เหนือเวทนา
การฟังธรรมที่จะให้เกิดประโยชน์นั้นต้องฟังด้วยความสงบ เพราะจิตนี้ก็เหมือนเทปบันทึกเสียง ถ้ามีเสียงอะไรมาปะปนรบกวน เสียงก็ฟังไม่ชัด ความรู้ที่จะได้รับ ก็น้อย ถ้าฟังธรรมในที่สงบด้วยจิตสงบ ก็จะมีแต่เสียงธรรมะอย่างเดียว คำพูดก็สะอาดฟังง่าย
ธรรมะที่เกี่ยวเนื่องกับการประพฤติปฏิบัตินั้น เป็นธรรมะที่ให้ประโยชน์มาก เพราะไม่ใช่ธรรมะเพื่อการฟังอย่างเดียว แต่เป็นธรรมะที่นำไปสู่การประพฤติปฏิบัติโดยตรงการประพฤติปฏิบัติที่จะให้ถูกต้องนั้น ต้องรู้จักและเข้าใจเรื่องของกายกับใจ เพราะกายกับใจนี่แหละที่พาให้สุขพาให้ทุกข์ มันเกี่ยวเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ดังนั้น การปฏิบัติจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง
ถ้าหากได้ฟังธรรมแล้ว แต่ไม่นำมาปฏิบัติ ก็เปรียบเสมือนว่าได้เพียงเปลือกไม้เท่านั้น ยังไม่ได้ลิ้มรสผลของมันว่าเปรี้ยวหวานอย่างไร การฟังธรรมโดยไม่นำมาปฏิบัติก็เหมือนกับการได้จับหรือถือผลไม้เท่านั้น ยังไม่ได้กิน ไม่ได้ลิ้มรส มันไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะได้แต่ถือเอาไว้แต่ไม่รู้จักรสชาติหรือความเอร็ดอร่อยของมัน จะได้รู้จริงก็ต่อเมื่อได้ลองรับประทานผลไม้นั้นด้วยตนเอง ซึ่งเมื่อรู้รสด้วยตนเองแล้วก็เป็นพยานในตัวเองได้ ถ้ายังไม่รู้เองเห็นเองอย่างนี้ ก็เท่ากับมีแต่พยานภายนอก คือคนที่เขาให้ผลไม้แล้วก็เชื่อไปตามที่เขาว่า ซึ่งไม่ใช่ความเชื่อตนเอง
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงบอกว่า คนที่เชื่อแต่คนอื่นนั้นท่านไม่สรรเสริญ ท่านทรงสรรเสริญบุคคลที่รู้เป็นปัจจัตตัง คือรู้เฉพาะตนเอง เปรียบเหมือนอย่างคนที่ได้ลิ้มรสผลไม้ด้วยตนเองฉะนั้น เพราะถ้าได้ลิ้มรสด้วยตนเองแล้ว จะไม่ต้องไปถามผู้อื่นว่า เปรี้ยวหรือหวานอย่างไร ความสงสัยทั้งหลายก็หมดไป เพราะได้รู้ประจักษ์ในความจริงแล้ว รู้อย่างทั่วถึง นี้คือคนที่รู้ธรรมะแล้ว ผู้บรรลุถึงธรรมะก็คือ บุรุษที่บรรลุถึงความเปรี้ยวหวานของผลไม้นั่นเอง
การแสดงธรรมก็เพื่อให้รู้สิ่งต่างๆ สี่ประการ คือให้รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดของทุกข์ รู้จักความดับทุกข์ ให้รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เมื่อรู้แจ่มแจ้งทั้งสี่ประการแล้วมันก็หมด เพราะทุกข์เราก็รู้ เหตุของทุกข์เราก็รู้ ความดับทุกข์เราก็รู้ ข้อประพฤติปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์นี้เราก็รู้ เมื่อรู้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งทั้งสี่ประการอย่างนี้แล้วก็เรียกว่าจบปัญหา ความสงสัยทั้งหลายก็หมดไป
