การถ่ายภาพที่ใช้ไฟแฟลช นักถ่ายภาพที่ฉลาด หลายๆ คน สามารถใช้ไฟแฟรช สร้างสรรค์ภาพถ่าย
ที่ให้ความรู้สึกต่างๆกันได้อย่างมากมาย ทั้งการถ่ายภาพ นอกสถานที่ หรือการถ่ายภาพในสตูดิโอ
ดังนั้น เราควรจะศึกษา เรื่องของไฟแฟลช กันไว้ด้วย ซึ่งนี่เอง จึงเป็นที่มาของ
mode ต่างๆ ในการใช้ไฟแฟลช ที่ taKLONG.com นำมาเสนอกัน เราลองมาดูกันเลย
Fill-in Flash - เป็นการใช้งานไฟแฟลช ในขณะที่สภาพแสงจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ไฟแฟลช เช่น ถ่ายตอนกลางวัน แต่เนื่องจาก เราต้องการ เพิ่มแสงให้กับวัตถุที่เราจะถ่าย หรือต้องการเพิ่มแสงให้กับบริเวณ foreground หรือเพื่อต้องการเพิ่มแสง ให้กับใบหน้าของนางแบบ นายแบบ เวลาที่เราถ่ายภาพย้อนแสง (ที่มาของแสง มาจากทางด้านหลังของวัตถุที่จะถ่าย) ซึ่ง mode Fill-in flash นี้ นับว่า มีประโยชน์มาก ในการถ่ายภาพ ที่มีสภาพความเปรีบต่างสูงๆ และเราต้องการลดความเปรียบต่างนั้นลง ด้วยการเพิ่มแสงให้กับส่วนที่เป็นเงามืด ของภาพ
Slow-synch Flash - เป็นการใช้แฟลช กับภาพที่สภาพแสงน้อย แต่ก็ต้องการรายละเอียดในฉากหลังด้วย เช่น ถ่ายภาพตอนเช้ามืด หรือตอนหลังดวงอาทิตย์ลับของฟ้าไปแล้ว คำว่า slow ในที่นี้ หมายถึง slow shutter speed คือ กล้องที่ถ่ายด้วย mode นี้ จะยังคงใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำๆ เพื่อเก็บรายละเอียดของฉากหลัง ที่มีแสงน้อยเอาไว้ด้วย แม้จะยิงไฟแฟลชออกไปแล้วก็ตาม เพราะถ้าถ่ายด้วยโหมดไฟแฟลชปกติ กล้องจะใช้ความเร็วปกติ สำหรับ synch กับไฟแฟลช ซึ่งอาจจะเป็น 1/60 หรือ 1/125 ฯลฯ แล้วแต่กล้องแต่ละตัว แต่ถ้าใช้ mode Slow-synch Flash กล้องจะใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่ต่ำกว่านั้น อาจเป็น 1/15 หรือ 1/30 เป็นต้น
First Curtain Flash หรือ Before Flash - คือการ synch flash กับม่านชัตเตอร์ตัวแรก ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า กล้องโดยทั่วไป โดยเฉพาะกล้อง SLR จะมีม่าน shutter 2 ชุด ชุดหนึ่ง ทำให้ที่ \"เปิด\" อีกชุดหนึ่งทำหน้าที่ \"ปิด\" การรับแสง
โดยปกติ ไฟแฟลช จะทำงานได้ไวกว่า ความเร็วชัตเตอร์มาก คือช่วงเวลาที่แสงไฟแฟลช ยิงออกไป อาจรวดเร็วเพียงแค่ 1/10000 ของวินาที ในขณะที่ความเร็วชัตเตอร์จะอยู่ที่หลัก 1/100 เท่านั้น ข้อแตกต่างตรงนี้เอง ที่ทำให้ เราสามารถเลือกได้ว่า จะยิงไฟแฟลช ตอนช่วงไหน ของการเปิด-ปิด ม่านชัตเตอร์ของกล้อง
