ลักษณะการเกิดคลื่น
สมมุติว่าเราโยนก้อนหินลงไปในน้ำ
ทันทีที่ก้อนหินกระทบผิวน้ำจะเกิดลูกคลื่นของน้ำกระจายไปโดยรอบ
เป็นวงกลม
สังเกตเห็นว่ารูปคลื่นกระจายกว้างออกไปเรื่อย
ๆ แต่ผิวน้ำนั้นเพียงกระเพื่อมขึ้นลงเท่านั้น
ดังนั้นกล่าวได้ว่า
การเดินทางของคลื่นเป็นการเดินทางของพลังงานชนิดหนึ่ง
ซึ่งถ้าสังเกตผิวน้ำที่กระเพื่อมขึ้นลง
จะเห็นว่ามีลักษณะเป็นลอนคล้ายลอนของสังกะสีหลังคาบ้าน
หากดูทางภาคตัดขวางจะมีลักษณะเป็นคลื่นซายน์ (SINE
WAVE ) ดังรูปที่ 1

รูปที่ 1
ภาคตัดขวางของลูกคลื่น
จุดสูงสุดของคลื่นเรียกว่า
ยอดคลื่น และจุดต่ำสุดของคลื่นเรียกว่า
ท้องคลื่น
ลูกคลื่นแต่ละลูกคลื่นจะแสดงการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพครบหนึ่งรอบพอดี
จากรูปที่ 1 การเปลี่ยนแปลงจาก A
ถึง E คือ A B C
D E จะแทนคลื่น 1 ลูก
หลังจากนั้นจะเริ่มรอบใหม่หรือคลื่นลูกใหม่ต่อไป
ถ้าเราปักไม้ไว้ในน้ำแล้วคอยสังเกตดูลูกคลื่นที่ผ่านไม้นั้น
จำนวนลูกคลื่นที่ผ่านจุดใดจุดหนึ่งกำหนดต่อวินาที
เราเรียกว่า ความถี่ ซึ่งหมายถึง
จำนวนรอบของการเปลี่ยนแปลงต่อวินาที ( CYCLE
PER SECOND ) ในปัจจุบัน
เรียกว่า เฮริตซ์ (HERTZ)
การวัดระยะห่างระหว่างยอดคลื่นของคลื่นแต่ละลูก
ค่าที่ได้เรียกว่า ความยาวคลื่น ( WAVELENGTH )
ใช้สัญลักษณ์ l มีหน่วยเป็นเมตร
ระยะเวลาที่คลื่นใช้ไปในการเดินทางเป็นระยะทาง
1 ความยาวคลื่น เรียกว่า คาบ (
PERIOD) ใช้แทนด้วยตัวอักษร T
มีหน่วยเป็นวินาที
คลื่นวิทยุก็มีความคล้ายคลึงกันกับคลื่นในน้ำ
คลื่นจะเกิดได้จะต้องมีแหล่งกำเนิด
ใน
กรณีของคลื่นในน้ำนั้นเกิดจากการโยนก้อนหินกระทบผิวน้ำ
แต่คลื่นวิทยุนั้น
เกิดจากการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้าในอากาศ
ซึ่งจะเกิดคลื่นวิทยุกระจายออกไปรอบ ๆ
สายอากาศ ดังรูปที่ 2

รูปที่ 2
คลื่นวิทยุกระจายออกจากสายอากาศ
ความสัมพันธ์ระหว่างค่าต่าง
ๆ ของคลื่นวิทยุ คือ
C =
l f
หรือ l = C / f
และ f =
1 / T
โดย
C = ความเร็วแสง
3 * 108 เมตรต่อวินาที
f = ความถี่
l = ความยาวคลื่น
T = คาบ