click it for big image
click it for big image
click it for big image
click it for big image

 

 

 

....................ศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยา ประกอบด้วยอาคารหลัก ตั้งอยู่บนถนนโรจนะ ติดกับวิทยาลัยครู พระนครศรีอยุธยา ในเกาะตัวเมือง และ อาคารผนวกตั้งอยู่ ณ บริเวณ ซึ่งเคยเป็น หมู่บ้านญี่ปุ่น ต.เกาะเรียน ศูนย์ฯ นี้เป็น สถาบันวิจัยแห่งชาติ ด้านอยุธยาศึกษาโดยเฉพาะ ประวัติศาสตร์ไทย สมัยที่พระนครศรีอยุธยา เป็นราชธานี เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติ ศาสตร์ อยุธยา ซึ่งแสดงสิ่งจำลอง ที่ได้จากการค้นคว้าวิจัย โดยวิธีการและเทคโนโลยี ของการจัดพิพิธภัณฑ์ และการจัดแสดงนิทรรศการ สมัยใหม่ รวมทั้งเป็นศูนย์ข้อมูล และห้องสมุด เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อยุธยา ด้วย เปิดทำการทุกวันเว้น วันจันทร์ และอังคาร ตั้งแต่เวลา ๙.๐๐-๑๖.๓๐ น. วันหยุดปิดเวลา ๑๗.๐๐ น. ค่าเข้าชมคนไทย ๒๐ บาท ชาวต่างชาติ ๑๐๐ บาท

 

 

......................พระราชวังหลวง ที่ปรากฎในพระนครศรีอยุธยาปัจจุบันนี้ คงเหลือแต่ฐานอาคารให้ .เห็นเท่านั้น สันนิษฐานว่าพระเจ้าอู่ทองทรงสร้างพระราชวังตั้งแต่เมื่อครั้งประทับอยู่ที่เวียงเล็ก เมื่อ พ.ศ. 1890 และเมื่อสร้างพระราชวังเสร็จใน พ.ศ. 1893 จึงย้ายมาประทับที่พระราชวังใหม่ริม หนองโสน ปราสาทในครั้งแรกนี้สร้างด้วยไม้ อยู่ในบริเวณวัดพระศรีสรรเพชญ์ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 1991 สมเด็จ พระบรมไตรโลกนารถทรงถวายปราสาทเดิมเป็นวัดในเขตพระราชวัง แล้วทรงสร้างปราสาทใหม่ เลื่อนไปทางเหนือชิดริมน้ำ

 

 

 

................พระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาท เป็นปราสาทยอดปรางค์ตั้งอยู่ตรงกลาง สร้างแบบเดียวกันกับพระที่นั่งวิหารสมเด็จ มีมุขยื่นออกมาเพื่อเสด็จออกรับแขก เมือง มีโรงช้างเผือกกระหนาบอยู่ทั้งสองข้าง

 

................ วิหารพระมงคลบพิตร พระมงคลบพิตร เป็นพระพุทธรูปบุสัมฤทธิ์ องค์ใหญ่องค์หนึ่ง ในประเทศไทย พระมงคลพิตรนี้ แต่เดิม อยู่ทางทิศตะวันออก นอกพระราชวัง สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม โปรดให้ชลอมาไว้ ทางด้านทิศตะวันตก ที่ ซึ่งประดิษฐานอยู่ในปัจจุบัน และโปรดให้ ก่อมณฑปสวมไว้ ครั้งถึงแผ่นดิน สมเด็จพระเจ้าเสือ ยอด มณฑปเกิดไฟไหม้ เพราะอสุนีบาต ทำให้พระศอ ของพระมงคลบพิตรหักตกลง จึงโปรดให้ก่อสร้างใหม่ แปลงเป็นมหาวิหาร แทนเมื่อเสียกรุงครั้งที่ ๒ วิหารมงคลบพิตร ถูกไฟไหม้ทรุดโทรม พระวิหารและองค์ พระพุทธรูป ได้รับการปฏิสังขรณ์ใหม่ ฝีมือไม่งดงามอ่อนช้อย เหมือนของเก่า บริเวณข้างวิหาร พระ มงคลบพิตร ทางด้านทิศตะวันออก เดิมเป็นสนามหลวง ใช้เป็นที่สำหรับ สร้างพระมรุ พระบรมศพ ของ พระมหากษัตริย์ และเจ้านาย เช่นเดียวกับท้องสนามหลวง ของกรุงเทพฯ

