การละเล่น

                                                    ลิเกป่า

 

              ลิเกป่า เป็นการละเล่นพื้นบ้าน เชื่อกันว่า เป็นการละเล่นที่ได้รับมาจากแขกเปอร์เซีย หรือ มลายู เพราะตัวเอกของเรื่องเป็นแขก และการเทียบคำในภาษาที่ใช้อยู่บางคำ เช่น "ลิเก" น่าจะมาจากคำว่า "ดิเกร์" ในภาษาเปอร์เซีย และเครื่องประกอบจังหวะการรำชิ้นหนึ่ง คือ "รำมะนา" น่าจะมาจากคำว่า ระบานา (rebana)

          ลิเกป่า คณะหนึ่ง ๆ มีประมาณ 14-15 คน เป็นผู้บรรเลงเครื่องดนตรี 6-8 คน นอกนั้นเป็นผู้แสดง เครื่องดนตรีประกอบด้วย รำมะนา โหม่ง ฉิ่ง กรับ ปี่ บางโรงอาจมีกลองและซอ การแสดงลิเกป่า เริ่มด้วยการโหมโรงหรือลงโรง โดยการบรรเลงดนตรี ร้องเกริ่นวง การร้องรำของตัวแขกแดงและแขกขาว การบอกชื่อเรื่องที่จะแสดง และแสดงตามท้องเรื่อง ตามลำดับ เรื่องที่แสดง ได้แก่ โคบุตร ลักษณวงศ์ และสุวรรณหงส์

         การแต่งกายของผู้แสดงมักจะแต่งกันตามมีตามเกิด ยกเว้นแขกแดง แขกขาว และตัวเอก ในเรื่องจะแต่งตัวและมีเครื่องประดับเป็นพิเศษ โรงที่แสดงแบ่งเป็นสองตอน ด้านหน้าเปิดโล่ง ทั้งสามด้านเป็นบริเวณที่ใช้แสดง เนื้อที่ประมาณ 16-20 ตารางเมตร ตรงกลางมีฉากหรือม่านกั้น ด้านหลังเป็นที่พัก แต่งตัว และเก็บข้าวของต่าง ๆ

        ในอำเภอท่าฉาง เดิมมีลิเกป่าให้ลูกหลานดูได้แทบทุกงาน ไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานวัด หรือ งานศพ แต่ปัจจุบันมีเหลืออยู่บ้าง และสามารถติดต่อได้ที่

             1. นายเสริม  ประเสริฐศิลป์          หมู่ 3  ตำบลท่าฉาง

             2. นายแคล้ว  แผนมณี                 หมู่ 1  ตำบลท่าเคย

             3. นายกรีต  แก้วศรีจันทร์             หมู่ 1  ตำบลปากฉลุย

             4. นางผาด  เหล็กเนตร                หมู่ 1  ตำบลปากฉลุย

 

 

  

    มโนห์รา

         มโนห์ราหรือโนรา เชื่อว่าแพร่มาจากอินเดียเข้าสู่ประเทศไทยทางชวาและมลายู ลีลาท่ารำของมโนห์รามีศิลปะจากอินเดียและชวาปนอยู่เป็นจำนวนมาก การดำเนินการแสดงมีลักษณะคล้ายคลึงกับ มะโย่ง ซึ่งเป็นการแสดงของมลายู

           มโนห์ราคณะหนึ่งมีประมาณ 14-15 คน ส่วนหนึ่งเป็นนักดนตรี 4-5 คน เครื่องดนตรีที่สำคัญ คือ ทับ โหม่ง ปี่ กลอง ฉิ่ง แกระ การแสดงเริ่มต้นด้วยการโหมโรง หรือลงโรง เชิญครูหรือกาดครู ว่าบทหน้าม่าน ร่ายรำอวดท่า ขับกลอนการแสดง ตามเนื้อเรื่อง ตามลำดับการร่ายรำหรือการขับกลอนของมโนห์ราแต่ละคนอาจจะมีจำนวนผู้แสดงแตกต่างกัน

           บทร้องมโนห์รามี 2 ลักษณะ คือ บทร้องที่ไม่มีท่ารำประกอบ เช่น บทกาดครู บทหน้าม่าน และบทร้องที่มีท่ารำประกอบ เช่น บทครูสอน บทสอนรำ บทประถม บทผันหน้า บทสีโต เป็นต้น ส่วนท่ารำมีท่ารำมาตรฐาน 12 ท่า เรียกว่า ท่าสิบสอง ถือเป็นแม่ท่า นอกจากนี้มีท่ารำเฉพาะ เช่น ท่ารำพราน ท่ารำล่อปี่ ท่ารำยั่วกัน ท่ารำขอเทริด

           การแต่งกายของมโนห์รามีเครื่องประดับที่สวยงาม มีเทริด หางหงส์ ผ้านุ่ง ผ้าห้อยหน้า ผ้าห้อยข้าง กำไลมือ กำไลเท้า เล็บ สังวาล ทับทรวง ปีกนกนางแอ่น สนับเพลามีเชิงและลูกปัด

         โรงที่ใช้แต่เดิมไม่มีการยกพื้น ปลูกเป็นโรงสี่เหลี่ยมขนาด 4x4.5 เมตร เปิดโลงทั้งสี่ด้าน มีเสากลางอยู่ต้นหนึ่ง เรียกว่า "เสามหาชัย" หลังคาเป็นรูปหน้าจั่ว ไม่มีม่านกั้น เป็นหน้าและหลังโรง แต่ตรงกลางของด้านหลังของเนื้อที่ที่ใช้แสดง จะมีม้านั่งสำหรับมโนราห์นั่ง เรียกว่า "นัก" ด้านซ้ายขวาของนักจัดเป็นที่นั่งของลุกคู่ แต่ปัจจุบันนิยมยกพื้นสูงขึ้น หลังคามักเป็นเพิงหมาแหงน มีม่านมีฉากกั้น หลังม่านก็มีการกั้นทั้งสามด้าน ให้เป็นที่สำหรับพักเตรียมการแสดง และเก็บสิ่งของต่าง ๆ