สิ่งทั้งสี่ประการนี้เกิดอยู่ที่ไหน ก็เกิดอยู่ที่กายกับใจของเรานี้เอง ไม่อยู่อื่นไกลหรอก แต่ทำไมพระพุทธองค์จึงทรงแยกแยะธรรมะออกให้กว้าง ก็เพื่อจะอธิบายสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้ละเอียดเป็นอย่างๆ ออกไป เพื่อให้เรานำมากำหนดพิจารณา ท่านทรงแนะนำให้พิจารณาร่างกายออกเป็นอย่างๆ เช่น พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น ให้แยกแยะร่างกายออกมา เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริงของร่างกายอย่างชำนิชำนาญ ให้รู้ยิ่งตามความเป็นจริงของสังขารอันนี้ เพราะถ้าไม่รู้ตามเป็นจริงนี้แล้ว เราก็จะไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุของทุกข์ ไม่รู้จักความดับทุกข์ ไม่รู้ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ถ้าไม่รู้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ก็ไม่รู้ข้อปฏิบัติ แล้วการฟังเทศน์ฟังธรรมทั้งหลายก็ย่อมไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด
ธรรมะนั้นอยู่ที่ไหน พระพุทธองค์ตรัสว่า ธรรมะมีอยู่ทุกที่ ทุกแห่ง มีธรรมะอยู่ทุกที่ทุกสถาน จะเป็นรูปมันก็เป็นธรรมะ จะเป็นนามมันก็เป็นธรรมะ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ควรเข้าใจว่า เราทั้งหลายนั้นเกิดอยู่กับธรรมะ ใกล้ชิดธรรมะอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเราเข้าใจเช่นนี้แล้ว ก็จะเข้าใจต่อไปอีกว่า เราไม่ได้ห่างไกลสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เราอยู่ใกล้ชิดกับพระพุทธองค์ตลอดเวลา แต่ทำไมเราจึงไม่เห็นท่าน ก็เพราะเรายังไม่ค่อยได้สนใจปฏิบัตินี่เอง เพราะธรรมะคือพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าคือธรรมะ
พระพุทธองค์ ได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า "ดูก่อนอานนท์… ให้ท่านทำให้มาก เจริญให้มาก ปฏิบัติให้มาก ใครเห็นเรา คนนั้นเห็นธรรม ใครเห็นธรรม คนนั้นก็เห็นเรา" ซึ่งแสดงว่า เราไม่ห่างไกลจากพระพุทธเจ้า ไม่ห่างไกลจากพระธรรม เพราะพระพุทธเจ้าก็คือธรรมะ และธรรมะ ก็คือพระพุทธเจ้า
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ทรงถือกำเนิดขึ้นมาในโลกครั้งแรก ก็ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะเหตุใด เพราะในตอนนั้นท่านยังไม่ตรัสรู้ธรรม ต่อเมื่อท่านทรงรู้สิ่งที่ควรรู้ ด้วยการประพฤติปฏิบัติของท่าน คือรู้สัจธรรม รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดแห่งทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้จักข้อประพฤติปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ท่านจึงทรงเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ฉะนั้น เมื่อเราถึงธรรม เราจะนั่งอยู่ที่ไหน