ติมอร์ตะวันออก             ดินแดนแห่งการต่อสู้

 

                นับเป็นเวลาเกือบ 400 ปี ที่ติมอร์ ตอ. ถูกต่างชาติครอบครอง ประชาชนชาวติมอร์ได้ต่อสู้มาเป็นเวลานาน ต่างเสียเลือดเสียเนื้อก็เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นเอกราชของแผ่นดิน

ติมอร์ ตอ. ตั้งอยู่บนเกาะติมอร์ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะนูสาเตงการา ( NUSA TENGGARA ) โดยอยู่ห่างจากประเทศไทยไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 3,700 กม. เกาะ  
ติมอร์แบ่งเป็นติมอร์ ตต.ซึ่งเป็นดินแดนของประเทศอินโดนีเซีย และติมอร์ ตอ. พื้นที่ของติมอร์ ตอ.ประมาณ 19,000 ตร.กม. คิดเป็น 3 ใน 5 ของพื้นที่ทั้งเกาะ (32,000 กม.) ทิศเหนือมีอาณาเขตติดต่อกับทะเลซาวู (
SAVU SEA) ทิศตะวันออกและทิศใต้ติดกับทะเลติมอร์ (TIMOR SEA) และทิศตะวันตกติดกับ ติมอร์ ตต. ประเทศอินโดนีเซีย

สภาพภูมิประเทศทั่วไปของเกาะติมอร์นั้นซึ่งเป็นเกาะที่เกิดจากภูเขาไฟ จึงเต็มไปด้วยภูเขาและผืนดินขรุขระ แห้งแล้งและกันดาร สำหรับสภาพภูมิอากาศนั้นเนื่องจากติมอร์ ตอ. ตั้งอยู่ในบริเวณแถบเส้นศูนย์สูตร  ได้รับอิทธิพลจาก
ลมมรสุมเขตร้อน ดังนั้นจึงทำให้ติมอร์ ตอ.มีเพียง 2 ฤดู คือฤดูแล้งซึ่งได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ พัดเอาความแห้งแล้งจากทะเลทรายในประเทศออสเตรเลียเข้ามา โดยเริ่มตั้งแต่เดือน เม..-.. และฤดูฝนที่ได้รับอิทธิพล    จากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ พัดความร้อนชื้นจากเส้นศูนย์สูตร เริ่มตั้งแต่เดือน พ..-มี..

ระวัติความเป็นมา

จากการที่ในอดีตเกาะติมอร์เป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ของไม้จันทน์หอม สามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบ จึงเป็นที่ดึงดูดใจของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะประเทศโปรตุเกสที่ได้เข้ามาแสวงหาประโยชน์ในปี พ..2035 จนกระทั่งยึดครองเกาะติมอร์เป็นอาณานิคมเมื่อปี พ..2158 ซึ่งประวัติศาสตร์ของติมอร์ ตอ. สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ห้วงเวลาคือ

 1 ห้วงเวลาการเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส (..2158 – ..2517)