 

................. วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นวัดสำคัญที่สร้างอยู่ในพระราชวังหลวงเช่นเดียวกับ วัดพระศรีรัตนศาสดารามที่กรุงเทพฯ หรือ วัดมหาธาตุแห่งกรุงสุโขทัยในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ใช้เป็นที่ประทับ ต่อมาสมเด็จพระบรม ไตรโลกนาถ ทรงสร้างพระราชมณเฑียรขึ้นใหม่แล้วโปรด ยกให้เป็นเขตพุทธาวาส เพื่อประกอบพิธี สำคัญต่าง ๆ ของบ้านเมือง จึงเป็นวัดในเขตพระราชวัง ที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ต่อมาในสมัย สมเด็จพระรามาธิบดีท2ทรงสร้างพระสถูปเจดีย์สถูปองค์ตะ วันออกเพื่อบรรจุพระอัฐิของสมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถพระราชบิดาเมื่อ พ.ศ.2035 องค์กลาง บรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระบรม ราชาที่ 3พระเชษฐาธิราช ในปี พ.ศ. 2042 ทรงสร้างพระวิหาร และในปีถัดมา ทรงหล่อพระพุทธรูป ยืนสูง 8 วา หุ้มด้วยทองคำหนัก 286 ชั่ง (ประมาณ 171 กิโลกรัม) ถวายพระนามว่า "พระศรีสรรเพชญ ดาญาณ" ซึ่งภายหลังเมื่อเสียกรุง พ.ศ.2310 พม่าได้เผา ลอกทองคำไปหมด และองค์พระพังยับเยิน เจดีย์องค์ที่ 3 ถัดมาจากด้านทิศ ตะวันตกเป็นเจดีย์บรรจุพระอัฐิ ของสมเด็จพระบรมราชาที่ 2 ซึ่งสมเด็จ พระบรมราชาที่ 4 พระราชโอรสได้โปรดให้สร้างขึ้น

 

 

........................ วัดไชยวัฒนาราม ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก นอกเกาะเมืองเป็นวัดที่ พระเจ้าปราสาททอง กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา องค์ที่ 24 (พ.ศ. 2173-2198) โปรดให้สร้างขึ้นปัจจุบัน เป็นวัดร้าง สิ่งก่อสร้างที่เหลืออยู่ มีพระปรางค์ ศรีรัตนมหาธาตุและเจดีย์ราย ตามพระระเบียง คดรอบพระปรางค์ ความสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ วัดนี้เป็น ที่ฝังพระศพของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศ กวีเอกสมัยอยุธยาตอนปลายกับเจ้าฟ้าสังวาลย์ ซึ่งต้องพระราชอาญา โบยจนสิ้นพระชนม์ ในรัชสมัยของพระเจ้าบรมโกศ วัดไชยวัฒนาราม ได้รับการประกาศขึ้น เป็นโบราณสถาน ของชาติเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2478 และกรมศิลปากร โดยอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ได้ดำเนิน การบูรณะ ตลอดมาจนปัจจุบันไม่มีสภาพรกร้างอยู่ในป่าอีกแล้ว และยังคงมองเห็น เค้าแห่งความสวยงามยิ่ง ใหญ่ตระการตา ซึ่งผู้ไปเยือนไม่ควรพลาดชมอย่างยิ่ง อนึ่งในการเดินทาง ไปชมวัดสำคัญในประวัติศาสตร์ ในบริเวณนี้ ท่านอาจเหมาเช่าเรือหางยาว จากบริเวณหลังลานจอด รถฝั่งตรงข้ามพระราชวังจันทรเกษมด้าน ทิศตะวันออกของเกาะเมือง ในอัตราลำละ 300-400 บาท เรือจะล่องไปตามลำน้ำป่าสักไปทางใต้ผ่านวิทยาลัยการต่อเรือพระนครศรีอยุธยา วัดพนัญเชิง วรวิหาร วัดพุทไธสวรรค์ โบสถ์โปรตุเกส วัดไชยวัฒนาราม วัดกษัตราธิราช และเจดีย์พระศรีสุริโยทัย อันสง่างามอีกด้วย ซึ่งจะทำให้การเดินทางมีรสชาติไปอีกแบบหนึ่งโดยเฉพาะเวลาพลบค่ำจะเห็น ภาพบริเวณวัดไชยวัฒนารามสวยงามมาก

