|
|
|
DIGITAL DIVIDE ในอัฟริกา Iการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตยังเป็นปัญหาสำคัญของหลายๆประเทศบนโลกนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศกำลังพัฒนา เรามีคำกล่าวถึง “Digital Divide” หรือ “ความเหลื่อมล้ำทางดิจิตัล” ซึ่งหมายความถึงการเกิดช่องว่างของ “ผู้มีข่าวสาร (Information haves)” และ “ผู้ไร้ข่าวสาร (Information have nots)” ระหว่างประชากรกลุ่มต่างๆในสังคมโลก[1] ความไม่เท่าเทียมกันของโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีและการสื่อสารนี้ เป็นปรากฏการณ์ที่ได้รับความสนใจอย่างมากในระดับโลก เพราะสามารถส่งผลกระทบถึงปัญหาของประเทศในด้านต่างๆได้อย่างกว้างขวางที่เดียว ดร. Trevor R. Roycroft และ ศิริวรรณ อนันต์โท ได้มีความสนใจเรื่อง Digital Divide นี้ และร่วมกันศึกษาวิเคราะห์ถึงสภาพปัจจัยปัญหาที่ส่งอิทธิพลต่อการใช้อินเทอร์เน็ตของประชากรในทวีปอัฟริกา โดยเก็บข้อมูลจากผู้ใช้อินเทอร์เน็ตใน 54 ประเทศ เพื่อวิเคราะห์และประเมินว่าปัจจัยใดน่าจะส่งอิทธิพลต่อคนในทวีปอัฟริกาในการใช้บริการอินเทอร์เน็ตกันบ้าง ผลการศึกษาพบว่า ประเทศในทวีปอัฟริกาหลายประเทศกำลังเผชิญปัญหาคู่ขนานเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำทางดิจิตัล ปัญหาขั้นที่ 1 คือ ประชากรของทวีปอัฟริกาส่วนใหญ่ยังขาดโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และปัญหาขั้นที่ 2 คือ แม้ในหมู่คนมีโทรศัพท์ใช้แล้วก็ตาม การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตก็ยังมีข้อจำกัด ซึ่งแสดงถึงความเหลื่อมล้ำแบบคู่ขนานนั่นเอง ในจำนวนประเทศอัฟริกัน 54 ประเทศ ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยนี้ อัตราเฉลี่ยของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมีเพียงร้อยละ 5.5 ผู้เขียนบทความทั้งสองได้กำหนดจุดเน้นอยู่ที่การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นสมาชิกการใช้อินเทอร์เน็ต(Internet Subscription) ในกลุ่มประชากรที่มีโทรศัพท์ ซึ่งผลจากการศึกษานี้จะช่วยในการกำหนดนโยบายที่เป็นไปได้ ในอันที่จะช่วยส่งเสริมการเป็นสมาชิกอินเทอร์เน็ตในกลุ่มประชากรของประเทศกำลังพัฒนาที่มีศักยภาพในการใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ในขณะนี้ ตัวแปรที่ผู้เขียนคิดว่าจะมีผลในการใช้อินเทอร์เน็ตของคนอัฟริกันในครั้งนี้ ได้ถูกกำหนดเป็นสมมติฐานต่อไปนี้: 1) ระดับการพัฒนาเศรษฐกิจในแต่ละชาติ (ประเทศที่มีระดับการพัฒนาเศรษฐกิจสูง น่าจะมีจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสูง) 2) จำนวน bandwidth[2] ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตนานาชาติ ถ้า(ศักยภาพของ bandwidthในประเทศสูง ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลจากต่างประเทศได้ง่าย ก็จะใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น) 3) เนื้อหาของอินเทอร์เน็ตระดับท้องถิ่น (ถ้าเนื้อหาบนอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ภายในประเทศหรือท้องถิ่นมากขึ้น ประชาชนจะใช้อินเทอร์เน็ตกันมากขึ้น) 4) โครงสร้างการตลาดของอุตสาหกรรมผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet ISP) (ถ้าโครง สร้างการตลาดเป็นการแข่งขันเสรี จะทำให้เกิดบริการรูปแบบใหม่ๆมากขึ้น และราคาการให้บริการจะถูกลง ประชาชนก็จะใช้อินเทอร์เน็ตกันมากขึ้น) 5) อัตราค่าโทรศัพท์ภายในประเทศ (ถ้ามีการเรียกเก็บค่าบริการมากกว่าโทรศัพท์ปกติใน การต่อเข้าอินเทอร์เน็ต จะไม่ทำให้ประชาชนใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น) 6) ภาษาพูดในประเทศ (เนื่องจากภาษาที่ใช้ในอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ ประเทศที่มีการพูดภาษาอังกฤษกันมากจึงน่าจะมีอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตกันมากด้วย) เนื่องจากเนื้อที่ในการนำเสนอมีจำกัด ส่วนแผนงานและวิชาการจะนำรายละเอียดและผลการศึกษามาเสนอต่อในตอนหน้า ที่มา: Trevor R. Roycroft & Siriwan Anantho (2003). Internet subscription in Africa: policy for a dual digital divide. Telecommunications Policy, 27, pp. 61-74. [1] สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ. รายงานผลการสำรวจกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2544. หน้า 6. ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ. 2545. [2] Bandwidth เป็นค่าที่อธิบายถึงความเร็วสัมพัทธ์ในการติดต่อกับเครือข่าย เช่น การติดต่อผ่านโมเด็มโดยการ dial-up bandwidth ที่ใช้งานทั่วไปมีค่า 56 กิโลบิตต่อวินาที (kbps (103) ส่วน Broadband จะหมายถึงการติดต่อผ่านเครือข่ายความเร็วสูง (เช่น การติดต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางเคเบิลโมเด็มและสายชนิด Digital Subscriber Line (DSL)) ไม่มีการกำหนดค่าที่แน่นอนไว้ว่า การติดต่อแบบ broadband จะต้องมีค่า bandwidth เท่าใด แต่โดยทั่วไปแล้วจะใช้ค่าประมาณ 1 เมกกะบิตต่อวินาที (Mbps (106)) ขึ้นไป [ข้อมูล bandwidth จาก http://thaicert.nectec.or.th/paper/basic/home_networks.php#II-A].
|
|
![]() |
![]() |
|
ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ |
โทร: 0 2247 8551 โทรสาร: 0 245 9038 |