หลักจากที่โปรตุเกสได้เข้ามาแสวงหาประโยชน์จากไม้จันทน์หอม และต่อมาได้ยึดเกาะติมอร์เป็นอาณานิคมเมื่อปี พ..2158 การปกครองของโปรตุเกสนั้นเพียงเพื่อที่จะมุ่งสร้างแต่ผลประโยชน์ให้แก่ประเทศของตนเองเป็นหลัก จึงไม่ได้สนใจที่จะพัฒนาความเจริญให้กับติมอร์ ตอ. โดยเฉพาะในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน อย่างไรก็ตามโปรตุเกสเป็นชาติที่ไม่เหยียดผิว ซึ่งผิดกับประเทศมหาอำนาจในขณะนั้นเช่น ฮอลันดา อังกฤษ ซึ่งเหยียดผิว และไม่กดขี่ชาวพื้นเมืองแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้พัฒนาดินแดนที่นี่เลย ทำให้ติมอร์ ตอ. ด้อยพัฒนามาก โดยเฉพาะในห้วง 50 ปีสุดท้าย โปรตุเกส
ปก
ครองด้วยระบบเผด็จการ ก็ยิ่งทำให้ประเทศของตัวเองและประเทศอาณานิคมนั้นย่ำแย่ไปด้วย จนกระทั่งวันที่ 26 มี..2517 ได้มีการปฏิวัติขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหารของโปรตุเกส ในระหว่างนั้นอาณานิคมบางประเทศก็ได้มีการต่อสู้กับทหารโปรตุเกสเป็นผลทำให้ทหารโปรตุเกสล้มตายไปมาก รัฐบาลใหม่จึงมีนโยบายให้เอกราชคืนแก่อาณานิคมเหล่านี้ ซึ่งรวมถึงติมอร์ ตอ.ด้วย รัฐบาลโปรตุเกสจึงให้เอกราชแก่ติมอร์ ตอ. และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยพรรค FRETILIN (Revolution Front for an Independent East Timor) ที่ได้คะแนนสูงสุดเป็นแกนกลางในการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว เพื่อรอการส่งมอบเอกราชจากโปรตุเกสอย่างเป็นทางการ แต่ปรากฎว่ารัฐบาลอินโดนีเซียที่หวังจะยึดติมอร์ ตอ. ได้เริ่มแทรกแซงในขณะที่ติมอร์ตะวันออก ยังอ่อนแอโดยการยุยงให้พรรค UDT (Democratic Union of Timor) ที่สนับสนุนอินโดนีเซีย ก่อจลาจลจนเกิดสงครามการเมือง เหตุการณ์ดำเนินไปประมาณ 3 อาทิตย์ มีประชาชนเสียชีวิตประมาณ 2,000 คน ก่อนที่พรรค FRETILIN จะสามารถเอาชนะได้

ในเดือนสิงหาคม 2518 โปรตุเกสได้ถอนทหาร และพลเรือนออกไปจากติมอร์ ตอ.อย่างเงียบๆ โดยไม่มีการส่งมอบเอกราชอย่างเป็นทางการ ขณะที่รัฐบาลใหม่ของติมอร์ ตอ. ก็ยังไม่เรียบร้อย จึงเป็นโอกาสของอินโดนีเซียที่จะเข้ามาก่อกวนโดยการเผาไร่นาและบ้านเรือนตามชายแดนติมอร์ ตอ. กับติมอร์ ตต. จนวันที่ 28 ..18 พรรค FRETILIN ได้ประกาศเอกราชและตั้งชื่อประเทศว่า The Republic Democratic of Timor Lorosae ( RDTL ) และเรียกร้องให้ประชาคมทั่วโลกช่วยกันหยุดยั้งการรุกรานของอินโดนีเซีย แต่แล้วในที่สุดเมื่อวันที่ 7 ..18   ทหารอินโดนีเซียกำลัง 10,000 นายได้เข้ายึดติมอร์ ตอ. ได้สำเร็จ และผนวกเอาติมอร์ ตอ.เป็นจังหวัดที่ 27 ของอินโดนีเซียในเวลาต่อมา

  2 ห้วงเวลาที่เป็นส่วนหนึ่งของอินโดนีเซีย (..2518 – ..2542)