 

 

.........................วัดพุทไธสวรรย์ อยู่ริมแม่น้ำด้านใต้ ฝั่งตรงข้ามของเกาะเมือง หากเดินทางโดยรถยนต์และใช้เส้นทางสายอยุธยา-เสนา ทางทิศ ตะวันตกของเกาะเมือง ข้ามสะพานวัดกษัตราธิราช แล้วเลี้ยวซ้ายจะผ่านวัดไชยวัฒนาราม มีป้ายบอกทางเป็น ระยะไปจนถึงทางแยกซ้ายเข้าวัดพุทไธสวรรค์ วัดนี้สร้างขึ้นบริเวณที่สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง อพยพมาสร้างเมืองใหม่เดิมบริเวณนี้เรียกว่า "เวียงเล็ก" หรือ "เวียงเหล็ก" ซึ่งเป็นตำหนัก ที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าอู่ทองภายในวัดมีสิ่งที่น่าสนใจคือ พระปรางค์ประธานองค์ใหญ่ เป็นศิลปะแบบอยุธยาตอนต้นครับ

 

 

 

...................................พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นใหม่ ตั้งอยู่ที่ตำบลประตูชัยปลายถนน ขุนเมืองใจ ใกล้ศาลากลางจังหวัด พระนครศรีอยุธยา เป็นที่รวมโบราณวัตถุ ของกรุงศรีอยุธยา นานาชนิด ที่น่าสนใจมาก เปิดให้เข้าชม ทุกวัน เว้นวันจันทร์ อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา ๙.๐๐-๑๖.๐๐ น.

 

 

 

......................หมู่บ้านญี่ปุ่น อยู่ที่ตำบลเกาะเรียน ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีชาวต่างประเทศ เข้ามาค้าขายเป็นจำนวนมาก ในสมัยนั้นทางการญี่ปุ่นได้ อนุญาติให้ชาวญี่ปุ่นค้าขายกับชาวต่าง ชาติได้โดยให้มีหัวหน้าปกครองในกลุ่มตน นับแต่นั้นมาก็มีชาวญี่ปุ่นเข้ามาอาศัยมากขึ้นหัวหน้า ชาวญี่ปุ่นในขณะนั้น คือนากามาซา ยามาดา เป็นผู้มีอำนาจและเป็นที่โปรดปรานของสมเด็จ พระเจ้าทรงธรรมจนได้รับแต่งตั้งให้เป็น ออกญาเสนาภิมุขรับราชการต่อมาจนได้รับแต่งตั้งให้เป็น เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชจน สิ้นชีวิตครับ

 

.................................วัดใหญ่ชัยมงคล จังหวัดอยุธยา วัดใหญ่ชัยมงคล (วัดเจ้าพระยาไทหรือวัดป่า แก้ว) ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำป่าสักถ้ามาจากตัวเมืองข้ามสะพาน สมเด็จพระนเรศวร-มหาราช แล้วจะเห็นพระเจดีย์วัดสามปลื้มอยู่กลางสี่แยก เลี้ยวขวาไปไม่ไกลก็จะเห็นป้าย มีทางแยก ซ้ายมือหรือหากมาทางถนนสายเอเซียเลี้ยวเข้าแยกอยุธยาแล้วพบพระเจดีย์ใหญ่กลาง ถนนก็เลี้ยว ซ้าย วัดนี้ตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าเมื่อพ.ศ. 1900 พระเจ้าอู่ทองทรงสร้าง "วัดป่าแก้ว" ขึ้นตรงที่พระราชทานเพลิงพระศพ "เจ้าแก้วเจ้าไท"ในการสร้างวัดป่าแก้วครั้งนี้ ได้ทรง สร้างพระเจดีย์ขึ้นคู่กับ พระวิหารด้วย ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเสริม พระเจดีย์ให้ ใหญ่และสูงขึ้นพร้อม ๆ กับการสร้างเจดีย์ยุทธหัตถีที่ตำบลหนองสาหร่าย จังหวัด สุพรรณบุรี เพื่อเฉลิมพระ เกียรติเมื่อคราวทรงชนะศึกยุทธหัตถี พระราชทานนามวัดใหม่ว่า "วัดชัยมงคล" ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดใหญ่ ชัยมงคล วัดนี้ร้างไปเมื่อคราวเสียกรุงครั้งสุดท้ายแล้ว เพิ่งจะตั้งขึ้นเป็นวัดที่มีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาเมื่อไม่นานมานี้เองครับ