ไฟแฟลชโดยทั่วไป จะเป็นการ synce กับม่านชัตเตอร์ชุดที่ทำหน้าที่ 'เปิด' มากกว่า ซึ่งเราจะเรียกว่า Fist curtain flash หรือ Before Flash นั่นเอง ซึ่งภาพที่ได้จะเห็นผลประหลาด ถ้าวัตถุที่เราถ่าย นั้นเคลื่อนที่ เนื่องจาก Before Flash จะยิงไฟแฟลชออกไปทันที ที่กล้องเปิดม่านชัตเตอร์ออก ดังนั้น วัตถุในภาพที่ไฟแฟลช ตกกระทบ ก็คือ ตำแหน่งแรกในภาพ แต่เนื่องจากวัตถุมีการเคลือนที่ และม่านชัตเตอร์ตัวปิด ยังไม่ทำงาน ดังนั้นกล้องจะเปิดรับแสงต่อไป พอสมควร ก่อนที่ม่านชัดเตอร์ตัว 'ปิด' จะทำงาน ภาพจึงเหมือนมีเงาเคลื่อนที่ต่อไปจากภาพแรงที่ชัด ทำให้ภาพรู้สึกขัดต่อความรู้สึก
Second Curtain Flash หรือ After Flash แต่ถ้าเป็นแบบสัมพันธ์กับม่านชัตเตอร์ตัว \"ปิด\" ภาพที่ไฟแฟลชยิงออกไป กระทบ จะเป็นตำแหน่งสุดท้าย ของการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้นๆ ก่อนที่กล้องจะปิดม่านชัตเตอร์ ผลที่ได้จะทำให้เห็นเงาเบลอ ลากออกไปด้านหลังของวัตถุที่เคลื่อนที่ ซึ่งตรงกับความรู้สึก ของผู้ชมภาพ เสมือนหนึ่งว่าวัตถุนั่นกำลังเคลื่อนที่อยู่จริงๆ
อย่างไรก็ตาม เท่าที่สังเกต After Flash นี้ต้องเป็นกล้องที่ดีๆ หน่อยถึงจำสามารถ ถ่ายใน mode นี้ได้ ส่วนกล้องธรรมดา คงหมดสิทธิครับ ต้องใช้แบบ Before Flash อย่างเดียว
ISO ของฟิล์ม และความสัมพันธ์กับภาพที่ถ่าย
-[Aug 4, 2001 | ผู้เขียน: นายตากล้อง]-
ISO (หรือเมื่อก่อนจะเรียกว่า ASA) จริงๆ ISO ย่อมาจาก International Standard
Organization หรือชื่อย่อ ขององค์กร ที่ดูแลเรื่องของ มาตรฐานต่างๆ ซึ่งเราคงเคยเห็น
ISO 9000, ISO 14000 ซึ่งเป็นมาตรฐานเกี่ยวกับ การจัดการทางธุรกิจ แต่สำหรับเรื่องของฟิล์มแล้ว
เขาก็มีการกำหนดมาตรฐาน เช่นเดียวกัน นี่คือที่มาของ คำว่า ISO กับฟิล์ม
ISO สำหรับฟิล์ม หมายถึง Film speed - ความเร็วของฟิล์ม หรือ ความไวต่อแสงของฟิล์ม ความเร็วในที่นี้ จึงหมายถึง ความเร็วของการทำปฏิกิริยา ของสารเคมีบนแผ่นฟิล์ม ที่มีปฏิกิริยากับแสง นั่นเอง ยิ่งสารเคมีสามารถ มีปฏิกิริยากับแสง ได้รวดเร็วเท่าใด ฟิล์มนั้นๆ ก็จะมีความเร็วมากเท่านั้น โดยเป็นไปตามมาตรฐานของ ISO ซึ่งกำหนดไว้เป็นตัวเลข ถ้าตัวเลขน้อย หมายถึง ฟิล์มมีความเร็วน้อย คือจะไม่ค่อยไวต่อแสง เช่น ฟิล์ม ISO 100 จะช้ากว่า ฟิล์ม ISO 200 ทำนองเดียวกัน ฟิล์ม ISO 25 จะช้ากว่า ฟิล์ม ISO 100 ซึ่งฟิล์ม ที่ไว้แสงน้อยกว่า ต้องการระยะเวลา ในการรับแสงนานกว่า ซึ่งจะกระทบต่อ การเลือกความเร็วชัตเตอร์ ของกล้องด้วย
