การใช้มือวัดระยะทางเชิงมุมของดาว
การวัดระยะทางเชิงมุมเป็นการบอกตำแหน่งของดาวหรือวัตถุท้องฟ้าโดยเป็นมุม(ซึ่งหมายถึงมุมระหว่างเส้นตรง2เส้นที่
ลากจากตาของเราบนโลกไปยังดวงดาวบนท้องฟ้า) เช่น
ดาวเหนืออยู่สูงจากขอบฟ้า 13 องศา ดวงจันทร์เฉียดดาวเสาร์ 1 องศา เป็นต้น
นอกจากนี้ก็ยังมีการทำมือในลักษณะอื่นๆ อีก
1 กำปั้น = 10
องศา
ปลายนิ้วโป้งถึงปลายนิ้วก้อย = 22 องศา
(กางนิ้วให้เต็มที่)
ปลายนิ้วชี้ถึงปลายนิ้วก้อย = 15 องศา (กางนิ้วให้เต็มที่)
ความหนาของนิ้วชี้ = 2 องศา
ความหนาของนิ้วชี้กับนิ้วกลาง = 4 องศา
ความหนาของนิ้วชี้,นิ้วกลาง,นิ้วนาง
= 5 องศา
ความหนาของนิ้วก้อย = 1 องศา
หนังสืออ้างอิง การดูดาวขั้นต้น นิพนธ์ ทรายเพชร
สำรวจท้องฟ้าด้วยกล้องสองตา
กล้องส่องทางไกลแบบสองตาเป็นอุปกรณ์ดูดาวอย่างหนึ่งที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางเพราะพกพาสะดวกและช่วยให้เห็น
ดาวที่มีความสว่างน้อยๆได้ชัดเจนยิ่งขึ้นกล้องสองตามีหลายชนิดและหลายขนาดให้เลือกใช้ถ้ากำลังขยายน้อยก็จะดูได้เป็นบริเวณกว้าง
แต่เห็นรายละเอียดได้น้อยกว่ากล้องที่มีกำลังขยายมาก โดยทั่วไปมักนิยมใช้ขนาด
7 x 50 (เพราะเมื่อคำนวณด้วยการนำเลขตัวหน้าไป
หารเลขตัวหลังจะได้ค่าประมาณ7ซึ่งจะเหมาะกับม่านตาของเรา)และถ้าใช้กล้องสองตาที่มีกำลังขยายมากๆก็ควรใช้ขาตั้งกล้องด้วย
เพื่อกันกล้องสั่นกล้องสองตาใช้สำรวจอะไรในท้องฟ้าได้บ้าง
ห้ามใช้กล้องสองตาดูดวงอาทิตย์โดยเด็ดขาดถึงแม้จะมีแผ่นกรองแสงสำหรับใช้ดูดวงอาทิตย์โดยเฉพาะก็ยังต้องใช้ความ
ระมัดระวังอย่างสูงถ้าใช้กล้องที่มีกำลังขยายสูงสักหน่อยก็จะสามารถเห็นรายละเอียดต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นภูเขา หลุมอุกาบาตบน
ดวงจันทร์ด้านใกล้ได้และ แสงจากดวงจันทร์ก็ไม่เป็นอันตรายกับสายตาเนื่องจากเป็นเพียงแสงสะท้อนเท่านั้น
ดาวพุธ
จะเห็นได้ง่ายด้วยกล้องสองตาในเวลาเช้ามืดหรือหัวค่ำถ้าดูในสถานที่ที่เหมาะสมและควรเป็นตอนที่ดวงอาทิตย์
ยังไม่ขึ้นหรือลับขอบฟ้าไปแล้วเท่านั้น ถ้ากล้องมีกำลังขยายสูงอาจจะมองเห็นดาวพุธเป็นเสี้ยวได้
ดาวศุกร์
จะเห็นเป็นเสี้ยวและจะเห็นได้ชัดเจนขึ้นเมื่ออยู่ในช่วงที่เห็ดาวศุกร์ได้เกือบเต็มดวง
ดาวอังคาร
เห็นเป็นเพียงดวงกลมๆ สีแดง
ดาวพฤหัสบดี
เห็นเป็นดวงกลมๆได้ชัดแต่จะไม่เห็นรายละเอียดของพื้นผิวถ้าหากกล้องขยายและคุณภาพดีพอก็จะมอง