เราก็รู้ธรรมะ เมื่อเราเข้าใจในธรรมะพระพุทธเจ้าก็อยู่ที่ใจของเรา พระธรรมก็อยู่ที่ใจของเรา ข้อประพฤติปฏิบัติให้เกิดความเฉลียวฉลาดก็อยู่ที่ใจของเรา เรียกว่า เราเป็นผู้ปฏิบัติพร้อม ด้วยกาย วาจา จิต เช่นนี้แล้วเราจะเป็นผู้มองความดีความชั่วทั้งหลายด้วยความถูกต้อง คือถูกต้องตามสัจธรรมตามที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า นี่คือความจริงหรือมันเป็นความจริงของโลก
ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงทิ้งโลกคือทิ้งทั้งสรรเสริญทิ้งทั้งนินทา ใครจะนินทาท่านก็ทรงรับว่ามันเป็นอย่างนั้น ใครจะสรรเสริญท่านก็ทรงรับว่ามันเป็นอย่างนั้น เพราะทั้งสองอย่างนี้มันเป็นเรื่องของโลกทั้งนั้น จิตใจของท่านก็ไม่ทรงหวั่นไหว เพราะอะไร…ก็เพราะท่านรู้จักทุกข์ ก็สิ่งทั้งสองนี้ทำให้ท่านทรงเกิดทุกข์ หากท่านไปทรงเชื่อเข้าทุกข์มันก็เกิดเท่านั้นแหละ
เมื่อทุกข์เกิด จิตก็กระสับกระส่าย ไม่สบายอกไม่สบายใจ เมื่อจิตวุ่นวาย จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ก็มีแต่ความกระสับกระส่ายกระวนกระวาย นั่นคือทุกข์
อะไรเป็นเหตุให้ทุกข์เกิด ก็เพราะเราไม่รู้ตามความเป็นจริงอย่างนั้น ทุกข์มันก็เกิด แล้วจะดับทุกข์นั้นอย่างไร ก็ไม่รู้จัก ไม่รู้จักวิธีดับอย่างถูกต้อง คิดเอาเองว่าควรแก้ทุกข์ อย่างนี้ อย่างนั้น ทุกข์ก็ยิ่งเกิดทวีขึ้นมาอีก
ดังนั้น ท่านจึงสอนว่าให้รู้จักข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ คือน้อมธรรมะอันนี้เข้ามาในใจของเรา ให้มองเห็นว่าเป็นสัจธรรม พิจารณาให้ละเอียด ให้เห็นจริง จนเป็นพยานของตนเองได้ พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญบุคคลเช่นนี้ บุคคลที่เป็นอิสระ ไม่รับทั้งดี ไม่รับทั้งชั่ว เพราะทั้งดีทั้งชั่วเป็นเรื่องของโลก เมื่อเป็นเรื่องของโลกมันก็เป็นอารมณ์ ถ้าหวั่นไหวไปตามอารมณ์ ใจเรามันก็เป็นโลก คลำโลกอยู่ตลอดเวลา ก็เรียกว่า ไม่รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ทุกข์มันก็ยิ่งกำเริบขึ้นมาเท่านั้น
เมื่อเราเข้าใจเช่นนี้แล้ว ก็จะรู้ว่าเรายังไม่ชนะใจตัวเอง เรายังชอบเอาชนะคนอื่น มันก็แพ้ตัวเองเท่านั้น แต่ถ้าเราเอาชนะตัวเอง มันก็จะชนะทั้งตัวเอง ชนะทั้งคนอื่น ชนะทั้งอารมณ์ ชนะทั้งรูป ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น ทั้งรส ทั้งโผฏฐัพพะ เป็นอันว่าชนะทั้งหมด อันนี้พูดถึงเรื่องภายนอกมันเป็นอย่างนั้น แต่เรื่องภายนอกมันก็ทำให้มาเป็นเรื่องภายในด้วย บางคนรู้แต่ภายนอกไม่รู้ภายใน เช่นท่านพูดคำๆ หนึ่งว่าให้เห็นภายในกาย ให้รู้กายแล้วยังไม่พอ ให้รู้กายในกายอีก ให้พิจารณากาย แล้วก็ให้พิจารณากายในกาย แล้วก็ให้พิจารณาจิตและพิจารณาจิตในจิตอีก