สำหรับกล้องดิจิตอล ก็ได้มีการเปรียบเทียบ ความไวต่อแสงของตัว CCD senser ในกล้อง เปรียบเทียบกับมาตรฐาน ISO นี้เช่นเดียวกัน เพราะเหตุว่า คนคุ้นเคย กับความไวแสงตามมาตรฐาน ISO ของฟิล์มอยู่แล้ว การเทียบเคียง ความไวต่อแสงของ CCD senser กับมาตรฐานดังกล่าว ย่อมทำให้ผู้บริโภค เข้าใจได้โดยง่ายนั่นเอง
นอกจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นฟิล์ม หรือกล้องดิจิตอล เราอาจจะ สามารถปรับ ความไวแสง ของฟิล์มให้แตกต่างไป จากความเป็นจริงได้ เช่น แม้ว่าฟิล์มจะมี ความเร็วเพียงแค่ ISO 100 แต่เราอาจจะสามารถปรับกล้องให้ เสมือนหนึ่งว่า เราใช้ฟิล์ม ISO 200 อยู่ก็ได้ ซึ่งกระบวนการนี้ เราเรียกกันว่า การ PUSH ฟิล์ม นั่นเอง ซึ่งเราก็สามารถทำใน ลักษณะเดียวกันนี้ กับกล้องดิจิตอล ได้เช่นเดียวกัน คือ อาจปรับค่า ISO ของกล้องดิจิตอล จากปกติ 100 ให้เป็น 200 ได้ (ถ้ากล้องของคุณ มีปุ่มให้สามารถปรับค่าดังกล่าวได้) ภาพที่ได้ก็จะมีความไว เสมือนหนึ่งว่าใช้ฟิล์ม หรือ CCD senser ที่มี ISO 200 ได้ แต่ความแตกต่าง จะอยู่ที่ความระเอียด ของภาพที่ได้ คือ ถ้าเป็นฟิล์มที่ได้ จากการ PUSH ภาพก็จะมี Grain (หรือจุดบนภาพ) ที่มีขนาดหยาบกว่า การใช้ ฟิล์ม ISO 200 จริงๆ ส่วนถ้าเป็น กล้องดิจิตอล ที่ใช้วิธีการ PUSH ภาพที่ได้ก็จะมี Pixel ที่ใหญ่กว่าปกติ หรืออาจกระทบต่อ เรื่องของสีสัน ที่อาจจะผิดเพี้ยนไปได้ ซึ่งกรณีดังกล่าวก็แล้วแต่ สภาพของกล้องแต่ละตัวด้วย คงต้องมีการทดสอบกันก่อน ว่า กล้องตัวนั้นๆ ควรจะ PUSH ณ ระดับใด จึงจะให้ภาพ สวยงามเป็นไปตาม ที่เราต้องการมากที่สุด
หมายเหตุ - อย่าคิดว่าภาพที่มี grain หรือ มี pixel ใหญ่ๆ จะไม่สวยงาม หลายครั้งทีเดียว ที่ภาพที่ดูเหมือนจะ มีความผิดพลาดในการถ่ายเหล่านี้ กลับให้ความงดงาม และความรู้สึก ที่ดีกว่าการถ่ายภาพชัดๆ และให้รายละเอียด อย่างถูกต้องสมบูรณ์ เพราะเป้าหมายสูงสุด ของการถ่ายภาพ ไม่ใช่การถ่ายภาพให้ถูกต้องที่สุด แต่เป็นการถ่ายภาพ ให้ได้ภาพที่สวยงามที่สุด บางครั้งการทำผิดพลาด (อย่างตั้งใจ) ก็ให้ภาพที่สวยงามได้
การชดเชยแสง (Exposure Compensation)
-[Aug 4, 2001 | ผู้เขียน: นายตากล้อง]-
นอกเหนือจากเรื่อง \'การวัดแสง\' แล้ว \'การชดเชยแสง\' ก็ดูเหมือนจะเป็น อีกเรื่องหนึ่งที่ควบคู่กันไปเสมอ
กล่าวคือ ในขณะที่การวัดแสง จะเป็นการคำนวณว่า ณ สภาพแสง ในขณะนั้น ควรตั้งค่าต่างๆของกล้อง
ให้เป็นเท่าใด จึงจะได้สภาพแสงในภาพ อย่างเหมาะสม ตามที่ควรจะเป็น โดยปกติ แต่เนื่องจาก
การถ่ายภาพเป็นเรื่องของ ศิลปะ ดังนั้น ในบางครั้ง เรากลับต้องการภาพที่แตกต่างออกไป