เห็นดวงจันทร์กาลิเลียนของดาวพฤหัสบดีทั้ง 4 ดวงได้เป็นจุดเล็กๆ(ดวงจันทร์กาลิเลียน
ได้แก่ ไอโอ ยุโรปา คาลลิสโต และแกนิมิต)
ดาวเสาร์
เช่นเดียวกับดาวพฤหัสบดีคือ จะเห็นแค่ดวงกลมๆ ซึ่งถ้ากล้องมีกำลังขยายมากพอก็อาจสังเกตเห็นว่ามีวงแหวน
ได้ โดยจะเห็นว่าดวงกลมๆ นั้นมีรูปร่างผิดปกติเล็กน้อย
ดาวยูเรนัส
มองเห็นได้เป็นจุดแบบดาวทั่วไป แต่ถ้ากล้องมีกำลังขยายสูงก็อาจจะมองเห็นเป็นดวงกลมๆ
ตามลักษณะของดาว
เคราะห์ได้
ดาวเนปจูนและดาวเคราะห์น้อยอาจมองเห็นได้แต่ก็เห็นเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆแบบดาวทั่วไปซึ่งเราจะสามารถแยกแยะออก
จากดาวฤกษ์ได้ก็โดยการสังเกตการโคจรของดาวในแต่ละคืนเท่านั้น
ดาวพลูโต
มองด้วยกล้องสองตาไม่เห็น
ดาวหาง
การดูดาวหางด้วยกล้องสองตาจะมีข้อได้เปรียบกว่ากล้องโทรทรรศน์ตรงที่เห็นได้ทั้งส่วนหัวและหางพร้อมๆ
กัน
จึงเป็นที่นิยมใช้ในหมู่นักล่าดาวหางโดยส่วนใหญ่เขาจะใช้กล้องที่มีกำลังขยาย
12 เท่า
ดาวเทียม
สามารถดูได้โดยการหันกล้องตามดาวเทียมที่กำลังเคลื่อนที่หรืออีกวิธีหนึ่งคือส่องกล้องดูดาวดวงที่เราทราบล่วง
หน้าแล้วว่าเป็นดาวเทียมจะโครจรผ่านมาแล้วรอดาวเทียมเคลื่อนที่เข้ามาในฟิลด์ที่เราดูอยู่
ดาวฤกษ์
จะทำให้เราเห็นสีของดาวได้ชัดเจนยิ่งขึ้นโดยเฉพาะดาวที่มีสีแดงทั้งยังใช้ดูระบบดาวคู่และส่องหาNovaได้โดย
ควรใช้กล้องที่เห็นได้มุมกว้างแต่มีเลนตัวหน้าใหญ่พอสมควร ซึ่งเราเองก็ต้องมีความรู้เกี่ยวกับตำแหน่งของสิ่งที่เราจะดูด้วย
คุณ Patrick Moore (นักดาราศาสตร์ผู้ให้ความรู้ในการใช้กล้องสองตานี้)
บอกว่าแถวๆ ทางช้างเผือกจะมี Nova ปรากฏมากที่สุด
กระจุกดาวกระจุกดาวขนาดใหญ่
เช่นกระจุกดาวลูกไก่(Pleiades)ควรใช้กล้องที่มีกำลังขยายต่ำจะทำให้เห็นได้มุมกว้าง
ซึ่งถ้าใช้กำลังขยายสูงจะเห็นได้ไม่เต็มกระจุกดาว แต่สำหรับกระจุกดาวอื่นๆ
โดยทั่วไปควรใช้กำลังขยายสูงเนบิวลาและดาราจักร
ส่วนใหญ่จะต้องใช้กล้องโทรทรรศน์การดูสิ่งเหล่านี้ แต่ที่ดูได้ด้วยกล้องสองตาก็มีอยู่บ้าง
เช่น Orion nebula , Andromeda galaxy เป็นต้น
ดาวตก
ไม่เหมาะที่จะใช้กล้องสองตาส่องหาดาวตกเพราะเราไม่สามารถทราบตำแหน่งของดาวตกได้
วิธีดูดาวตกที่ดีที่สุด
ก็คือ ดูด้วยตาเปล่า
วิธีการเลือกซื้อกล้องสองตา สรุปได้ดังนี้
1.