 

 

 

 

..............................วัดกษัตราธิราชวรวิหาร อยู่นอกเกาะเมืองตรงข้ามกับเจดีย์พระศรีสุริโยทัย ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เดิมชื่อ "วัดกษัตรา" หรือ "วัดกษัตราราม" เป็นวัด โบราณในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีพระปรางค์ใหญ่เป็นหลักประธานของวัดครับ

 

.....................วัดโลกยสุธา อยู่ถัดจากเจดีย์พระศรีสุริโยทัยเข้าไปทางด้านหลัง ประมาณ กิโลเมตรเศษบริเวณวัด อยู่ติดกับวัดวรเชษฐาราม ถ้าจะเดินทางไปชม จะไปทางรถยนต์ผ่าน ไปตามถนนในบริเวณโรงงานสุราหรือ จะเข้าไปตามถนนหลังพลับพลาตรีมุข ในบริเวณพระ ราชวังโบราณ ผ่านวัดโพธิ์และวัดวรเชษฐาราม เข้าไป จนถึงพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ของวัด ได้พระพุทธไสยาสน์องค์นี้ ก่อด้วยอิฐถือปูนยาวประมาณ 29 เมตร มีซากพระวิหารเป็น 6 เหลี่ยม ขนาดใหญ่อยู่ชิดองค์พระเหลืออยู่หลายต้นเข้าใจว่าเป็นซาก พระอุโบสถ

 

......................วัดราชบูรณะ อยู่เชิงสะพานป่าถ่าย ตรงข้ามวัดมหาธาตุ สมเด็จพระบรม ราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) โปรดให้ สร้างขึ้น ณ ที่ซึ่งใช้ถวายพระเพลิงเจ้าอ้ายกับเจ้ายี่ ชนช้างกันจนถึงแก่พิราลัย และโปรดให้ก่อเจดีย์ 2 องค์ สวมทับบริเวณที่ชนช้างปัจจุบันเหลือเพียง ฐาน อยู่กลางวงเวียนหน้าวัด ซากที่เหลืออยู่แสดง ว่าวิหารและส่วนต่าง ๆ ของวัดนี้ใหญ่โตมาก พระปรางค์ที่เหลืออยู่เป็นศิลปะอยุธยาสมัยที่ 1 ซึ่งนิยม ตามแบบขอมที่ให้พระปรางค์เป็นประธาน ของวัด คราวเสียกรุง วัดนี้ถูกเผาเสียหายหมดแม้พระปรางค์ ใหญ่จะยังคงเหลืออยู่แต่ได้ถูกคนร้าย ลักขุดของมีค่าในกรุไปส่วนหนึ่ง จนกระทั่งกรมศิลปากรได้ขุด กรุเอาโบราณวัตถุที่มีค่าไปรักษาไว้ ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา ซึ่งสร้างโดยเงินบริจาค จากการนำพระพิมพ์ขนาดเล็ก ที่ได้จากกรุนี้เป็นของชำร่วย เมื่อปี พ.ศ. 2500

 