       อินโดนีเซียผนวกติมอร์ ตอ.เข้าเป็นจังหวัดที่ 27 เมื่อ 7 ..18 สำหรับเหตุผลในการยึดครองติมอร์ ตอ.นั้นมีอยู่หลายเหตุผลด้วยกัน อินโดนีเซียอ้างว่าเมื่อโปรตุเกสได้ถอนกำลังออกจาก ติมอร์ ตอ.แล้วได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นระหว่างผู้สนับสนุนพรรคการเมืองในติมอร์ ตอ. 3 พรรค ได้แก่ พรรค FRETILIN  APODETI  และ UDT อินโดนีเซียจึงส่งทหารเข้ามาควบคุมสถานการณ์ ซึ่งแท้จริงแล้วอินโดนีเซียได้สนับสนุนให้แก่พรรค APODETI และ UDT ในการก่อความวุ่นวาย เหตุผลต่อไปคือ อินโดนีเซียอ้างว่าเป็นการป้องกันภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ ซึ่งในเวลานั้นภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์เป็นภัยคุกคามที่ทุกประเทศกลัวกันมากที่สุด เนื่องจากทราบว่ามีบางพรรคการเมืองหรือบางกลุ่ม ซึ่งหมายถึงพรรค FRETILIN ฝักใฝ่ในลัทธิมาร์คซิสต์ โดยมีข่าวว่าติมอร์ ตอ.จะถูกคอมมิวนิสต์คุกคามแล้วจะลุกลามมายังบางส่วนของอินโดนีเซีย เหล่านี้เป็นเหตุผลที่อินโดนีเซียอ้างขึ้นมาเท่านั้น แต่สำหรับเหตุผลที่แท้จริงนั้นแล้วคือ การแสวงหาผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยเฉพาะผลประโยชน์ในทะเลที่มีมูลค่ามหาศาลอันได้แก่ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติในทะเล   หลังจากครอบครองติมอร์ ตอ.แล้ว อินโดนีเซียก็ได้ทำสัญญากับออสเตรเลียในการสำรวจและขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในทะเลบริเวณช่องแคบติมอร์ หรือเรียกว่า TIMOR GAP ซึ่งอยู่ระหว่างอินโดนีเซียกับออสเตรเลีย โดยลงนามเมื่อปี พ..2532 ดังนั้นจะเห็นว่าอินโดนีเซียได้กล่าวอ้างความชอบธรรมในการที่จะยึดครองติมอร์ ตอ. ในขณะเดียวกันสหประชาชาติก็ได้เรียกร้องให้อินโดนีเซียถอนทหาร แต่ก็ไม่เป็นผล เนื่องจากสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นมหาอำนาจฝ่ายโลกเสรีต้องพึ่งพาอาศัยอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ไว้เป็นพันธมิตร ในการดำรงไว้ซึ่งอิทธิพลฝ่ายโลกเสรีไว้ ในยุคสงครามเย็น ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่คอมมิวนิสต์กำลังแผ่ขยายอิทธิพลทั่วโลก นอกจากนั้นสหรัฐฯยังมีผลประโยชน์ในเรื่องการขายอาวุธให้แก่อินโดนีเซียอีกด้วย ทำให้สหรัฐฯไม่สนใจต่อการยึดครองของติมอร์ ตอ.ในห้วงเวลานั้น  ทำให้อินโดนีเซียครอบครองติมอร์ ตอ.โดยสมบูรณ์ตลอดมาเป็นห้วงระยะเวลาที่ยาวนาน 

การอยู่กับอินโดนีเซียนั้น ติมอร์ ตอ.ได้รับการพัฒนาอย่างมากโดยเฉพาะในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น   โดยรัฐบาลอินโดนีเซียได้ทุ่มงบประมาณในการสร้างสิ่งต่างๆมากมาย เข่น การสร้างถนนลาดยาง สะพาน โรงเรียน โรงพยาบาล อันเป็นประโยชน์ต่อชาวติมอร์ ตอ.เป็นอย่างมาก  ทำให้ชาวติมอร์ ตอ. มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมีการค้าขายกันมากขึ้น โดยเฉพาะการค้าระหว่างเกาะต่างๆของอินโดนีเซีย จึงทำให้เศรษฐกิจในติมอร์ ตอ.ค่อนข้างจะดีขึ้นมากกว่าในอดีตสมัยที่อยู่ภายใต้อาณานิคมของโปรตุเกส 

นทางสู่เอกราช

 ถึงแม้ระยะทางแห่งการต่อสู้เรียกหาความเป็นเอกราชและอิสรภาพจะยาวนานก็ตาม แต่ชาวติมอร์ ตอ.ก็แสดงให้ชาวโลกรู้ว่าความเป็นนักต่อสู้นั้น สามารถที่จะนำชัยชนะอันยิ่งใหญ่มาสู่ชาวติมอร์ ตอ.ได้ในที่สุด  โดยเริ่มทำการต่อสู้กับเจ้าอาณานิคมในขณะนั้นคือโปรตุเกส แต่สถานการณ์การต่อสู้ในตอนนั้นยังไม่รุนแรงมากนัก