เมื่อส่องดูที่ที่สว่างมากๆ จะไม่เห็นเป็นภาพฝ้ามัว(แฟลร์)
2.
เห็นสีสันตรงกับความเป็นจริง
3.
ส่องดูเส้นตรงแล้วไม่โค้งงอ
4.
ดูนานๆ แล้วไม่ปวดตา
ข้อมูลจากหนัง
Exploring the Night Sky with Binoculars โดย Patrick Moore
การสร้างกล้องดูดาวอย่างง่าย
กล้องดูดาว
(Telescope) กล้องดูดาวเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ใช้ในการสังเกตรายละเอียดของดวงดาวและวัตถุ
บนท้องฟ้ากล้องดูดาวใช้ศึกษาสังเกตดวงดาวในช่วงของแสงสว่างแบ่งตามลักษณะการทำงานได้เป็น
3 ชนิด คือ
ชนิดหักเหแสง
(Refractor) ใช้เลนส์นูนเป็นตัวรวมแสง ชนิดสะท้อนแสง(Reflector)
ใช้กระจกเว้าเป็นตัว
รวมแสง
กล้องชมิดท์
(Schmidt Camera) ใช้เลนส์ที่ออกแบบเป็นพิเศษคู่กับกระจำเว้าเป็นตัวรวมแสงเหมาะสำหรับ
ถ่ายภาพเพื่อให้ได้ภาพที่มีความคมชัดสูง ในจำนวนกล้องดูดาวทั้ง 3 ชนิด
กล้องดูดาวชนิดหักเหแสงมีส่วนประกอบและ
การสร้างซับซ้อนน้อยที่สุด รวมทั้งพอที่จะจัดหาอุปกรณ์และชิ้นส่วนมาจัดสร้างได้โดยไม่ยุ่งยากมากนักการทำงานของ
กล้องดูดาวชนิดหักเหแสงกล้องดูดาวชนิดหักเหแสงเลนส์วัตถุใช้เลนส์นูนขนาดใหญ่ทางยาวโฟกัสมากเป็นตัวรวมแสง
จากวัตถุท้องฟ้ามาสร้างเป็นภาพและใช้เลนส์นูนขนาดเล็กทางยาวโฟกัสสั้นเป็นเลนส์ตาขยายภาพที่เกิดจากเลนส์วัตถุ
ส่วนประกอบของกล้องดูดาวอย่างง่าย
*เลนส์วัตถุ เป็นเลนส์นูนขนาด 3 นิ้ว ทางยาวโฟกัส 100 ซม.
*กระบอกยึดเลนส์วัตถุ
ใช้ข้อต่อตรงของท่อเอสลอนขนาด 3 นิ้ววัดภายใน เพื่อให้สามารถใส่เลนส์วัตถุได้พอดี
*วงแหวนยึดเลนส์วัตถุ
ใช้ท่อเอสลอนขนาด 3 นิ้ว ตัดเป็นวงแหวนใส่เพื่อยึดเลนส์วัตถุให้ติดแน่นกับกระบอกยึด
โดยแบ่งตัดมาจากท่อที่ใช้งานทำตัวกล้อง
*ตัวกล้อง
ใช้ท่อเอสลอนขนาด 3 นิ้วอย่างหนาใส่เข้ากับข้อต่อตรงได้พอดี ความยาว 80
ซม.