เป็นต้น ถ้าเราเป็นผู้ห่างเหินจากการภาวนาแล้วก็จะเก้อเขินหรือไม่เข้าใจ รู้กายทำไม กายในกายคืออะไร ที่ให้รู้จิต จิตนี้คืออะไร ของในจิตนั้นมันคืออะไรก็เลยไม่รู้เรื่อง เพราะเป็นผู้ไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุของทุกข์ ไม่รู้จักความดับทุกข์ ไม่รู้จักข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ สิ่งที่ควรดับทุกข์ ไม่ดับ มัวไปสนใจในสิ่งที่มันไม่ดับ เช่นว่าเราคันที่ศีรษะอย่างนี้แล้ว เราไปเกาที่ขา มันก็ไม่ถูกจุด มันก็ไม่หาย นี้เรียกว่าไม่รู้จุดที่จะให้มันระงับความคัน มันเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับเมื่อทุกข์เกิดขึ้นมา ก็ไม่รู้จักดับมัน ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งทุกข์ก็ไม่รู้จักกัน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มันเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราทั้งหลายเก้อเขินมากเหลือเกิน เพราะความไม่รู้จัก
รูป เวทนา สัญญา สังขาร เช่นร่างกายเรานี้ ร่างกายที่เราเอามานั่งประชุมรวมกันอยู่นี้ ที่มองเห็นได้ด้วยตานั้น ถ้าเห็นแต่รูปร่างกายเช่นนี้อยู่เพียงเท่านี้ มันจะเป็นเหตุให้ระงับความทุกข์หรือระงับเหตุให้เกิดความทุกข์นั้นไม่ได้เลย ทำไม ก็เพราะว่าเราเห็นแต่กายข้างนอก เรายังไม่เห็นกายข้างใน เมื่อเห็นแต่ข้างนอก ก็เห็นแต่ว่าเป็นของสะสวย เป็นแก่นสารไปหมดทุกอย่าง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงบอกว่า แค่นี้ไม่พอ ที่เห็นข้างนอกอย่างนี้ เด็กๆ มันก็เห็นได้ สัตว์ทั้งหลายมันก็เห็นได้ มันไม่ยาก พอเห็นแล้วมันติด เห็นแล้วมันก็ไม่รู้ เห็นแล้วมันตะครุบๆ แล้วมันก็กัดเราเท่านั้นแหละ มันเป็นเสียอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงให้พิจารณากายไปในกาย อะไรที่มีในกายก็ค้นคว้าหาดูซิว่ามีอะไรในกาย ให้เห็นของในกายเรานี้มันมีอะไรอยู่บ้าง ที่เราเห็นกายภายนอกนั้นมันไม่ชัดเจน เห็นผมเห็นขนเห็นเล็บเห็นอะไรทั้งหลาย ก็มีแต่ของที่สะสวยไปทั้งนั้น มันเป็นเครื่องย้อมใจเรา เพราะฉะนั้นท่านจึงว่าเห็นไม่ชัด เห็นกายไม่ชัด ท่านจึงให้มองข้างใน ให้เห็นภายในกาย
แล้วก็ต้องมองเข้าไปอีกว่า กายที่อยู่ในกายนี้มีอะไรอยู่บ้าง ที่กายเนื้อกายหนังนี้มีอยู่อย่างนี้ ในกายนั้นมันมีอะไรพิจารณาบ้าง พิจารณาดูให้แยบคายเข้าไปเถอะ เราก็จะเห็นว่าในกายนี้ มันมีอะไรหลายๆ อย่างสารพัด ค้นเข้าไปดูแล้ว ก็แปลกใจทั้งนั้น แหละ เพราะแม้แต่ของที่อยู่ในตัวของเราเราก็ไม่เคยเห็นเลย แต่เราก็เดินอุ้มไปมัน นั่งรถก็อุ้มมันไปทั้งนั้นแหละ แต่เรายังไม่รู้จักมันเลยว่ามันเป็นอะไรเป็นอย่างไร เหมือนเรารับของฝากเขามา เขาเอาห่ออะไรให้เรา เราก็ไม่รู้ จับได้ก็ยัดใส่ตะกร้าเดินมาเลย ไม่ได้เปิด เมื่อไปเปิดดูจึงเห็นมีแต่ อสรพิษทั้งนั้น กายเรานี้ก็เหมือนกันเราเห็นแต่เปลือกนอก เราก็เห็นว่าสวยงามอะไรสารพัดอย่าง จนลืมตัวลืมตน ลืมอนิจจัง ลืมทุกขัง ลืมอนัตตา ลืมอะไรๆ ทั้งนั้น ถ้าเรามองเข้าไปข้างในนั้น มันไม่น่าดูเลยนะ กายของเรานี้ ถ้าเอาของที่สะอาดมาใส่ มันก็สกปรก
