Hard disk facts เรื่องจริงของฮาร์ดดิสก์ที่คุณควรรูู้้
7 กุมภาพันธ์ 2545

ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญตกแต่งบ้านโอดครวญ ในเรื่องพื้นที่เก็บของมีขนาดเล็ก ซึ่งเรื่องนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเครื่องพีซีได้เช่นกันเมื่ออุปกรณ์ที่สามารถเก็บข้อมูลได้มากที่สุดคือฮาร์ดดิสก์ ประกอบไปด้วยรูปแบบ, ขนาด และความเร็วทั้งหมด แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ ไม่ว่าคุณจะทำงานเกี่ยวกับรูปถ่ายดิจิตอล, การตัดต่อวิดีโอ, บันทึก MP3 ออดิโอหรือเพียงแค่อีเมล์ธรรมดาๆ คุณก็ค่อยๆเพิ่มข้อมูลลงในฮาร์ดดิสก์ให้เต็มเร็วกว่าที่คาดคิด
นอกจากนั้นมันเป็นการคุ้มค่าหากว่าคุณจะเตือนตัวเองว่าฮาร์ดดิสก์เป็นเพียงที่เดียวที่ข้อมูลทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ รวมทั้งแอพพลิเคชั่นต่างๆ และระบบปฏิบัติการที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดในระบบทั้งหมดของคุณ จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในการเลือกฮาร์ดดิสก์ ให้เหมาะสมและแบ็คอัพข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการสูญเสียข้อมูล

ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นที่มาของบทความนี้และเราจะบอกทุกสิ่งทุกอย่าง ที่คุณต้องการทราบเกี่ยวกับฮาร์ดดิสก์ เริ่มต้นจากการทำงานของฮาร์ดดิสก์ว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้เพื่อให้คุณเลือกรุ่นที่เหมาะสมกับความต้องการ และทำการแบ็คอัพข้อมูลหลังจากติดตั้งระบบเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ว่าคุณจะกำลังอัพเกรดเครื่องพีซี ซื้อเครื่องใหม่ หรือกำลังติดตั้งระบบของคุณ คุณน่าจะได้คำแนะนำ ที่กำลังมองหาอยู่ ฮาร์ดดิสก์ทำงานอย่างไร

ฮาร์ดดิสก์ถูกใช้เพื่อเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์จำนวนมากๆ และมันต่างไปจาก RAM (ซึ่งเป็นหน่วยความจำของระบบ) ฮาร์ดดิสก์จะยังจำข้อมูลได้แม้ว่าจะปิดเครื่องไปแล้วเหมือนเทป ฮาร์ดดิสก์ประสบความสำเร็จ โดยการบันทึกข้อมูลเป็นแม่เหล็กลงบนพื้นผิวชนิดพิเศษ (ไม่มีสนามแม่เหล็กแรงสูงมากๆ มาเกี่ยวข้อง) สามารถบันทึกข้อมูลเก็บไว้ได้เป็นเวลาหลายๆ ปี

ฮาร์ดดิสก์ตัวแรกถูกประดิษฐ์ขึ้นในปี ค.ศ.1950 และใช้จานหมุนวงกลมขนาดใหญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบ 2 ฟุต เก็บข้อมูลได้เพียงไม่กี่เมกะไบต์ ลักษณะทางกายภาพต่างไปจากฟล็อปปี้ดิสก์ ที่จานเหล่านี้จะมีความแข็งมากกว่า ดังนั้นมันจึงได้ชื่อว่าฮาร์ดดิสก์ ในปัจจุบันจานดิสก์เหล่านี้มีขนาดเล็กลงกว่ามาก หมุนได้เร็วกว่ามากจนไม่อาจวัดได้ รวมทั้งเก็บข้อมูลได้มากกว่า ถึงอย่างนั้นในส่วนของทฤษฎีก็ยังเหมือนเดิม จานวงกลมถูกเคลือบลงบนพื้นผิว โดยที่แม่เหล็กทำการอ่านและบันทึกข้อมูลลงพื้นที่ดังกล่าวนี้