เช่น อาจต้องการให้ สว่างหรือมืด กว่าปกติ เพื่อให้ความรู้สึกของภาพ สามารถสื่อออกมาได้
อย่างดียิ่งขึ้น หรือในกรณีที่ สภาพแวดล้อมในการถ่ายภาพ ไม่เอื้ออำนวย ให้ระบบการวัดแสงของกล้อง
ทำงานได้อย่างถูกต้อง เช่น เวลาเราถ่ายภาพบนหิมะ หรือบริเวณชายหาด ตอนกลางเที่ยงวัน
ซึ่งหิมะหรือหาดทราย จะสะท้อนแสงออกมามาก ทำให้ค่าของแสงที่วัดได้ จะมีมากกว่าปกติ
ทำให้บริเวณใบหน้าของคนที่เราต้องการถ่าย มืดเกินไปได้
ด้วยเหตุนี้เอง กล้องส่วนใหญ่ที่ดีๆ จะมีระบบการชดเชยแสงมาให้ด้วย เพื่อให้เราสามารถ เลือกได้ว่า เราต้องการให้ภาพที่ถ่ายออกมา สว่าง หรือ มืด กว่าปกติ โดยจะใช้คำว่า Expusure Value หรือ EV เป็นหน่วยวัด กล้องถ่ายภาพทั้งแบบฟิล์ม หรือกล้องดิจิตอล ล้วนมีความสามารถนี้กันทั้งนั้น โดยมีค่าเป็น + หรือ - เป็นกี่ EV เช่น ถ้าเราปรับเป็น +1EV ก็หมายความว่า ภาพที่ถ่ายจะสว่างกว่าปกติ 1ระดับ นั่นเอง ตัวอย่างเช่นการถ่ายภาพริมหาดทรายด้านบน ถ้าเราตั้งค่า +1EV หมายความว่า ภาพทั้งหมด จะดูสว่างขึ้น 1ระดับ บริเวณใบหน้าคน ก็จะสว่างขึ้น รวมทั้งตัวหาดทราย ก็จะดูขาวนวลมากขึ้น ทำให้ภาพโดยรวมดูดีขึ้นได้
การชดเชยแสง (Exposure Compensation)
-[Aug 4, 2001 | ผู้เขียน: นายตากล้อง]-
นอกเหนือจากเรื่อง \'การวัดแสง\' แล้ว \'การชดเชยแสง\' ก็ดูเหมือนจะเป็น อีกเรื่องหนึ่งที่ควบคู่กันไปเสมอ
กล่าวคือ ในขณะที่การวัดแสง จะเป็นการคำนวณว่า ณ สภาพแสง ในขณะนั้น ควรตั้งค่าต่างๆของกล้อง
ให้เป็นเท่าใด จึงจะได้สภาพแสงในภาพ อย่างเหมาะสม ตามที่ควรจะเป็น โดยปกติ แต่เนื่องจาก
การถ่ายภาพเป็นเรื่องของ ศิลปะ ดังนั้น ในบางครั้ง เรากลับต้องการภาพที่แตกต่างออกไป
เช่น อาจต้องการให้ สว่างหรือมืด กว่าปกติ เพื่อให้ความรู้สึกของภาพ สามารถสื่อออกมาได้
อย่างดียิ่งขึ้น หรือในกรณีที่ สภาพแวดล้อมในการถ่ายภาพ ไม่เอื้ออำนวย ให้ระบบการวัดแสงของกล้อง
ทำงานได้อย่างถูกต้อง เช่น เวลาเราถ่ายภาพบนหิมะ หรือบริเวณชายหาด ตอนกลางเที่ยงวัน
ซึ่งหิมะหรือหาดทราย จะสะท้อนแสงออกมามาก ทำให้ค่าของแสงที่วัดได้ จะมีมากกว่าปกติ
ทำให้บริเวณใบหน้าของคนที่เราต้องการถ่าย มืดเกินไปได้
ด้วยเหตุนี้เอง กล้องส่วนใหญ่ที่ดีๆ จะมีระบบการชดเชยแสงมาให้ด้วย เพื่อให้เราสามารถ เลือกได้ว่า เราต้องการให้ภาพที่ถ่ายออกมา สว่าง หรือ มืด กว่าปกติ โดยจะใช้คำว่า Expusure Value หรือ EV เป็นหน่วยวัด กล้องถ่ายภาพทั้งแบบฟิล์ม หรือกล้องดิจิตอล ล้วนมีความสามารถนี้กันทั้งนั้น โดยมีค่าเป็น + หรือ - เป็นกี่ EV เช่น ถ้าเราปรับเป็น +1EV ก็หมายความว่า ภาพที่ถ่ายจะสว่างกว่าปกติ 1ระดับ นั่นเอง ตัวอย่างเช่นการถ่ายภาพริมหาดทรายด้านบน ถ้าเราตั้งค่า +1EV หมายความว่า ภาพทั้งหมด จะดูสว่างขึ้น 1ระดับ บริเวณใบหน้าคน ก็จะสว่างขึ้น รวมทั้งตัวหาดทราย ก็จะดูขาวนวลมากขึ้น ทำให้ภาพโดยรวมดูดีขึ้นได้