*ข้อต่อลดขนาด
ใช้ข้อลดเอสลอนขนาด 3 นิ้ว เพื่อให้สวมกับตัวกล้องได้พอดีด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งมีขนาด
1 นิ้ว
เพื่อสวมท่อเลนส์ตาได้พอดี ข้อลดด้านที่จะต้องสวมท่อเลนส์ตานี้จะต้องใช้
บังอย่างกลมหรือ ตะไบกลมอย่างหยาบฝน
ขยายช่องให้เรียบ เพื่อให้ท่อสวมเลนส์ตาขยับผ่านได้พอดี ไม่หลวมไม่ฝืดเกินไปใช้สำหรับปรับความชัดของภาพ
*ท่อเลนส์ตา
ใช้ท่อเอสลอนขนาด 1 นิ้วอย่างหนา สวมเข้ากับข้อลดได้พอดีและช่องภายในก็จะใส่เลนส์ตา
ได้พอดีด้วยยาวประมาณ 15-20 ซม.
*เลนส์ตา
ใช้เลนส์นูนขนาด 2 ซม. ทางยาวโฟกัส 2.5 ซม. เลนส์จะใส่ในท่อสวมเลนส์ตาได้พอดี
ยึดเลนส์ตา
ให้ติดกับท่อเลนส์ตา โดยการตัดท่อเลนส์ตาเป็นวงแหวนกว้างประมาณครึ่งเซนติเมตร
2 ชิ้นแล้วตัดวงแหวนใส่เข้าไปใน
ท่อใส่เลนส์ตาตามเข้าไป แล้วบีบวงแหวนอีกชิ้นหนึ่งเข้าไปยึดให้เลนส์ตาติดแน่นกล้องที่สร้างชุดนี้จะมีกำลังขยายประมาณ
40 เท่า ส่องสังเกตเห็นหลุมบ่อบนดวงจันทร์ วงแหวนดาวเสาร์ แถบเมฆของดาวพฤหัสบดี
รวมทั้งดวงจันทร์บริวารบางดวง
ดาวศุกร์เป็นเสี้ยวฯลฯภาพที่ได้แม้จะไม่ดีมากนักเป็นสีรุ้งเพราะใช้เลนส์ธรรมดาแต่ก็สามารถทำให้เราได้รู้ได้เห็นดวงดาว
ที่สวยงามน่าประทับใจสำหรับขาตั้งกล้องอาจใช้ขาตั้งกล้องถ่ายรูปที่แข็งแรงมาดัดแปลงใช้ก็ได้
วิธีแก้สีรุ้งให้ลดลง
ตัดกระดาษดำเป็นวงกลมขนาดเท่ากับเลนส์วัตถุแล้วเจาะรูตรงกลางขนาดของรูประมาณ
2 นิ้ววางที่ตำแหน่ง
ของเลนส์วัตถุเพื่อบังแสงบางส่วนที่ผ่านเลนส์วัตถุ หรือใช้เลนส์ตาที่แก้ความคลาดสี(Achromatic)ซึ่งเป็นเลนส์นูน
1 ชิ้น
ประกบกับเลนส์เว้า 1 ชิ้นเลนส์ตาแบบนี้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 ซม. ความยาวโฟกัส2.5
ซม. มีขายที่ศึกษาภัณฑ์ราชดำเนิน
และร้านดาราภัณฑ์ ราคาประมาณร้อยกว่าบาท ถ้าทำทั้ง2 อย่างจะลดสีรุ้งได้ดี
การถ่ายภาพดาราศาสตร์อย่างง่าย
การถ่ายภาพดาราศาสตร์ไม่จำเป็นต้องลงทุนใช้กล้องถ่ายรูปราคาแพง
เพียงกล้องที่สามารถเปิดชัตเตอร์ค้างได้นาน
หรือกล้องถ่ายรูป SLR ที่ใช้ฟิล์ม 35 มม. สายลั่นชัตเตอร์ พร้อมเลนส์ และขาตั้งกล้องสามขาก็ใช้ถ่ายภาพท้องฟ้ามุมกว้าง
ถ่ายภาพกลุ่มดาว