นี้เรื่องภายนอกก็สกปรกภายนอก ส่วนเรื่องภายในก็สกปรกภายในเหมือนกัน เรื่องภายในมันยิ่งน่าดูยิ่งกว่านั้นอีก ดูเข้าไปข้างในซิ ในกายของเรามีอะไรบ้าง
ถ้าเราดูตามความเป็นจริง ดูตามสัจธรรมโดยไม่เข้าข้างตัวเองแล้ว มันเห็นสิ่งที่น่าสลดสังเวช น่าอะไรๆ หลายๆ อย่าง มันน่าจะเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่าย คำว่า "เบื่อหน่าย" ไม่ใช่ไปเกลียดไปโกรธมันนะ แต่เป็นความกระจ่างของจิตเราเอง เป็นความปล่อยวาง เห็นว่าอันนี้ไม่มีสารประโยชน์อะไรเลย ไม่เป็นแก่นเป็นสารอะไรเลย เราเห็นแต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นธรรมชาติเป็นธรรมดา เรื่องของเขา เขาก็ตั้งของเขาอยู่อย่างนั้น ใครจะไปอยากให้เขาเป็นอย่างไร เขาก็เป็นของเขาอย่างนั้นเอง เราจะร้องไห้ก็ดี เราจะหัวเราะก็ตาม สังขารนี้เป็นอย่างนี้ สิ่งทีไม่เที่ยงมันก็ไม่เที่ยง สิ่งที่ไม่สวย มันก็ไม่สวย มันเป็นอย่างนั้นแหละ ถึงคนจะรู้ ถึงคนจะไม่รู้ มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น
ดังนั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราท่านจึงว่าเมื่อเราเห็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เกิดขึ้นมาแล้ว ควรปล่อยเขาไปเสีย เมื่อหูได้ยินเสียงก็ปล่อยเขาไปเสีย เมื่อจมูกได้กลิ่นก็ปล่อยเขาไปเสีย เมื่อรสมันเกิดขึ้นกับลิ้นของเรา ก็ปล่อยมันไปเสีย เมื่อโผฏฐัพพะ ที่ถูกต้องด้วยกายเกิดขึ้นมา ชอบใจไม่ชอบใจก็ปล่อยเขาไปเสีย ให้กลับไปที่เดิมของเขาเสีย เรื่องธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจของเรานี้ มันไม่ต้องอาศัยอะไร ไม่ต้องอาศัยสัมผัสอะไร มันสัมผัสขึ้นที่ใจของมันเอง เรียกว่าธรรมารมณ์ หรือธรรมะกับอารมณ์ เป็นส่วนดีก็เรียกว่ากุศล เป็นส่วนที่ชั่วก็เรียกว่า อกุศล สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ให้ปล่อยไปตามเรื่องของเขาเสียเรียกว่าเรารู้มันอย่างนี้แล้ว สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี สารพัดอย่างอยู่ในรูปเดียวกัน การทำใจให้สงบเช่นนี้เรียกว่าการภาวนา
