที่ไม่มีกรอบเกณฑ์บ่อยครั้ง ความไม่ศักดิ์สิทธิ์ของกฏหมาย การเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ และเศรษฐกิจฟองสบู่ในขั้นสุดท้ายที่ทำให้เขาต้องระวังตัวและลดความเสี่ยงลง
อย่างไรก็ตามตัวเกณฑ์ที่สำคัญก็คือ ผลประโยชน์ที่ได้จากส่วนต่างของดอกเบี้ยในอัตราที่ค่อนข้างสูงและควบคุมความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนได้บ้าง ซึ่งมีผลต่างทางดอกเบี้ยตั้งแต่ 2-5 % จึงนับเป็นเรื่องที่ต่างชาติละทิ้งเราได้ยาก แต่เมื่อมีความเสี่ยงทางด้านอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่มั่นใจในเสถียรภาพค่าเงินบาท ก็จะเป็นเหตุให้เกิดความชะงักงัน ซึ่งก็จะเป็นผลต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ร้อยกันไปร้อยกันมา
การเอาจริงเอาจังกับการกำกับสถาบันการเงินให้ได้มาตรฐานนี้ จะเป็นปราการที่สำคัญอีกด่านหนึ่งที่ทำให้ผู้ที่มาให้กู้ยืมแล้ว เขากล้าที่จะอยู่ต่อ ทั้งนี้ควรเร่งแก้ปัญหาเรื่องเงินบาทนอกประเทศและเงินบาทในประเทศให้มีสภาวะใกล้เคียงกันและป้องกันการเก็งกำไรโดยการ ติดตามตรวจสอบที่ใกล้ชิดอย่างที่ทำอยู่แล้วสม่ำเสมอ
เมื่อทุกอย่างเข้าที่และคืบหน้าจริงจังในเชิงรุก เงินตราต่างประเทศที่ไหลออกก็จะหยุดไหลออก และกลับเป็นไหลเข้าในที่สุด ในเรื่องของการนำเข้า ประชาชนทั้งประเทศจะต้องร่วมกันรัดเข็มขัด มัธยัสถ์สักระยะหนึ่งให้ปริมาณการนำเข้าของสินค้าต่างๆ ลดลงอย่างเห็นชัด ก็จะเป็นการช่วยที่ตรงและได้ผลที่สุดมาตรการหนึ่ง ซึ่งรัฐต้องเร่งประชาสัมพันธ์
5.ต้องเลิกฉ้อราษฎร์บังหลวง
เพื่อช่วยลดเงินเฟ้อสั่งสม ในบรรดาสาธารณูปโภคทุกชนิดที่มีการฉ้อราษฏร์บังหลวง ล้วนแต่ต้องถ่ายราคาลงไปยังผู้บริโภค ยิ่งสาธารณูปโภคที่ต้องใช้เป็นประจำ ต้นทุนเหล่านี้จะฝังตัวเป็นค่าใช้จ่ายที่ทำให้ศักยภาพการแข่งขันด้อยลงและซ่อนเป็นเงินเฟ้อไว้ตลอดเวลา
แม้กระทั่งในประเทศญี่ปุ่นเองที่พ่อค้าส่งออกของญี่ปุ่นเคยบ่นเสมอ เพราะการขนส่งส่วนใหญ่มีมาเฟียรับผิดชอบร่วมกับนักการเมืองอีกต่อหนึ่ง เช่น คาเนมารุ งานก่อสร้างใดๆ ที่เอาปริมาณปูน เหล็ก หิน ทราย และค่าแรง รวมแล้วห่างไกลจากราคาที่รัฐจ่ายไป ยิ่งห่างเท่าไรก็หมายถึงค่าเสียโอกาสของประเทศและประชาชนสูงมากขึ้น นี่ยังไม่ต้องไปคิดถึงค่าที่ปรึกษา นั่นก็เป็นอีกช่องหนึ่งของการจ่ายเงินตราไปต่างประเทศ