...................... วัดหน้าพระเมรุ ตั้งอยู่ริมคลองสระบัว ด้านเหนือของคูเมือง(แม่น้ำลพบุรีเก่า) ตรงข้ามกับพระ-ราชวังหลวง มีชื่อเดิม ว่า "วัดพระเมรุราชการาม" แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็น ผู้สร้าง และสร้างในสมัยใด พิจารณาได้ว่า น่าจะเป็นวัดสร้างขึ้นตรงที่ถวายพระเพลิงกษัตริย์องค์ใด องค์หนึ่งในต้นสมัยอยุธยา เป็นวัดเดียวใน กรุงศรีอยุธยาที่ไม่ถูกพม่าทำลายและยังคงสภาพที่ดีมาก เพราะพม่าได้ไปตั้งกองบัญชาการอยู่ ที่วัดนี้ พระอุโบสถเป็นแบบอยุธยาซึ่งมีเสาอยู่ภายใน แต่น่าจะ มาเพิ่มเสารับชายคาทีหลังในรัชสมัยสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระประธานในอุโบสถ ซึ่งสร้าง ปลายสมัยอยุธยา เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องหล่อ สำริดขนาดใหญ่ที่สุดที่ปรากฏและมีความงดงาม มาก ด้านหลังพระอุโบสถยังมีอีกองค์หนึ่งแต่เล็กกว่า คือ พระศรีอริยเมตไตรย์ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการปฏิสังขรณ์โดยรักษาแบบ อย่างเดิมไว้ และได้เชิญพระพุทธรูปศิลา นั่งห้อยพระบาทสมัยทวาราวดี จากวัดมหาธาตุไว้ในวิหารน้อย ซึ่งอยู่ฝั่งขวาของ พระอุโบสถอีกด้วย พระพุทธรูปศิลาแบบนั่งห้อยพระบาทสมัยทวาราวดีนี้ นับเป็น 1 ใน 6 องค์ ที่มีอยู่ใน ประเทศไทย จึงนับเป็นสิ่งที่มีค่ามากครับ

........................ วัดภูเขาทอง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ห่างจากพระราชวังหลวง ไปประมาณ 2 กิโลเมตร ทางเดียวกันกับ เส้นทางไปจังหวัดอ่างทอง (ทางหลวงหมายเลข 309) จะมีป้ายบอกทางแยกซ้ายไปวัดภูเขาทอง และ หากแยกขวาจะไปพระที่นั่งพะเนียด วัดภูเขาทองนี้ หนังสือคำให้การชาวกรุงเก่ากล่าวว่า สมเด็จพระ ราเมศวร ทรงสร้าง เมื่อ พ.ศ. 1930เมื่อบุเรงนอง ยกมาตีกรุงศรีอยุธยาได้เมื่อ พ.ศ. 2112 นั้น ได้ สร้างพระเจดีย์ภูเขาทองขึ้นไว้เป็นที่ระลึกต่อมา สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ โปรดให้ซ่อมองค์พระเจดีย์ ตอนบน เป็นแบบไทยพร้อม ๆ กันกับการบูรณะ วัด ขณะนี้จึงปรากฏว่าฝีมือช่างมอญเดิมเหลือเพียง ฐานทักษิณ สูงขึ้นไปเป็นพระเจดีย์ย่อไม้สิบสอง ฝีมือช่างไทย

 

...............................สวนสมเด็จพระศรนครินทร์ หรือที่เรียกกันว่า สวนสมเด็จฯ ตั้งอยู่บนถนน อู่ทอง ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์ ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะเมือง เป็นสวนสาธารณะ ขนาดใหญ่ ประกอบด้วยต้นไม้ในวรรณคดี โบราณสถาน และศาลาไทย นอกจากนี้ยังมีโครงการ พัฒนาพื้นที่เป็นสวนป่าสมุนไพรอีกด้วยครับ

................................พระที่นั่งเพนียด สร้างขึ้นสำหรับพระราชาธิบดีประทับทอดพระเนตร การจับ ช้างเถื่อนในเพนียด หรือการจับช้างกลางแปลง เป็นประเพณีที่เคยทำกันมาแต่โบราณเพื่อนำมาใช้ ประโยชน์ในราชการในเวลาปกติและในเวลาสงคราม พระที่นั่งของเดิมซึ่งสร้างสมัยสมเด็จพระมหา ธรรมราชานั้นถูกพม่าเผาทำลาย เมื่อเสียกรุงครั้งหลัง พ.ศ. 2310 พระที่นั่งเพนียด และตัวเพนียด ที่เห็นในปัจจุบันนี้นั้น ลักษณะเป็นคอกล้อมด้วยซุงทั้งต้น มีปีกกาแยกเป็นรั้วไปสองข้างรอบ เพนียดเป็นกำแพงดินประกอบอิฐเสมอยอดเสา ด้านหลังคอก ตรงข้ามแนวปีกกาเป็นพลับพลาที่ ประทับ ซึ่งได้รับการบูรณะเพมื่อ พ.ศ. 2500 และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ยังได้สนับสนุน เงินงบประมาณแก่กรมศิลปากรในปี พ.ศ. 2531 เพื่อบูรณะเพนียดให้อยู่ในสภาพเดิม อีกด้วย