จากที่กล่าวไปแล้วฮาร์ดดิสก์อาจดูเหมือนเครื่องเล่นแผ่นเสียงรุ่นเก่าๆ เป็นอย่างมาก เพียงแต่ไม่มีร่องเสียง บนจานเท่านั้น จานดิสก์ได้ถูกแบ่งออกเป็นวงๆ จากจุดศูนย์กลาง เรียกว่าแทร็ก (track) ซึ่งแทร็กเหล่านี้ ก็ได้ถูกแบ่งย่อยออกเป็นส่วนๆ อีก เรียกว่าเซ็กเตอร์ (sector) ที่ส่วนนี้เองเป็นที่บรรจุข้อมูลจริงๆ และด้วยการออกแบบลักษณะนี้ ทำให้หัวอ่านค้นหาเซ็กเตอร์ที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว

ฮาร์ดดิสก์ในปัจจุบันก็เหมือนต้นแบบเก่าๆ คือมีจานดิสก์ซึ่งเก็บข้อมูลได้สองหน้า (double-sided) หลายๆ จาน โดยมีหัวอ่านสำหรับแต่ละหน้า ดังนั้นดิสก์ที่ใช้ 4 จาน จึงมีหัวอ่าน/บันทึกทั้งหมด 8 ตัว หัวอ่านเหล่านี้จะยึดติดกับแขน และเคลื่อนที่ไปพร้อมๆ กัน ตัวแขนเองเคลื่อนที่ เปลี่ยนตำแหน่งไปมาในระดับความเร็วที่น่าอัศจรรย์ จากขอบจานไปยังศูนย์กลางและกลับมาที่ตำแหน่งเดิม 50 ครั้งต่อนาที ตัวจานดิสก์ต่างๆ เองก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เช่นกัน ด้วยในทุกวันนี้ ดิสก์ราคาถูกที่สุดมีความเร็วรอบที่ 5,400 rpm (revolutions per minute) และที่อวดว่าเร็วที่สุด มีความเร็วที่ 15,000 rpm จานที่กำลังหมุนได้สร้างลมขึ้นมาป้องกันในขณะที่หัวอ่านทำงานอยู่ หัวอ่านจะสัมผัสพื้นผิวเมื่อดิสก์เข้าสู่โหมดสลีฟ(sleep) หรือเมื่อปิดเครื่องเท่านั้น และจากนั้นมันจะกลับสู่ตำแหน่งเดิมในบริเวณที่ปลอดภัย

Capacity (ความจุฮาร์ดดิสก์)

ความจุของฮาร์ดดิสก์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ราคาตกลงตลอดเวลา ราคาโดยเฉลี่ยของฮาร์ดดิสก์ ที่มีความจุ 40GB จากบริษัทชั้นนำในตลาดได้แก่ ซีเกต (Seagate), ไอบีเอ็ม (IBM), แม็กเตอร์ (Maxtor) หรือเวสเทิร์น ดิจิตอล (Western Digital) เมื่อเดือนที่ผ่านมาอยู่ประมาณ 4,000 บาท ในขนาดความจุอื่นๆที่เหลือ รุ่น Barracuda 180 ของซีเกต ที่ในปัจจุบันนี้มีความจุใหญ่ที่สุดของฮาร์ดดิสก์หน้าเดียว คุยว่า 180GB ที่ราคา 12,000 บาท อย่างไรก็ตามดิสก์เช่นนี้ ถูกออกแบบมาสำหรับระบบลักษณะพิเศษเช่นเซิร์ฟเวอร์