6.โครงสร้างภาษี
ในยามภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยเช่นนี้เป็นเวลาที่รัฐและฝ่ายบริหารจำเป็นจะต้องดูแลภาคเอกชนให้มีขวัญกำลังใจรักษาระบบการผลิตการตลาดไว้ และต้องดูแลเสมือนข้าราชการที่ไม่ได้รับเงินเดือนจากรัฐด้วยซ้ำไป หันไปกระเบียดกระเสียรทางด้านงบใช้จ่ายจะดีกว่าและถ้าจะขึ้นเงินเดือนกลุ่มใดกลุ่มเดียวนั้นก็ไม่เป็นธรรม ควรพยายามหาทางลดภาษีซึ่งทุกฝ่ายทุกคนจะได้รับร่วมกัน เป็นการลดค่าใช้จ่ายเพิ่มเงินออมอีกทางหนึ่งของระบบ ยามนี้ต้องเลิกแบ่งภาครัฐภาคเอกชน ต้องพยายามรวมกันประหยัด มัธยัสถ์ หนทางเดียว
7.กระตุ้นระบบการผลิต
สร้างขวัญกำลังใจให้ทุกฝ่ายมีความหวัง เช่นเดียวกับบริษัทในญี่ปุ่นเมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย บริษัทที่ขอให้ลูกจ้างทั้งหมดลดเวลาทำงานครึ่งวันหันไปทำหน้าที่ขายแทน ต่างจากบริษัทที่ให้พนักงานออก ปรากฏว่ายอดขายสูงไม่ต้องมีสินค้าคงคลัง ยามนี้รัฐต้องเป็นหัวหน้าโดยเฉพาะฑูตทุกท่านในสังกัดทุกกระทรวงในต่างประเทศต้องหันมาสมานความคิดรวมกันแข่งกันเป็นประเทศๆ ทุกประเทศหาตลาดเพิ่มได้ร้อยละ 10 นั่นแหละครับคือขวัญและเป้าที่แท้จริงที่จะส่งออกเพิ่มขึ้นได้ร้อยละ 10 แต่ถ้า พณฯ รัฐมนตรีพาณิชย์บอกว่าตัวเลขที่ได้เป็นของเอกชนให้มาแล้ว เลยเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น บัดนี้ผลงานหกเดือนออกมาแล้วล่ะครับ
8.ปรับขยายช่วงอัตราแลกเปลี่ยน
ควรต้องหามาตรการที่จะทำให้อัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นอยู่ในขณะนี้สะท้อนกับสภาพเศรษฐกิจได้มากขึ้น พยายามให้สภาพอุปทาน อุปสงค์ ที่แท้จริงของตลาดเป็นกลไกสะท้อนอัตราที่แท้จริงด้วย โดยให้ช่วงอัตราแลกเปลี่ยนกว้างขึ้น สามารถขยับขึ้นลงสอดคล้องกับสภาวะอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินหลักๆในตลาดสากล ฟิลิปปินส์ที่เคยอยู่ข้างหลังเราปัจจุบันนี้เขายืนเสมอและล้ำเราในบางเรื่องแล้ว การปรับช่วงอัตราแลกเปลี่ยนที่เขาทำไว้ลองเหลือบๆ ดูบ้างอาจเป็นประโยชน์
ส่วนสงครามปะทะกับนักเก็งกำไรก็ควรที่จะหาทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย เหมือนกับมาตรการค้ำประกันเงินฝากของสถาบันการเงิน ถ้าจะหาประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยควรต้องมีระยะยาวพอควร ถ้าจะหาประโยชน์จากเก็งกำไรก็ต้องสู้กันต่อไป และคงยอมกันไม่ได้ ให้ประชาชนได้รับรู้บ้างจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง อย่าปิดประตูตีแมวไม่ใช่ทางแก้ไขฉันท์มิตร


9.เร่งสร้างเงินออมในระบบ
ต้องเรียกร้องให้ประชาชนยอมรับ รัดเข็มขัด มัธยัสถ์ สร้างตลาดเงินฝากระยะยาว แบ่งส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายที่จะต้องลดค่าเงิน 450,000 ล้าน มาใช้เป็นโบนัสดอกเบี้ยระยะยาวของเงินบาทภายในประเทศ ส่วนภายนอกประเทศเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องพิจารณา ใช้ต้นทุนส่วนนี้ในการรักษาและพัฒนาเงินฝากระยะยาวเพื่อความมั่นคงของตลาดเป็นการซื้อเวลามาทำการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้อยู่ในครรลอง
10.หันมาดูเรื่องคาวๆ
ข่าวคาวทั้งหลายที่มีผลกระทบต่อการใช้งบประมาณในทางที่ไม่สร้างสรรค์และมีข้อฉ้อฉลคลางแคลงใจ รัฐต้องใช้ความกล้าหาญ ยก หยุด ยุติเรื่องไว้ก่อน พณฯท่านทั้งหลายท่านยังมีโอกาสที่จะได้ทำงานอีกเยอะ ถ้าท่านชะลอในสิ่งควรชะลอเหล่านี้ไว้ก่อน หาไม่เช่นนั้นเมื่อเศรษฐกิจหลักหัวทิ่มหมด ถึงส่วนตัวท่านจะมีเศรษฐกิจดีเพียงไรก็ตามแต่ ท่านอาจจะไม่มีแผ่นดินไทยได้อาศัย อย่าทำล้อเล่นดูอย่างอัลบาเนียแค่ลอกแบบแชร์ชม้อยวงน้อยๆ ไป รัฐบาลยังอยู่ไม่ได้ก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว


ติดตามอ่านบทความใหม่ได้ทุกๆสัปดาห์ Back to Home