          มโนห์ราที่มีอยู่ในอำเภอท่าฉางปัจจุบัน สามารถติดต่อได้ที่

                       1. นายธรรมรัตน์  แง่งจุ้ย             หมู่ 3  ตำบลคลองไทร

                       2. นางหนูเรียง  ชัยฤกษ์               หมู่ 1  ตำบลปากฉลุย

                       3.  นางยุพา  เสือทับทิม        014 หมู่ 9  ตำบลเสวียด

                       4. นายน้าว  กลิ่นเมฆ           015 หมู่ 7  ตำบลท่าเคย

                       5. นางวันดี  เทียมยม           171 หมู่ 7  ตำบลท่าเคย

                       6. นางบุญสรี  นาคบุญช่วย       89 หมู่ 2  ตำบลเสวียด

                       7. นางสมบูรณ์  อินทรโรย        65 หมู่ 2  ตำบลเสวียด 

                       8. นางเรือง  ชัยฤกษ์            030 หมู่ 1  ตำบลปากฉลุย

                       9. นางสำเนียง  เนืองดี         008 หมู่ 3  ตำบลปากฉลุย

หนังตะลุง

      หนังตะลุงเป็นการละลเนประเภทเงาหุ่นเชิดที่ทำด้วยหนัง การเชิดเป็นการแสดงอากัปกริยาตามบทกลอนที่ร้อง หรือคำเจรจา การร้องมีการบรรเลงดนตรี  เพื่อให้จังหวะลีลาตามทำนองกลอน นิยมแสดงในงานบุญ และงานมงคลต่าง ๆ

      หนังตะลุงคณะหนึ่ง ประกอบด้วย นายหนังเป็นผู้แสดง 1 คน และลูกคู่เป็นผู้บรรเลงดนตรี 6-7 คน เครื่องดนตรี ประกอบด้วย ทับ โหม่ง ปี่นอก ซอ กลอง ฉิ่ง กรับ รูปหนังตุลุงเป็นตัวหุ่นเชิด แกะจากหนังวัว หนังควาย มีหลายขนาด ความสูงประมาณ 1-2 ฟุต หนังตะลุงคณะหนึ่ง ๆ จะมีรูปหนังประมาณ 100-300 ตัว รูปหนังตะลุงสำคัญ ๆ ได้แก่ รูปฤาษี พระอิศวร เจ้าเมือง ยักษ์ เทวดา พระ นาง ภูตผี ตัวตลก เป็นต้น รูปหนังตะลุงทุกตัวจะถูกหนีบด้วยไม้ตับ ด้านล่างสุดของไม้ตับจะเสี้ยมให้แหลม ไว้ปักกับต้นกล้วย เมื่อทำการแสดง       

       โรงหนังตะลุงปลูกยกพื้นสูงกว่าระดับศีรษะผู้ใหญ่เล็กน้อย หลังคาเป็นเพิงหมาแหงน เนื้อที่ 4x3 เมตร ด้านหน้าใช้ผ้าขาวบางทำเป็นจอ ริมจอด้านล่างตลอดความยาวมีต้นไม้สำหรับปักรูปหนัง หลังจอจะห้อยดวงไฟที่จะให้แสงสว่างในการเชิด ห่างจากจอและสูงจากพื้นประมาณ 1 ฟุต สมัยก่อนใช้น้ำมันจากตะเกียงจากไขมันสัตว์ หรือตะเกียงเจ้าพายุ สองข้างโรงบริเวณตอนหน้าวางต้นกล้วยไว้สำหรับเตรียมรูปหนังตะลุงที่จะใช้ในการแสดง

        การแสดงหนังตะลุงเริ่มด้วยการโหมโรง หรือลงโรง โดยบรรเลงดนตรีพร้อมปักรุปหนังตะลุงไว้ 1 ตัว เพื่อเรียกคนดู ก่อนเริ่มแสดง นายหนังจะไหว้ครูและบริกรรมคาถาเพื่อเป็นสวัสดิมงคล เสร็จแล้วจะเก็บรูปปักหน้าจอ ต่อไปจะเป็นรูปลิงขาว- ลิงดำ รบกัน  ฤาษี พระอิศวร รุปหน้าบท รูปตัวตลก บอกชื่อเรื่องที่จะแสดง และแสดงเรื่องไปตามลำดับ เรื่องที่แสดงมักแสดงเรื่อง รามเกียรติ์ นิทานชาดก นิทานพื้นบ้าน และนิทานประโลมโลก ปัจจุบันได้ดัดแปลงเป็นนวนิยายสมัยใหม่ไปใช้แสดงด้วย การแสดงดำเนินเรื่องโดยร้องกลอนหนังตะลุง เป็นกลอนตลาดหรือกลอนแปด

และกลอนอื่น ๆ ที่ใช้เฉพาะรูปบางตัว เช่น กลอนสะบัดสะบิ้ง ใช้สำหรับรูปเทวดา เป็นต้น

         หนังตะลุงเป็นการละเล่นพื้นบ้านและเป็นมหรสพที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง คณะหนังตะลุงที่มีอยู่ในอำเภอท่าฉางปัจจุบัน คือ

         1. นายฐากูร  สิทธิสุราษฎร์        หมู่ 9  ตำบลท่าเคย

         2. นายว่าน ศักดิ์ณรงค์               หมู่ 2  ตำบลปากฉลุย