การถ่ายภาพผีเสื้อ
-[Aug 4, 2001 | ผู้เขียน: นายตากล้อง]-
วิธีการที่จะทำให้ภาพดูน่าสนใจ สำหรับการถ่ายภาพธรรมชาติ วิธีง่ายๆ วิธีหนึ่งก็คือ
การถ่ายวัตถุ หรือสถานที่ ที่คนทั่วๆไปรู้จัก กันดีอยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้ผู้ชม สนใจในภาพนั้นๆ
และผีเสื้อ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ที่คนทั่วๆไปรู้จักกันดี และก็มีให้เห็นมาก ตามธรรมชาติ
แต่ผมจะนำเสนอออกมา ในแง่มุมที่ไม่ธรรมดา เพื่อช่วยเพิ่มความสนใจ ให้กับภาพนั้นๆ
เช่น การใช้เลนส์ Macro ถ่ายเข้าไปใกล้ๆ หรือ อาศัยพฤติกรรม ที่ไม่ค่อยอยู่นิ่งของมัน
ให้เป็นประโยชน์ แต่ก็เป็นเป้าหมายที่ ยากต่อการถ่ายเช่นเดียวกัน เพราะว่าการบินของมันนั้น
ไม่สามารถคาดการณ์ได้
เช่นเดียวกับ การถ่ายภาพในธรรมชาติทั่วๆไป ที่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง ก็คือ การเลือก เวลาในการถ่าย สำหรับการถ่ายภาพผีเสื้อแล้ว ช่วงที่ดีที่สุด น่าจะเป็นตอนก่อนตะวันขึ้น (ต้องยอมตื่นเช้ากันหน่อย) เนื่องจากโดยธรรมชาติของผีเสื้อแล้ว จะอยู่กับที่นิ่งๆ มากขึ้น เนื่องจาก กระบวนการเผาผลาญพลังงานในตัว จะลดต่ำลง แล้วจะไปซ่อนตัว ให้พ้นสายตา เหล่านักล่าต่างๆ ดังนั้น ถ้าคุณจะถ่ายภาพ พวกมัน ก็ต้องอาศัยการสังเกตที่ดี มันอาจจะหลบอยู่หลังพุ่มไม้ หรือ เกาะอยู่ตามพื้น
ในไม่ช้า เมื่อแสงแดดยามเช้าสาดส่องมา ผีเสื้อเหล่านี้ ก็จะเริ่มคลี่ปีกของตนเอง ออกรับความร้อนจากแสงแดด ณ เวลานี้เอง ที่คุณจะสามารถถ่ายภาพ สีสันต่างๆ บนปีกของมัน ได้อย่างดีที่สุด และ คุณสามารถขยับเข้าไป ใกล้มันได้มากเลยทีเดียว โดยที่มันจะไม่บินหนีไปไหน และมันจะแช่ตัวอยู่อย่างนั้น นานหลายนาทีทีเดียว ซึ่ง คุณก็มีเวลาพอที่จะกางขาตั้งกล้อง หรือ เตรียมอุปกรณ์ต่างๆ เช่น reflect, diffuser, ฯลฯ แต่ต้องระวัง ไม่ให้ตัวคุณไปกระแทก กับอะไรแรงๆ จนมันตกใจหนีไปเท่านั้น
เมื่ออากาศเริ่มอุ่นขึ้น เจ้าผีเสื้อก็จะเริ่มมีการเคลื่อนไหวมากขึ้น และเริ่มโบยบินไปหาอาหาร คุณก็เพียงแต่ตามมันไปยังแหล่งอาหาร ก็จะได้ภาพ ผีเสื้อกำลัง ดูดน้ำหวานจากดอกไม้ หรือ ตอมผลไม้ (แล้วแต่ชนิดของผีเสื้อ)