ราคาในกลุ่มฮาร์ดดิสก์ บางทีอาจจะหาฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุอย่างน้อย 20GB ราคาเกือบๆ 3,700 บาท ดิสก์ความจุ 30GB ราคาอยู่ที่ 3,900 และ 40GB ที่ราคา 4,000 บาท แต่ตัวกำหนดความจุของฮาร์ดดิสก์ อย่างแท้จริงคืออะไรล่ะ? ในท้ายที่สุดก็ตกมาอยู่ที่ 3 ปัจจัย นั่นคือ จำนวนของจานและขนาด ร่วมกับความหนาแน่นของข้อมูล

จำนวนของบิตจริงๆ ที่สามารถถูกเก็บได้ต่อตารางนิ้วหรือตารางเซนติเมตร เป็นเทคนิคที่รู้กันว่า เป็นความหนาแน่นต่อพื้นที่ (areal density) ย้อนไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซีเกตถือว่าได้เขย่าสถิติโลกสำหรับความหนาแน่นต่อพื้นที่ด้วยขนาด 32.6Gb(กิกะบิต) ต่อตารางนิ้ว ซึ่งยอมให้ได้ถึง 40GB ต่อจานขนาด 3.5in อย่างไรก็ตามฮาร์ดดิสก์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันต่างมีรุ่นใหม่ๆ ทยอยออกมามากมายให้เปรียบเทียบ ด้วย 15GB ต่อจาน 3.5in เท่านั้น เช่นรุ่น 180GB Master ของซีเกตที่มีถึง 12 จานดิสก์

เห็นได้ชัดว่ายิ่งขนาดจานใหญ่เท่าใด ข้อมูลที่คุณสามารถเก็บลงไปก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ฮาร์ดดิสก์ในเครื่องพีซี เดสก์ทอปส่วนใหญ่มีจานขนาด 3.5in ขณะที่ไดร์ฟของโน้ตบุ๊ค ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า ใช้จาน 2.5in File

System <ไฟล์ซิสเต็ม>

เครื่องพีซีไม่สามารถเริ่มต้นบันทึกข้อมูลลงในฮาร์ดดิสก์ได้จนกว่าเซ็กเตอร์ต่างๆ จะถูกฟอร์แมตเสียก่อน กระบวนการนี้เริ่มต้นด้วยการแบ่งดิสก์แต่ละพาร์ติชั่นสามารถถูกฟอร์แมตด้วยไฟล์ซิสเต็มภายหลังจากที่คอมพิวเตอร์ของคุณกำหนดตัวมัน ด้วยอักษรภาษาอังกฤษแล้ว เริ่มกันที่ C

ไฟล์ซิสเต็มแรกที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางถูกเรียกว่า FAT16 มาจาก 16bit File Allocation Table ซึ่งให้การสนับสนุนโดยระบบปฏิบัติการยี่ห้อไมโครซอฟท์ทั้งหมด แต่สามารถจัดการแบ่งเนื้อที่ พาร์ติชั่นสูงสุดได้แค่ 2GB เท่านั้น คุณสามารถแบ่งดิสก์ออก เพิ่มอีกพาร์ติชั่นที่มีขนาด 2GB ได้ แต่จะต้องกำหนดชื่อไดร์ฟเป็นอักษรที่ต่างไป เพราะอาจเกิดการสับสนได้

ต่อมาไมโครซอฟท์ได้พัฒนา FAT32 ขึ้น ซึ่งสามารถฟอร์แมตพาร์ติชั่นสูงสุดถึง 2,000GB และถูกใช้บนระบบวินโดวส์ทั้งหมดด้วยดิสก์ที่ใหญ่กว่า 2GB (หมายเหตุว่า วินโดวส์ NT และ 2000 นั้นเสนออีกทางเลือกของไฟล์ซิสเต็มชื่อว่า NTFS กล่าวคือเพื่อเสนอระบบความปลอดภัยและการกู้ข้อมูลที่ดีกว่า นอกจากนั้น ระบบปฏิบัติการ Linux ก็มีไฟล์ซิสเต็มเป็นของตัวเองเช่นกัน)

อ้างอิง http://technology.mweb.co.th/articles/9718.html