การภาวนาคือการทำให้สงบ เมื่อสงบแล้วก็คือทำให้รู้ การทำให้สงบหรือทำให้รู้นี้ต้องลงมือปฏิบัติกายกับจิตสองอย่างนี้เอง ไม่ใช่อื่น ความเป็นจริงสิ่งที่กล่าวนี้มันเป็นสิ่งละสิ่ง เช่น รูปก็เป็นส่วนหนึ่ง เสียงก็เป็นส่วนหนึ่ง กลิ่นก็เป็นส่วนหนึ่ง รสก็เป็นส่วนหนึ่ง โผฏฐัพพะก็เป็นส่วนหนึ่งธรรมารมณ์ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ละอย่างนี้ก็เป็นคนละส่วนๆ อยู่ แต่ท่านก็ให้เรารู้จักมันเสีย แยกสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ออกสรุปเป็นสุขทุกข์บ้าง สุขเกิดขึ้นมาก็เป็นสุขเวทนา ทุกข์มันเกิดขึ้นมาก็เรียกทุกขเวทนา เรื่องสุขกับทุกข์ท่านก็จัดไว้เพื่อให้แยกมันออกจากจิต จิตก็คือผู้รู้ เวทนานั้นคืออาการที่มันสุขหรือทุกข์ ชอบใจหรือไม่ชอบใจเป็นต้น เมื่อจิตของเราเข้าไปเสวยในอาการเหล่านั้น เรียกว่าจิตของเราเข้าไปยึดหรือหมายมั่น หรือสำคัญในความสุขนั้น ในความทุกข์นั้นนั่นเอง การที่เราเข้าไปหมายมั่นนั้น ก็คือเรื่องของจิต อาการที่มันสุขหรือทุกข์นั้น คืออาการของเวทนา ที่เป็นความรู้นั้นเรียกว่าจิตของเรา ที่ชื่อว่าสุขหรือทุกข์นั้นมันเป็นเวทนา ถ้ามันสุขก็เรียกว่าสุขเวทนา ถ้ามันทุกข์ก็ทุกขเวทนา
ที่จ่าจิตกับเวทนานั้น ท่านให้เรารู้จักแยกมันออกจากกัน คำที่ว่าแยกออก ไม่ใช่เอาไปทิ้งไว้คนละอย่าง คนละที แต่ให้เราแยกโดยวิธีที่ทำให้จิตเราสงบ เช่นคนที่ทำสมาธิให้ถึงที่เป็นต้น เมื่อจิตสงบแล้วก็พิจารณาแยกมันเสียเพราะความสงบนั้นมันล้นเหลือ สุขนี้มันก็เข้าไปไม่ได้ เข้าไม่ถึง ทุกข์นี้ก็เข้าไปไม่ถึง นี้คือที่ว่าเวทนามันแยก อย่างว่าเรานั่งสมาธิ ถ้าความสงบมันเข้ามาก่อน เวทนาเกิดทีหลัง เวทนามันก็เดินเข้าไม่ถึง จิตก็ไม่รับรู้เวทนา มันแยกกันอยู่ในตัวของมันเอง กับกายนั้นพิจารณาให้รู้ว่าจิตที่เห็นเวทนานั้น เราเข้าไปยึดไหม ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นมานั้น เราเข้าไปยึดมันไหม เราก็จะรู้ว่าจิตของเรามันเป็นอย่างนี้ จะรู้ว่าสุขมันเป็นอย่างนี้ ทุกข์มันเป็นอย่างนี้เวทนามันเป็นอย่างนี้ มันก็เป็นคนละเรื่องกันอยู่ จะเปรียบก็คล้ายกับว่าน้ำมันกับน้ำท่ามันปนอยู่ในขวดเดียวกันก็ได้ แต่มันไม่ซึมซาบเข้าด้วยกัน แม้จะปะปนกันอยู่ น้ำมันก็เป็นน้ำมันน้ำท่าก็เป็นน้ำท่า ทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น เพราะว่ามันมีน้ำหนักต่างกัน มันจึงแยกกันอยู่อย่างนั้น นี้ก็เหมือนกันฉันนั้น
ถ้าปกติของจิตเราก็ไม่สุขไม่ทุกข์ เมื่อเกิดเวทนาเข้ามา ก็เกิดสุขทุกข์อย่างนี้ ถ้าเรามีสติอยู่ก็จะรู้ว่า อันนี้เรียกว่าสุข ที่เป็นสุขนั้นมันก็สุขอยู่ แต่จิตรู้ว่าสุขนั้นไม่เที่ยง มันก็ไม่ไปหยิบเอาสุขอันนั้น สุขนั้นมีอยู่ที่ไหน มีอยู่ แต่มันอยู่นอกจิต ไม่มีฝังอยู่ในดวงจิต แต่ก็รู้ได้ชัดเจน หรือเมื่อทุกข์เกิดขึ้นมา ถ้ามันแยกเวทนาได้ มันไม่รู้จักทุกข์หรือ รู้มันรู้จักทุกข์ แต่วาจิตมันก็เป็นจิต เวทนามันก็เป็นเวทนาจิตนั้นจะไม่ไปยึดทุกข์มาแบกไว้ว่าทุกข์ ว่านี้มันเป็นทุกข์นี่ก็เพราะเราไม่ไปยึดให้เกิดเป็นความสำคัญมั่นหมาย