ในช่วงแรกๆ ตอนเช้า แสงอาจจะยังไม่มาก ทำให้ยังต้องใช้ขาตั้งกล้อง แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณก็ไม่จำเป็นต้องใช้มันอีก แต่สิ่งที่คุณควรจะมีไว้ เพื่อถ่ายภาพผีเสื้อ ก็คือ เลนส์ tele-macro ซึ่งจะช่วยให้การถ่ายภาพ ทำได้ง่ายขึ้น หรืออาจต้องใช้ flash เข้าช่วยถ้าจำเป็น เคล็ดลับอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ การเคลื่อนไหวของคุณ ต้องพยายามให้ช้าๆ เข้าไว้ ผีเสื้อจะไม่สนใจคุณ แต่ถ้าคุณเคลื่อนไหวตัวเร็วๆ มันก็จะบินหนีไปในทันที
และถ้าจะให้ดี ก็ควรศึกษา เรื่องของพันธ์ผีเสื้อต่างๆดูด้วยว่า พันธ์ไหนหายาก พันธ์ไหน พบได้โดยทั่วไป เพื่อที่คุณจะได้เลือก เป้าหมายของคุณได้ถูก หรือจะเลือกจากความสวยงามของมันเพียงอย่างเดียว ก็ได้ ในฐานะที่เป็นตากล้อง มากกว่า นักธรรมชาติวิทยา
สำหรับท่านที่ ไม่มี tele-macro ก็อาจใช้ ฟิลเตอร์จำพวก close-up หรือใช้ extension tube มาช่วยก็ได้ แต่ก็อาจสูญเสียรายละเอียดไปบ้าง
Master Lens
focal length in mm 50 80 105 210 210 300 300 400
Closest Focus Distance
of the Master Lens in inches 18 31 39 43 71 59 98 158
Master Lens
Magnification 0.14 0.13 0.14 0.25 0.14 0.25 0.14 0.11
Length of
Extension in mm
20 0.52 0.36 0.31 0.33 0.23 0.32 0.20 0.16
27.5 0.67 0.46 0.38 0.37 0.26 0.34 0.23 0.18
36 0.84 0.56 0.46 0.41 0.30 0.37 0.26 0.20
52.5 1.17 0.77 0.62 0.49 0.38 0.43 0.31 0.24
56 1.24 0.81 0.65 0.50 0.40 0.44 0.32 0.25
80 1.72 1.11 0.88 0.62 0.51 0.52 0.40 0.31
Magnification obtained by adding extension tubes to some commonly used lenses.
การใช้ extension tube จะทำให้สูญเสียแสงไป 2 stop แต่ระบบวัดแสง TTL จะชดเชยให้ได้ อย่างไรก็ตาม คุณก็ควรจะถ่ายทดสอบ ดูก่อนที่จะไปถ่ายงานจริงๆ สำหรับกล้อง auto-focus ก็อาจจะหาโฟกัสไม่เจอเช่นกัน เมื่อใช้ extension tube ให้ระวังไว้ด้วย
สำหรับการใช้ close-up filter คุณก็ต้องสูญเสียแสงไปบ้างเช่นเดียวกัน สำหรับกล้อง Nikon และ Canon มีรายละเอียด ฟิลเตอร์ดังนี้
close-up lens filter size diopter power Approximate magnification for 100-300mm
zoom with 0.25 (1:4) build in magnification at 300mm
Canon 500D 52, 58, 72, 77mm 2.00 0.85
Nikon 3T 52mm 1.50 0.70
Nikon 4T 52mm 3.00 1.15
Nikon 5T 62mm 1.50 0.70
Nikon 6T 62mm 3.00 1.15
The magnification (M) achieved with close-up lenses may be approximated by the following formula: M = (Diopter power) x (lens focal length/1000) + Lens build in magnification.