ในห้วงที่อยู่ในการปกครองของอินโดนีเซียนั้น ก็ได้เกิดการต่อสู้เรียกร้องเอกราชมาโดยตลอดเป็นผลทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวติมอร์ ตอ. เป็นจำนวนมาก เหตุการณ์การสังหารหมู่ชาวติมอร์ ตอ.ของทหารอินโดนีเซียที่โบสถ์ SANTA CRUZ ในกรุง DILI เมื่อปี 2534 ได้มีการเผยแพร่ออกไปทั่วโลก ทำให้ติมอร์ ตอ.เป็นที่สนใจของชาวโลกมากขึ้น องค์กรต่างๆ จึงพยายามที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ติมอร์ ตอ. จนในที่สุดเมื่ออินโดนีเซียเกิดปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ และปัญหาทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขได้ จึงทำให้ประธานาธิบดีอินโดนีเซียขณะนั้น
นายซูฮาร์โต ถูกบีบลงจากอำนาจ โดยที่ผู้ได้เป็นประธานาธิบดีในเวลาต่อมาคือ นายบีเจ ฮาร์บีบี ซึ่งได้รับกระแสกดดันจากภายนอกประเทศโดยเฉพาะจากองค์การสหประชาชาติและสหรัฐอเมริกา ในการให้ชาวติมอร์ ตอ.ลงประชามติว่าจะต้องการเป็นเอกราชหรือต้องการอยู่กับอินโดนีเซียต่อไป ดังนั้น
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งองค์การสหประชาชาติได้มีมติเมื่อเดือน มิ..42 จัดตั้งหน่วยงาน UNAMET (UNITED NATIONS ASSISTANCE MISSION IN EAST TIMOR) เพื่อเตรียมให้มีการลงประชามติ และในวันที่ 30 ..42 ได้มีการลงคะแนนเสียง ผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการปรากฏว่าชาว
ติมอร์ ตอ. ร้อยละ 78.5 ต้องการเป็นเอกราช นับเป็นชัยชนะซึ่งแสดงถึงความต้องการของประชาชนชาวติมอร์ ตอ.ในการต้องการเป็นเอกราชอธิปไตย ไม่ขึ้นกับประเทศอื่นๆ อีกต่อไป อย่างไรก็ตามหลังการประกาศผลการลงประชามติ กกล.กลุ่มติดอาวุธ หรือที่เรียกว่า MILITIA ที่ได้รับการสนับสนุนจากทหารอินโดนีเซีย ไม่ยอมรับผลของการลงประชามติ จึงได้ก่อความไม่สงบ

กำลังหลักที่ต่อสู้เพื่อชาวติมอร์ ตอ. มาตลอดคือกองกำลังติดอาวุธ FALINTIL ที่มีนาย
ซานานา กุสเมา ( XANANA GUSMAO ) เป็นผู้นำ ถึงแม้ว่าจะขาดแคลนอาวุธที่ทันสมัย  อีกทั้งกำลังพลมีจำนวนน้อยกว่าทหารอินโดนีเซียอยู่มาก แต่ก็สามารถทำความสูญเสียให้กับทหารอินโดนีเซียพอสมควร นอกจากการจับอาวุธขึ้นต่อสู้แล้ว ยังต้องอาศัยการทูตและการเมืองระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยมีนาย รามอส ฮอร์ตา ( RAMOS HORTA ) ที่ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศเป็นผู้คอยประสานงานกับหน่วยงานและองค์กรต่างๆเพื่อที่จะชอความช่วยเหลือ และกดดันให้อินโดนีเซียยอมปลดปล่อยติมอร์ ตอ. อีกทั้งยังมีการเคลื่อนไหวในทางลับของกลุ่มนักศึกษาชาวติมอร์ ตอ. ที่ไปศึกษาอยู่ในต่างประเทศ เช่น ที่อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และในยุโรป เป็นต้น จึงทำให้มอร์ ตอ. ได้รับเอกราชในที่สุด 

ติมอร์ ตอ. ประเทศที่กำลังจะเกิดใหม่ในโลกเป็นประเทศที่ 192 โดยความร่วมมือของชาวติมอร์ ตอ.ทุกคนที่ช่วยกันเรียกร้องและต่อสู้ จนดินแดนแห่งการต่อสู้แห่งนี้ได้รับอิสรภาพ

            

  *************************************