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงแยกด้วยความรู้ท่านทรงมีทุกข์ไหม อาการของทุกข์นั้น ท่านทรงรู้มัน แต่ท่านไม่ไปสำคัญมั่นหมายมัน ท่านทรงรู้อย่างนี้ก็เรียกว่าท่านทรงแยกทุกข์ออก แยกเวทนาออก ความสุขตามธรรมชาติรู้ไหม ความสุขนั้นมี แต่ท่านทรงรู้ว่าสุขนั้นเป็นพิษถ้าเราไม่รู้จักมัน ท่านก็ไม่ไปสำคัญมั่นหมายสุขนั้นว่าเป็นตัวเป็นตน สุขนั้นมีอยู่หรือ มันมีอยู่ด้วยความรู้ แต่ไม่มีอยู่ในจิตของท่าน เช่นนี้ก็รู้ได้ว่าท่านแยกสุขแยกทุกข์ออกจากจิตของท่าน แยกเวทนาออกจากจิตของท่านทั้งที่มีอยู่ด้วยกันนั่นแหละ
คำที่กล่าวว่าพระพุทธองค์และพระอริยเจ้าของเราท่านตัดกิเลสแล้ว ท่านฆ่ากิเลสแล้วนี้ ไม่ใช่ท่านไปฆ่ากิเลสหรอก ถ้าท่านฆ่ากิเลสหมดแล้ว เราก็คงไม่มีกิเลสน่ะสิ เพราะท่านฆ่าไปหมดแล้ว ความจริงท่านไม่ได้ฆ่ามัน แต่ท่านรู้แล้วท่านก็ปล่อยมันไปตามเรื่องของมัน ใครโง่ มันก็ไปจับเอาคนนั้นแหละ ท่านรู้เฉพาะใจของท่านว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี่เป็นพิษ ท่านก็เขี่ยมันออกไป สิ่งที่ทำให้ท่านเกิดทุกข์ ท่านก็เขี่ยมันออกไป ไม่ได้ฆ่ามันหรอก คนที่ไม่รู้ว่าท่านเขี่ยออกกลับเห็นว่าดีก็ไปตะครุบเอา เออ…อันนี้ดีนี่ ก็ตะครุบเอาความเป็นจริงพระพุทธเจ้าท่านทิ้ง อย่างสุขท่านก็เขี่ยออกเราก็เห็นว่าดี ก็ตะครุบเอาเลย จับใส่ย่ามไปเลยว่าของดีของเรา ความเป็นจริงนั้นท่านรู้เท่ามัน เมื่อสุขเกิดขึ้นมาท่านก็รู้ว่ามันเป้ฯสุข แต่ท่านไม่มีสุข ท่านก็รู้อยู่ว่าอันนี้มันเป็นสุขแต่ท่านไม่ไปสำคัญมั่นหมายว่ามันเป็นตัวเป็นตน ว่าเป็นของเขาว่าเป็นของเราทั้งนั้น อย่างนี้ท่านก็ปล่อยมันไป ทุกอย่างก็เหมือนกัน
ความเป็นจริงสุขเวทนา ทุกขเวทนากับจิตของเรานั้นมันเป็นคนละอย่างกัน
อย่างเดี๋ยวนี้เรานั่งอยู่นี่มันก็สบายนะ แต่ถ้ามีไม้สักท่อนหนึ่งที่เราอยากได้
เราไปแบกมัน มันก็หนักนะ
ท่อนไม้นี้มันก็คือเวทนานี่แหละ ตัวความอยากได้ ท่อนไม้คือตัวจิตของเรา
ที่เข้าไปแบกท่อนไม้ มันก็หนักใช่ไหม มันหนัก ถ้าคนมีปัญญาแม้หนักเขาก็ไม่ทุกข์
รู้จักปล่อยมัน เมื่อมันหนักเต็มที่เขาก็ปล่อยมัน ถ้าท่อนไม้นั้นมันมีประโยชน์
จะเอาไปใช้ประโยชน์ ก็ให้รู้ทันมัน หากรู้อย่างนั้นมันก็ค่อยยังชั่ว ไม้มันจะได้ไม่ทับตายอย่างนี้
จิตนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น