ดาวตก ดาวหางได้แล้วการถ่ายภาพดาราศาสตร์ควรเข้าใจเรื่องสำคัญบางอย่างคือ
ความเร็วในการรับแสง
(Speed) หมายถึง เวลาที่ใช้ในรับปริมาณแสงจากวัตถุหรือดวงดาวผ่านเลนส์เข้ามากระทบ
ระบบฟิล์มทำให้เกิดปฏิกิริยาพอดี ถ้าเลนส์มีขนาดโตยอมรับปริมาณแสงได้มาก
เกิดปฏิกิริยาบนฟิล์มรวดเร็วหรือมีความไวในการสร้าง
ภาพได้มากความไวในการสร้างภาพ จึงขึ้นอยู่กับ f/Ratio ของเลนส์ ซึ่งหมายถึงอัตราส่วนเส้นผ่าศูนย์กลางต่อความยาวโฟกัสของเลนส์
เลนส์ที่มีค่า f/Ratio สูงจะมีความไวน้อยกว่าเลนส์ที่มีค่า f/Ratio ต่ำรูรับแสง
ภายในเลนส์ถ่ายภาพทุกตัวมีตัวควบคุมปริมาณแสงอยู่ คือ
รูรับแสงซึ่งปรับให้กว้างรับแสงได้มาก หรือปรับให้แคบรับแสงได้น้อย ขนาดรูรับแสงแสดงเป็นตัวเลข
f-number หรือ f-stop ค่าตัวเลข
น้อยขนาดรูรับแสงจะกว้าง เช่น f1.4 มี
ขนาดรูรับแสงกว้างกว่าและมีความไวกว่า f5.6 เป็นต้น
การถ่ายภาพท้องฟ้าบริเวณกว้างหรือถ่ายภาพกลุ่มดาวสภาพท้องฟ้าที่เหมาะกับการถ่ายภาพท้องฟ้าและกลุ่มดาว
คือ ต้องเป็นคืนที่อากาศโปร่งแสงจากแสงจันทร์แสงจากตัวเมืองและหมอกควันสิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือโลกของเราหมุนรอบตัวเองดวงดาว
จึงปรากฏเคลื่อนที่บนท้องฟ้าจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตกและปรากฏเป็นเส้นสว่างในภาพถ่ายอันเนื่องมากจากกล้องถ่ายรูปอยู่กับที่
อย่างไรก็ตาม ถ้าเราถ่ายภาพท้องฟ้าบริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตรฟ้า (Celestial
Equator) โดยใช้เลนส์ 50 มม. และเปิดหน้ากล้องหรือชัตเตอร์
นาน 30 วินาที หรือนานเพิ่มขึ้นเป็น45 วินาที ดาวฤกษ์จะไม่แสดงให้เห็นการเคลื่อนที่
แต่ถ้าถ่ายภาพท้องฟ้าบริเวณห่างจากเส้นศูนย์สูตรฟ้า
โดยใช้เลนส์ 100 มม. แม้เปิดชัตเตอร์เพียง15 วินาที ก็ได้ภาพดาวฤกษ์ซึ่งแสดงการเคลื่อนที่ชัดเจน
ฟิล์มที่ใช้ถ่ายภาพควรมีความไวแสง
(ASA หรือ ISO)สูงเช่น ความไวแสง 400-1600 หรือเป็นฟิล์มสไลด์ความไวสูงๆ
ซึ่งสามารถนำไปขยายใหญ่และสามารถใช้พิมพ์บน
กระดาษอัดรูปได้
การถ่ายภาพดาวฤกษ์เป็นเส้นการถ่ายภาพดาวฤกษ์ให้ปรากฏเคลื่อนที่เป็นเส้นทางยาวในภาพ
เพื่อแสดงการหมุนรอบตัว
