"วีรชน พฤษภาทมิฬ"

 

   ประวัติศาสตร์การเมืองไทยมีศูนย์รวมอำนาจไว้ที่คนเพียงกลุ่มเดียวหรือไม่กี่กลุ่มกับระบบราชการขนาดมหึมา ต่างร่วมกันเป็นตัวแทนแห่งการครอบงำสังคมอันกว้างใหญ่ไพศาลตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองของ "คณะราษฎร์" เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 จากระบอบเผด็จการสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย

    เหตุการณ์นองเลือดเมื่อ 6 ตุลาคม 2516 และ 14 ตุลาคม 2519 ก็เป็นอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์การต่อสู้ของนิสิตนักศึกษาและประชาชนที่ต้องการให้พลเมืองมีสิทธิเสรีภาพตามกฎหมายหลุดพ้นจากการปกครองแบบกดขี่ของเผด็จการทรราช

    เหตุกาณ์พฤษภาทมิฬ เกิดจากการหลงอำนาจผิดยุคผิดสมัยของ นายทหารกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ซึ่งประกอบด้วย

พล.อ.สุจินดา คราประยูร
พล.อ.สุนทร์ คงสมพงษ์
พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล
พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี ฯลฯ

ได้ทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2534โค่นอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งพลเอกชาติชาย ชุณหะวัน
ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งแล้วตรารัฐธรรมนูญการปกครอง(ชั่วคราว)ขึ้นโดยเสนอตั้ง นาย อนันท์ ปันยารชุน เป็นนายรัฐมนตรี ขัดตาทัพรสช.ตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติขึ้นมาด้วยอำนาจเผด็จการ ทำการคลอดรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 "ฉบับหมกเม็ด" เตรียมสืบทอดอำนาจให้ตนเอง เพาะเชื้อเผด็จการขึ้นมาเต็มรูปแบบอีกครั้ง โดยกำหนดว่า
 

  •  โดยกำหนดว่านายกรัฐมนตรีไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง (ไม่ต้องเป็น ส.ส.)
  • ให้ข้าราชการดำรงตำแหน่งได้ (ควบตำแหน่งได้)
  • แต่งตั้งนายทหารในกลุ่มเครือญาติคนสนิทขึ้นมาคุมกองทัพ
  • การผนึกอำนาจทางการเมืองและการทหารเป็นศูนย์อำนาจ
  • เมื่อกระแสประชาชนคัดค้าน "สุจินดา" ก็ยอมรับปากจะไม่รับตำแหน่งผู้นำ แต่ในที่สุด "สุจินดา" ก็ยอมเสียสัตย์แก่ตนเองและสาธารณะชนยอม "เสียสัตย์" เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 19 โดยไม่ผ่านการเลือกตั้ง จนนำไปสู่การประท้วงคัดค้านของประชาชนนับแสนคนบนถนนราชดำเนิน และหัวเมืองใหญ่ๆทั่วประเทศและถูก 3 หัวโจ๊กเผด็จการดังกล่าว ใช้กำลังปราบปรามประชาชนและนิสิตนักศึกษาอย่างนองเลือดโหดร้ายทารุณ สร้างรอยด่างพร้อย
    ให้กับประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยอีกตำนานหนึ่ง


    "พฤษภาทมิฬ"มีการยิง สังหาร ทำร้ายผู้บริสุทธิ์เรียกร้องประชาธิปไตยดั่งใบไม้ร่วง ระหว่างวันที่ 17,18 พฤษภาคม  2535 ดั่งโฮมเพจนี้ได้นำ "ภาพเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ" ดังกล่าวมาเสนอ ให้รำลึกถึง "วีรชน" และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทุพลภาพและผู้สูญหายไปเป็นจำนวนมาก ที่ได้ต่อสู้บนแนวหน้ากับเผด็จการนำประชาธิปไตยสู่ปวงชนอีกครั้งหนึ่ง.