อาการของจิตคือสุขเวทนา ทุกขเวทนา สารพัดอย่างนั้นมันเป็นอารมณ์ มันเป็นส่วนโลก ถ้าจิตรู้แล้ว งานที่เป็นสุขท่านก็ทำได้ งานที่เป็นทุกข์ท่านก็ทำได้ เพราะอะไร? ก็เพราะท่านรู้จักสุขรู้จักทุกข์ตามที่เป็นจริง ถ้าคนที่ไม่รู้จักสุขไม่รู้จักทุกข์นั้น ก็จะเห็นว่าสุขกับทุกข์นั้น มันคนละระดับ มันคนละราคากัน ถ้าผู้รู้ทั้งหลายแล้ว ท่านจะเห็นว่าสุขเวทนากับทุกขเวทนามันมีราคาเท่าๆกัน ถ้าไปยึดในสุข นั่นก็คือบ่อเกิดทุกข์ ทุกข์มันก็จะเกิดขึ้นมา เพราะอะไร นี้เพราะว่าสุขมันก็ไม่เที่ยง มันแปรไปมา เมื่อสุขนี้หายไป ทุกข์มันก็เกิดขึ้นมา ดังนี้เป็นต้น
พระพุทธองค์ท่านทรงรู้ว่าสุขทุกข์นี้มันเป็นโทษ สุขทุกข์จึงมีราคาเท่ากัน ดังนั้นเมื่อสุขทุกข์เกิดขึ้น ท่านจึงปล่อยวางไป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันมีราคาเสมอเท่ากันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจิตใจของท่านจึงเป็นสัมมาปฏิปทาเห็นสิ่งทั้งสองนี้มีทุกข์โทษเสมอกัน มีคุณประโยชน์เสมอกันทั้งนั้น และสิ่งทั้งสองนี้ก็เป็นของที่ไม่แน่นอน ตกอยู่ในลักษณะของธรรมะว่าไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ เกิดแล้วดับไปทั้งหมดเป็นอย่างนี้ เมื่อท่านเห็นเช่นนี้สัมมาทิฐิก็เกิดขึ้นมาเป็นสัมมามรรค จะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนก็ตาม หรือความรู้สึกนึกคิดทางจิตนั้นจะเกิดขึ้นก็ตาม ท่านก็รู้ว่าอันนี้เป็นสุข อันนี้เป็นทุกข์เสมอเลยทีเดียว ท่านไม่ได้ยึด
พระบรมศาสดาของเรานั้น เมื่อตรัสรู้ใหม่ๆ ท่านเทศนาเรื่องกามสุขัลลิกานุโยโค อัตตกิลมถานุโยโค ภิกษุทั้งหลาย กามสุขัลลิกานุโยโคนั้นมันทางหย่อน อัตตกิลมถานุโยโคนั้นทางมันตึง อันนี้ที่มันเล่นงานท่านมาตลอดทางจนถึงวันที่ท่านตรัสรู้ธรรมะ เพราะทีแรกท่านไม่ได้ปล่อยมันพอท่านทรงจับตรงนี้ท่านก็ทรงปล่อยวาง แล้วจึงได้แสดงปฐมเทศนาให้สาวกฟังเลยว่า กามสุขัลลิกานุโยโคนั้นสมณะอย่าพึงเดินไป อันนั้นไม่ใช่ทางของสมณะ คือใครไปติด ใครไปยึด ไปสำคัญมั่นหมายอยู่ในกามนี้ มันก็วุ่นวายความสงบไม่มีในที่นั้น สมณะเกิดขึ้นไม่ได้ ท่านว่าทางนี้อย่าเดิน ส่วนอัตตกิลมถานุโยโคนั้น ทางนี้มันก็เหี้ยมโหดรุนแรงทางนี้ก็อย่าเดินไป สมณะไม่อยู่ที่นี่ ความสงบไม่มีอยู่ที่นี่สมณะไม่เคยเกิดในทางนี้ ความสงบไม่อยู่ทางนี้ คือทั้งสุขและทุกข์นี้สมณะอย่าเดินไป สุขก็อย่างลืมตัว ทุกข์ก็อย่าเดินไป ให้รู้ทันมัน มันจะเกิดทุกข์ก็ให้รู้ว่าจะเกิดทุกข์ เมื่อรู้จักทุกข์ ก็รู้ทางที่จะให้เกิดทุกข์ และรู้จักความดับทุกข์ หรือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ข้อปฏิบัตินี้คือการภาวนานี้เอง
พูดง่ายๆ ก็เรียกว่าเราต้องเป็นผู้มีสติ คือมีความรู้ความระลึกอยู่เสมอ อยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้เราคิดอะไรอยู่ เราทำอะไรอยู่ เรามีอะไรอยู่เดี๋ยวนี้ เราดูอย่างนี้ มีสติอยู่เสมอว่าเราอยู่อย่างไร เรารู้ตัวว่าขณะนี้เรามีอะไรอยู่