เองของโลก ทำได้โดยใช้สายลั่นชัตเตอร์เปิดหน้ากล้องนานประมาณ 20 วินาที แล้วใช้กระดาษแข็งสีดำขนาดใหญ่พอปิดหน้าเลนส์ไว้ให้มิด
ปิดไว้ 1 นาที แล้วจึงเปิดทิ้งไว้นาน 8 นาที จึงปิดหน้ากล้องอีก สลับกันไปผลที่ได้คือ
ภาพแสดงแนวทางที่โลกหมุนโดยมีดาวฤกษ์ปรากฏ
เป็นเส้นสว่าง
อาณาเขตท้องฟ้าบนแผ่นฟิล์มอาณาเขตท้องฟ้าที่สามารถถ่ายภาพลงบนฟิล์มขนาด
35 มม. ขึ้นอยู่กับทางยาวโฟกัสของ
เลนส์ปกติ 50 มม. จะได้ภาพเขตท้องฟ้าเป็นมุม 28 องศา x 41 องศา ดังนั้นจึงควรคาดคะเนเขตท้องฟ้าที่ต้องการโดยดูจากแผนที่ดาวก่อน
แล้วเลือกเลนส์ทางยาวโฟกัสที่ให้ภาพครอบคลุมท้องฟ้าตามต้องการ
การถ่ายภาพดาวตกดาวตกปรากฏให้เห็นได้ทุกเดือน ในบางเดือนมีช่วงวันกำหนดแน่นอนว่าจะมีดาวตกจำนวนมากมาจาก
ทิศทางของกลุ่มดาวหนึ่งๆ เรียกว่า ฝนดาวตก ดาวตกมีแสงสว่างวาบมากพอที่จะบันทึกลงบนฟิล์มได้ทั้งๆ
ที่แสงจันทร์รบกวน แต่ท้องฟ้า
ที่มืดมิดย่อมให้ภาพดาวตกที่ดีกว่า ดาวตกจะปรากฏมากในช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนไปแล้ว
การถ่ายภาพดาวตกใช้วิธีเดียวกับการถ่ายภาพ
ท้องฟ้าบริเวณกว้างหริ ถ่ายภาพหมู่ดาว โดยเล็งกล้องไปยังบริเวณท้องฟ้าหรือหมู่ดาวที่ต้องการ
กดชัตเตอร์และล็อคไว้ เปิดรูรับแสง f/2.8
ใช้เวลานาน 3-5นาที ไม่ควรเปิดนานเพราะอาจได้ภาพมัวเหมือนถ่ายภาพหมอกควันแทนที่จะเห็นภาพดาวตก
อาจใช้ฟิล์มความไวแสง
ISO 200 เปิดรูรับแสง f/4 เปิดหน้ากล้องนาน 30 วินาที ภายใต้ท้องฟ้ามืดสนิท
ยิ่งเปิดหน้ากล้องนานยิ่งได้ภาพมากขึ้นหรือเปิดหน้ากล้อง
ทุกๆ 10,20, 30 นาที และควรบันทึกข้อมูลการถ่ายภาพไว้ทุกครั้ง
การถ่ายภาพดาวหางเป็นการถ่ายภาพวัตถุท้องฟ้าที่มีลักษณะเฉพาะตัว
ถ้าดาวหางสว่างมากมองเห็นด้วยตาเปล่าสามารถ
ถ่ายภาพได้โดยใช้วิธีเดียวกับการถ่ายกลุ่มดาว แต่ควรใช้ฟิล์ม ISO 1600 เลือกเลนส์ทางยาวโฟกัสที่เหมาะมีมุมมองคลุมส่วนหัวและหาง
ของดาวหาง ถ้าดาวหางมีหางยาวมากควรเล็งให้หัวดาวหางอยู่ที่มุมภาพและเห็นส่วนหางยาวได้มากที่สุด
ถ้าใช้ฟิล์มไวแสงไม่มากพอ
เช่นISO200,400จำเป็นต้องเปิดหน้ากล้องนานมากขึ้นจึงต้องติดกล้องถ่ายรูปบนขาตั้งกล้องดูดาวแบบอิเควตอเรียลแล้วเคลื่อนกล้อง
ตามดาว
กลับไปยังหน้าแรก
/ แผนที่ดูดาว
|